บทที่ 1149 ตอนพิเศษ (46/2)
บทที่ 1149 ตอนพิเศษ (46/2)
“ลู่เจ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” จงซู่เกินเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “ข้าไม่กลัวตาย หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหล รอข้ากลับไปที่หมู่บ้านสกุลหลิ่ว คอยดูเถอะ ข้าจะบอกจู๋จือว่าเจ้ามีพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างไร”
“หมู่บ้านสกุลหลิ่ว ภรรยา…” นายกองเซี่ยวมองจงซู่เกิน “หน่วยก้านใช้ได้ หากฝึกให้ดีก็นับว่าเป็นคนที่มีประโยชน์ผู้หนึ่ง ทว่าดูจากนิสัยแล้ว จักต้องสั่งสอนไม่ได้อย่างแน่นอน!”
“คนเหล่านี้มอบให้ข้าจัดการเถิด” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ให้เวลาข้าครึ่งเดือน ข้าจะทำให้พวกเขาว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังอย่างแน่นอน”
“ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งเดือนได้ ทว่าในขณะเดียวกัน เจ้าก็ต้องรับผิดชอบช่วยข้าจับคนที่หนีไปในวันนี้ด้วย หากขาดไปเพียงหนึ่งคน ข้าจะลงมือกับพี่น้องที่ดีของเจ้าผู้นี้ ข้างกายข้าไม่อาจเก็บคนไร้ประโยชน์ไว้ หากเจ้าคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่น เช่นนั้นก็แสดงความสามารถของเจ้าให้ข้าเห็น”
“ขอรับ”
จงซู่เกินอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ ทว่าเมื่อสบตากับลู่เจ๋อก็ต้องหุบปากลง
แววตาที่เหลือบมองมาเพียงแวบเดียวของลู่เจ๋อเมื่อครู่ทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่นโดยสัญชาตญาณ รู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นที่ไล้เลียไปตามกระดูกของตนเอง
“ลู่เจ๋อ…”
“หุบปาก” ลู่ฉาวจิ่งปรายตามองเขาแล้วกล่าว “มีอะไรประเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
เจ้าคนโง่ ไม่ดูคนแถวนี้เสียบ้างเลย อยู่ที่นี่จะกล่าวอะไรได้?
บนร่างของจงซู่เกินไม่มีเนื้อหนังดี ๆ สักแห่ง แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกทรมานมาแล้ว
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาผ่ายผอมลงไปมาก หากหยางชิงซือมาเห็นเขาที่นี่จะต้องจำไม่ได้อย่างแน่นอน จงซู่เกินกล้าวางแผนมาเป็นทหาร แปลว่าย่อมมั่นใจในสภาพร่างกายของตนเอง เขาไม่เพียงแต่สูงและร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังมีพละกำลังมหาศาล ตอนนี้ดีนัก ผ่ายผอมเสียจนเห็นกระดูก ดูแก่ขึ้นอีกหลายปี
ลู่ฉาวจิ่งพาจงซู่เกินมายังที่พักของตน
ส่วนคนอื่น ๆ อีกสองสามคน เขาให้ลูกน้องพาไปไว้ที่อื่นแล้วจับตาดูไว้
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำตามอุดมการณ์ของจงซู่เกิน รอจัดการทางนี้เรียบร้อยแล้ว คนสองสามคนนั้นสามารถให้จงซู่ไปเกลี้ยกล่อมได้ เช่นนี้ก็จะลดปัญหาให้เขาได้มากเช่นกัน
“ลู่เจ๋อ นึกไม่ถึงว่าเจ้ากำลังช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ”
“ไม่เลว ความรู้กว้างขวางขึ้นแล้วนี่ แม้กระทั่งคำว่า ‘ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ’ เจ้ายังรู้จัก”
“เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้าแสร้งทำตัวเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาแล้วข้าจะหลงกล! ข้าจะบอกเจ้าให้ คนเหล่านี้ไม่ใช่คนดี ที่เรียกว่ารับสมัครทหาร เดิมทีก็ไม่ใช่ความจริง พวกเขาเพียงใช้อุบายล่อลวงพวกเรามาที่นี่เพื่อให้เราเป็นกุลีขุดเหมืองทองหาทองให้พวกเขา เจ้ามาจากเมืองหลวง ดังนั้น เจ้าควรจะรอบรู้กว่าข้า แม้กระทั่งเด็กบ้านนอกอย่างข้ายังรู้ว่าการขุดเหมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดใหญ่หลวง เจ้าไม่มีทางไม่รู้กระมัง?”
“ข้ารู้ ข้ายังรู้ด้วยว่าพวกเขาเป็นคนของทางการ”
“ทว่า พวกเขาขุดเหมืองทองเองเช่นนี้ หากเป็นเรื่องปกติ เหตุใดต้องใช้วิธีนี้มาหลอกพวกเราเล่า? นับตั้งแต่พวกเราก้าวเข้ามาที่นี่ พวกเราก็ไม่มีอิสระแล้ว หากพวกเราทำงานอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าจะไม่อาจได้พบกับครอบครัว หรือไปจากที่นี่ได้จนกว่าจะตาย พวกเราทำได้เพียงทำงานที่นี่เท่านั้น ลู่เจ๋อ เจ้าก็รู้ ข้ามาที่นี่เพื่อหาเงิน ได้รับยศศักดิ์มั่งคั่งร่ำรวย ข้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่”
“ข้าพึ่งกลับมาจากหมู่บ้านสกุลหลิ่ว” ลู่ฉาวจิ่งจ้องมองจงซู่เกิน “ข้าได้พบแม่นางหยางแล้ว”
จงซู่เกินเงียบไป
“ป้าซ่งกับลุงหยางบังคับให้นางแต่งงานกับญาติผู้พี่ผู้หนึ่ง เพื่อต่อต้านพวกเขา แม่นางหยางใช้มีดจ่อคอตนเอง ทิ้งรอยแผลเป็นเป็นทางยาวไว้บนคอของนาง ถึงแม้จิ่วเอ๋อร์จะทายาให้นางได้ทันกาล แต่รอยมีดนั้นลึกเกินไป แม้กระทั่งท่านหมอก็เกรงว่าจะรักษาชีวิตนางไว้ไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงจิ่วเอ๋อร์ที่เป็นเพียงหมอจำเป็นเลย”
“ชิงซือเป็นอย่างไรบ้าง?”
จงซู่เกินคุกเข่าลงกล่าว “ลู่เจ๋อ ข้าขอร้องเจ้า ข้าอยากกลับไป พวกเราเป็นพี่น้องกัน ถึงแม้เจ้าจะไม่เห็นว่าข้าเป็นพี่น้อง แต่เห็นแก่ที่ชิงซือเป็นพี่น้องที่ดีของจู๋จือเถอะ เจ้าไม่อาจพบคนตายแล้วไม่ช่วยเหลือได้”
ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “เพราะข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพี่น้อง ดังนั้นเมื่อมีเงินข้าย่อมพาเจ้าหาเงินด้วยกัน เจ้าจะสนใจทำไมว่าคนเหล่านั้นคิดจะทำอะไร ขอเพียงหาเงินได้ นั่นไม่เท่ากับช่วยแก้ปัญหาของเจ้าหรือ?”
ลู่ฉาวจิ่งเหลือบมองไปทางประตูแวบหนึ่ง
จงซู่เกินเป็นคนซื่อ ทว่าไม่ได้โง่เหมือนหมู
ลู่ฉาวจิ่งบอกใบ้ชัดเจนถึงเพียงนี้ หากเขายังมองไม่ออก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องช่วย เพราะคนเช่นนั้น แม้กระทั่งเทพเซียนก็คงไม่อาจช่วยได้แล้ว
“เจ้าติดตามข้าเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าขอร้องท่านนายกองและจัดแจงให้เจ้าอยู่ข้างกายข้า ทุกเดือนจะได้รับสิบตำลึงเงิน เจ้าลองคิดดู แม้กระทั่งพ่อบ้านในสกุลผู้มั่งคั่งร่ำรวยก็ไม่ได้เงินเดือนถึงสิบตำลึงเงิน มีเงินจำนวนนี้ เจ้าคิดจะแต่งกับผู้ใดก็แต่งกับผู้นั้นได้ นั่นไม่ดีกว่าการต่อต้านเช่นนี้หรือ?”
สีหน้าของจงซู่เกินดูราวกับถูกชักจูง
บนใบหน้าของเขาไม่เหลือแม้กระทั่งผิวหนังดี ๆ ดูเจ็บปวดยิ่ง
เขาครุ่นคิดไปพลางสูดปากไปพลาง ดูไปแล้วช่างน่าเวทนา
“ข้าล่วงเกินท่านนายกองแล้ว เขาจะยังให้โอกาสข้าอยู่หรือไม่?”
“ข้าจะรับรองกับเขา คิดว่าเขาคงเห็นแก่หน้าข้า จักต้องจะให้โอกาสเจ้าได้แสดงฝีมือเป็นแน่ กล่าวเช่นนี้ แปลว่าเจ้าคิดกระจ่างแล้วใช่หรือไม่? เจ้ารับปากจะอยู่ช่วยข้าแล้วหรือ?”
จงซู่เกินเหลือบมองเงาตรงมุมห้อง
พวกดักฟังนี่โง่จริง ๆ ตรงนั้นมีเงาชัดเจนเพียงนี้ พวกเขาไม่ได้ตาบอดจะมองไม่เห็นได้อย่างไร?
เมื่อครู่ลู่ฉาวจิ่งขยิบตาให้เขา ดูจากเงาที่อยู่ตรงมุมนั้น จงซู่เกินก็เกือบจะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว
ตายย่อมไม่สู้มีชีวิตอยู่!
แทนที่จะปะทะกับพวกเขาโดยตรง ยังไม่สู้ติดตามลู่ฉาวจิ่ง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจมีทางออก
“ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้า” จงซู่เกินกล่าว “เพียงแต่ข้าต้องการหาเงิน หากไม่ได้เบี้ยเลี้ยงสิบตำลึงต่อเดือน เช่นนั้น ข้าไม่ยอมเสี่ยงไปกับเจ้าอย่างแน่นอน”
หลังจากนายกองเซี่ยวได้ยินคำพูดของลู่ฉาวจิ่งก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ได้ เช่นนั้นข้าจะมอบคนเหล่านี้ให้เจ้า หากพวกเขาเชื่อฟัง เรื่องนี้ก็ให้แล้วไป เพียงแต่เมื่อครู่ตกลงแล้ว ผู้ที่หลบหนีจะต้องจับกลับมา จงซู่เกินปล่อยพวกเขาไปอย่างไรก็ตามจับกลับมาอย่างนั้น หากขาดไปเพียงหนึ่งคน ข้าจะใช้หัวของเขาทดแทน”
จงซู่เกินสีหน้าเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะช่วยคนเหล่านั้นหลบหนีออกไปได้ บัดนี้ต้องจับพวกเขากลับมาอีกครั้ง คนเหล่านั้นที่เดิมทีรู้สึกซาบซึ้งใจอาจจะเกลียดเขาแล้ว คงคิดว่าเขาถูกซื้อตัวจึงช่วยทำร้ายผู้อื่น
“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว
“ลู่เจ๋อ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็ต้องฟังข้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน เขาให้เจ้าจับคนกลับมา เจ้าก็ต้องจับกลับมา ส่วนที่เหลือ ข้าจะจัดการเอง”
จงซู่เกินมองลู่ฉาวจิ่งด้วยสายตาสงสัย
อย่างไรก็ตาม ดวงตาคู่นั้นมีเพียงความสงบ ยังคงสวยงามไม่แพ้ยามที่พบกันครั้งแรก ใสกระจ่างราวกับผลึกแก้ว ไม่ขุ่นมัวและสกปรกอย่างผู้อื่น
เอาเถอะ เชื่อเขาสักครั้งก็แล้วกัน!