สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 793 ครอบครัวอบอุ่น

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 793 ครอบครัวอบอุ่น

วันนี้จางเต๋อเฉวียนมาเพื่อถามอาการของซ่างกวานเยี่ยน

ตามแผนแล้ว เซียวเหิงบอกจางเต๋อเฉวียนว่าซ่างกวานเยี่ยนตื่นขึ้นมาตอนกลางวันครู่หนึ่ง ตอนบ่ายก็หลับไปอีก

จางเต๋อเฉวียนได้ยินก็ปรีดายกใหญ่ รีบกลับวังไปทูลข่าวดีของซ่างกวานเยี่ยนแก่ฮ่องเต้

ส่วนพวกหวังเสียนเฟยห้าคนที่อยู่ในวังได้ยินว่าซ่างกวานเยี่ยนฟื้นแล้ว ก็วิตกขึ้นมาในใจเป็นระลอก

หากบอกว่าเดิมทีพวกนางยังมีความโชคดีอยู่บ้าง นึกว่าซ่างกวานเยี่ยนแค่ขู่ขวัญพวกนาง และไม่กล้าทุ่มสุดตัวตายกันไปข้างกับพวกนาง เช่นนั้นยามนี้การฟื้นสติของซ่างกวานเยี่ยนก็เป็นการเคาะระฆังเตือนภัยรอบสุดท้ายให้กับพวกนางแล้ว

พวกนางต้องรีบหาของที่ถูกใจซ่างกวานเยี่ยนให้ไวที่สุด เพื่อแลกกับจุดอ่อนของพวกนางที่อยู่ในมือซ่างกวานเยี่ยน!

ตกค่ำ

เสี่ยวจิ้งคงถูกพี่เขยนิสัยไม่ดีลากไปอาบน้ำเสร็จ ก็ปีนขึ้นเตียงกระโดดย่ำเท้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

กู้เจียวกับเซียวเหิงหารือกันแล้ว เสี่ยวจิ้งคงยามนี้เป็นเจ้าหนูรับใช้ตัวน้อยของเขา ทางที่ดีอยู่ด้วยกันกับเขาจะดีที่สุด รอซ่างกวานเยี่ยน ‘ฟื้นสติ’ กลับวังหลังได้ เขาค่อยหาเหตุผลพาเสี่ยวจิ้งคงไปพักที่จวนกั๋วกง

“ข้าก็บอกให้ไปอยู่ที่บ้านลุงเขยสักสองสามวัน”

อย่างไรพระนัดดาก็เหลือเวลาอยู่อีกได้แค่ไม่กี่เดือนแล้ว ฮ่องเต้ย่อมทำตาม ‘ความปรารถนาของผู้ถึงแก่กรรมซึ่งยังไม่บรรลุผล’ ของเขาทุกประการอยู่แล้ว

กู้เจียวรู้สึกว่าไม่เลว

ทั้งสองสนทนาเสร็จก็ไปหาท่านย่า

กู้เจียวเดิมทีกะว่าจะเก็บข้าวของให้ท่านย่า ไหนเลยจะรู้ว่าจะเห็นท่านย่านั่งอยู่บนเก้าอี้ ไขว่ห้างแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ ท่านจี้จิ่วอาวุโสถือห่อสัมภาระไว้ใบหนึ่ง “เก็บเสร็จหมดแล้ว ไปกันเถิด!”

กู้เจียวมุมปากกระตุกยิกๆ ท่านก็มีจิตสำนึกของท่านย่าเหมือนกันหรือนี่…

แม้แต่พวกอาจารย์แม่หนานยังถูกคนตระกูลหันจับตามอง เพราะฉะนั้น ‘คุณหนูกู้’ ที่สำนักศึกษาสตรีชังหลันก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป

กู้เจียวจึงเรียกกู้เฉิงเฟิงมาด้วย ขึ้นรถม้าไปยังจวนกั๋วกงกัน

อันกั๋วกงปกติจะเข้านอนไว ทว่าคืนนี้เขาฝืนไว้จนถึงยามนี้ เพื่อรอผู้อาวุโสสองท่าน

กู้เจียวไม่ได้บอกตัวตนของตัวเองมากมายเท่าใด บอกเพียงว่าตนมีนามจริงๆ ว่ากู้เจียว เป็นชาวแคว้นเยี่ยน ส่วนคุณหนูจวนโหวเอย ท่านหญิงฮู่กั๋วเอย นางไม่ได้เอ่ยถึงสักคำ

ส่วนจวงไทเฮากับจี้จิ่วอาวุโส นางก็บอกเพียงว่าเป็นท่านย่ากับท่านปู่ของตัวเอง

อันกั๋วกงเดิมเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นระดับบน แต่ในเมื่อเขาใส่ใจกู้เจียว จึงให้ความเคารพผู้อาวุโสของกู้เจียวไปด้วย

รถม้าจอดลงหน้าประตูเรือนต้นเฟิง

สายตาอันกั๋วกงเอาแต่จดจ้องรถม้าไว้ตลอด ยามกู้เจียวกระโดดลงมาจากรถม้า ราตรีสีมืดก็เหมือนราวกับสว่างไสวเพราะดวงตาเป็นประกายของท่านกั๋วกง

นั่นความรู้สึกอิ่มเอมเปรมใจยามเฝ้ารอลูกหลานของตนเอง

จวงไทเฮามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะถูกกู้เจียวแบกลงจากรถม้า

จี้จิ่วอาวุโสลงมาเอง

จวงไทเฮาคิดในใจ หนังเหี่ยวเสียขนาดนั้นยังจะอยากให้เจียวเจียวแบกอีก เดินเอาเองสิ!

พ่อบ้านเจิ้งรอยยิ้มเต็มใบหน้าเข็นอันกั๋วกงมาหยุดตรงหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง “คารวะนายท่านอาวุโสฮั่ว คารวะเหล่าฮูหยินฮั่ว”

อันกั๋วกงเขียนบนที่พักแขน ‘ไม่อาจต้อนรับด้วยตัวเองได้ ขอผู้อาวุโสทั้งสองอภัยด้วย’

กู้เจียวเอ่ยกับท่านย่า “ท่านกั๋วกงบอกว่าเขายินต้อนรับพวกท่านมาก”

จวงไทเฮาปรายตามองนางแวบยหนึ่ง “ไม่ต้องมาแปล”

ยัยหนูลำเอียงนี่นา

กู้เจียวเอ่ยกับอันกั๋วกงต่อ “ท่านย่าพอใจท่านมาก!”

จวงไทเฮามุมปากกระตุก มองจากตรงไหนว่าข้าพอใจ ลำเอียงเอาใจออกห่างไวเกินไปแล้ว!

“เหอะ!” จวงไทเฮาแค่นเสียงขึ้นจมูก เข้าไปในเรือนด้วยมาดเต็มเปี่ยม

กู้เจียวฉวยห่อสัมภาระจากมือจี้จิ่วอาวุโสไปถือ ส่วนท่านย่าไปพักที่ห้องปีกข้างซึ่งจัดเตรียมไว้เรียบร้อย “ท่านย่า ท่านว่าท่านกั๋วกงเป็นอย่างไร”

จวงไทเฮาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ตอนนั้นเจ้ายังไม่ถามข้าเลย ว่าลิ่วหลังเป็นอย่างไร”

กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ “แตงหั่นเสร็จแล้ว ข้าไปเอามาให้เจ้าค่ะ!”

เร้นกายออกจากห้องในชั่ววินาที

จวงไทเฮาทั้งโมโหทั้งขัน พึมพำอย่างไม่ใส่ใจ “ดูท่าจะยิ่งเสียกว่าพ่อเจ้าที่จวนโหวอีกนะ”

“ท่านย่า! ท่านปู่!”

เป็นเสียงตะโกนดีใจของกู้เหยี่ยน

จวงไทเฮาเพิ่งจะแอบล้วงผลไม้เชื่อมลูกหนึ่ง ตกใจจนมือสั่น เกือบทำผลไม้เชื่อมร่วงลงพื้น

กู้เหยี่ยน เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว

เจ้าไม่เคยเสียงดังเพียงนี้มาก่อนเลย!

ผ่านไปสามเดือนกว่าๆ กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็ได้พบท่านย่ากับท่านปู่แล้ว ทั้งคู่ต่างเบิกบานใจยิ่ง

แต่ได้กลิ่นยาทาแผลกับกลิ่นสุราบริสุทธิ์ที่ไม่อาจปิดบังได้บนร่างผู้อาวุโสทั้งสอง ดวงตาของทั้งสองก็ทะมึนขึ้นมา

“พวกท่านได้รับบาดเจ็บกันหรือ” กู้เหยี่ยนถาม

จวงไทเฮาโบกมือปัดอย่างไม่แยแส “วันนั้นฝนตกเลยล้มลงไป ไม่เป็นไรหรอก”

อายุปูนนี้แล้วมาสะดุดล้ม คงจะเจ็บมากน่าดู

กู้เหยี่ยนขอบตาแดงขึ้นน้อยๆ

กู้เสี่ยวซุ่นก้มหน้าเช็ดตา

“เอาละ เอาละ นี่ก็ยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ” จวงไทเฮาทนมองเด็กทั้งสองเสียใจไม่ได้ นางดึงเสื้อส่วนหน้าของกู้เหยี่ยนมาหา “ขอข้าดูแผลเจ้าหน่อยสิ”

“ข้าไม่มีแผล” กู้เหยี่ยนเชิดคางน้อยๆ ขึ้นพลางเอ่ย

จวงไทเฮาไม่เห็นแผลตรงหน้าอกเขาจริงๆ จึงขมวดคิ้วมุ่น “ไหนว่าผ่าตัดมิใช่หรือ หรือนี่หลอกลวงกัน”

กู้เหยี่ยนแววตาเป็นประกายวาบ ล้มลงเข้าอ้อมอกจวงไทเฮาอย่างเกินจริง “ใช่เลย ข้ายังไม่ได้ผ่าตัดเลย ข้าอ่อนแอยิ่งนัก โอ๊ย ข้าเจ็บหน้าอกมาก โรคหัวใจกำเริบอีกแล้ว…”

จวงไทเฮาฟาดกะโหลกเขาไปฉาดหนึ่ง

ที่แน่ๆ เด็กคนนี้รอดชีวิตแล้ว

“อยู่ตรงนี้” กู้เสี่ยวซุ่นเปิดโปงทันควัน ยกแขนข้างขวาของกู้เหยี่ยนขึ้น “แผลอยู่ใต้รักแร้ขอรับ เล็กมากๆ ”

เขาใช้ปลายนิ้วเปรียบเทียบให้ดู “ทายาลดรอยแผลเป็นไปแล้ว แทบจะมองไม่เห็นแล้ว”

จวงไทเฮาก็ยังอยากจะเห็นอยู่ดี

กู้เจียวกับอันกั๋วกงนั่งรับลมอยู่บนระเบียง อันกั๋วกงหันหน้ากลับมาไม่ได้ แต่ต่อให้เขาได้ยินเพียงเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านในก็ยังสัมผัสได้ถึงความสุขที่ออกมาจากใจเหล่านั้น

หลังจากสูญเสียเซวียนหยวนจื่อกับยินยินไป จวนตะวันออกก็ไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้มานานมากแล้ว

นายท่านรองจิ่งกับฮูหยินรองมักจะพาพวกเด็กๆ มาอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่ความครึกครื้นเหล่านั้นไม่ใช่ของตัวเขาเอง

เขาโดดเดี่ยวมานานเกินไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นานถึงขั้นที่ว่าใจดวงนี้แทบจะเฉยชาไปแล้ว นานมากแล้วที่เขากลายเป็นคนตายและไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย

เขาอยากจะสิ้นใจไปในความมืดมิดอันไร้ขอบเขตอยู่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เจ้าน้องชายซื่อบื้อนั่นก็เชิญหมอดังๆ มาต่อชีวิตเขาไว้นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน

ยามนี้ เขาซาบซึ้งน้องชายผู้นั้นที่ไม่เคยยอมแพ้ยิ่งนัก

กู้เจียวมองพลางถาม “ท่านกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่หรือ”

‘ใช่’ อันกั๋วกงเขียนบอก

“คิดอะไรอยู่หรือ” กู้เจียวถาม

อันกั๋วกงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เขียนไปตามตรง ‘ข้ากำลังคิดว่า เจ้าอยู่ข้างกายข้า เหมือนกับมียินยินอยู่ข้างกายข้าเลย’

ความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจก็เช่นกัน

“อ้อ” กู้เจียวหลบตาลง

อันกั๋วกงรีบเขียน ‘เจ้าอย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้เอาเจ้ามาแทนยินยิน’

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” กู้เจียวเอ่ย

ยามนี้ข้าไม่อาจบอกความจริงกับท่านได้

เพราะข้ายังไม่รู้ว่าโชคชะตาของตัวเองอยู่ที่ใด

รอให้ทุกอย่างจบสิ้นลงก่อน ข้าจะบอกท่านอย่างสัตย์จริงและหมดเปลือกเลย

ราตรีดึกสงัดแล้ว กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นเด็กหนุ่มทั้งสองไร้ความง่วงงุนแม้แต่น้อย ท่านย่ากับท่านปู่กลับถูกเสียงเจี๊ยวจ๊าวทำเอาหัวโต

โดยเฉพาะกู้เหยี่ยน

เขาที่หายจากโรคหัวใจแล้วมีกำลังสังหารที่เกือบจะเทียบเสี่ยวจิ้งคง เนื่องจากไม่ได้พบกันนาน ถึงขนาดอดทนอดกลั้นคำพูดไว้ไม่อยู่ จึงพูดพล่ามมากกว่าเสี่ยวจิ้งคงเสียอีก

ท่านย่านั่งเปลี้ยอยู่บนเก้าอี้อย่างไร้วิญญาณ

เสี่ยวเหยี่ยนเอ๋อร์ผู้เย็นชาพูดน้อยในตอนนั้น เป็นนางเองที่มองผิดไป…

ถึงเวลาที่อันกั๋วกงต้องพักผ่อนแล้ว เขาบอกลากับทุกคน กู้เจียวเข็นเขากลับเรือน

กู้เจียวเข็นอันกั๋วกงไปบนถนนสายเล็กอันเงียบเชียบ ด้านหลังเป็นเสียงหัวเราะของกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น สายลมยามราตรีอ่อนโยนยิ่ง อารมณ์ก็เบิกบานมากเช่นกัน

เมื่อถึงหน้าประตูเรือนของอันกั๋วกง พ่อบ้านเจิ้งก็กำลังคุยกับองครักษ์นายหนึ่งอยู่ พ่อบ้านเจิ้งพยักหน้าให้องครักษ์ “เข้าใจแล้ว ข้าจะบอกท่านกั๋วกงให้ เจ้าไปเถิด”

“ขอรับ” องครักษ์ประสานมือจากไป

พ่อบ้านเจิ้งเดินเตร่อยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง กำลังจะไปยังเรือนใบเฟิง กลับเงยหน้ามาเห็นว่าอันกั๋วกงกลับมาแล้ว

เขารีบเดินไปหา “ท่านกั๋วกง”

ท่านกั๋วกงใช้สายตาถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

พ่อบ้านเจิ้งไม่ได้หลีกเลี่ยงที่กู้เจียวก็อยู่ด้วย เขาเอ่ยไปตามตรง “องครักษ์ที่คุ้มกันส่งมู่หรูซินกลับมาแล้วขอรับ นี่เป็นจดหมายที่มู่หรูซินเขียนเอง ท่านกั๋วกงโปรดอ่านขอรับ”

พ่อบ้านเจิ้งรีบวิ่งจ้ำ เข้ามาในเรือน หยิบโคมออกมาส่องให้

ในจดหมายเขียนว่ามู่หรูซินอยากกลับแคว้นด้วยตัวเอง ระยะนี้รบกวนมามากแล้ว ไม่ขอรบกวนจวนกั๋วกงอีก

เขียนเสียเกรงอกเกรงใจ แต่องครักษ์โดนไล่กลับมาเช่นนี้ เดี๋ยวจะอธิบายกับท่านกั๋วกงไม่ได้

เกิดมู่หรูซินเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ลือออกไปล้วนจะโทษจวนกั๋วกงที่ปฏิบัติต่อนางที่เป็นสตรีไม่ดี นึกไม่ถึงว่าจะให้สตรีอ่อนแอคนหนึ่งออกจากจวนไปเพียงลำพัง โดนทำร้ายระหว่างทาง

ดังนั้นองครักษ์จึงได้สะกดรอยตามนางไปตลอดทาง หวังจะแน่ใจว่านางปลอดภัยค่อยกลับมารายงาน

ไหนเลยจะรู้ว่าสะกดรอยตามนางไปถึงบ้านตระกูลหันเสียได้

“นางเข้าไปแล้วหรือ” กู้เจียวถาม

พ่อบ้านเจิ้งหันมามองกู้เจียวพลางเอ่ย “เรียนนายน้อย เข้าไปแล้วขอรับ องครักษ์ของจวนเราบอกว่า นางอยู่ที่ตระกูลหันเกือบครึ่งชั่วยามจึงออกมา จากนั้นนางก็กลับโรงเตี๊ยม หยิบสัมภาระ พาสาวใช้เข้าตระกูลหันไปเลย! จนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่ออกมาเลยขอรับ!”

กู้เจียวเอ่ยนิ่งๆ “ดูท่าจะไปซบขาทองคำท่อนใหม่แล้ว”

พ่อบ้านเจิ้งเอ่ย “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน! ได้ยินว่าขาของท่านชายใหญ่พิการไปแล้ว นางอาจจะไปเป็นหมอให้ท่านชายใหญ่หันก็ได้! ร้ายกาจเสียจริงคนผู้นี้…!”

เมื่ออยู่ต่อหน้านายน้อย เขาจึงกลืนคำพูดไม่น่าฟังลงไป

“แล้วแต่นางเถิด” กู้เจียวเอ่ย

ฝีมือการแพทย์ไก่กาอย่างนาง จะรักษาหันเย่ให้หายได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย

อันกั๋วกงก็ไม่ใคร่ใส่ใจกับทางเดินของมู่หรูซินนัก เขาเขียนว่า ‘เจ้าระวังไว้หน่อย หมู่นี้อาจจะมีคนมาสืบข่าวที่จวน’

พ่อบ้านเจิ้งสมองปราดเปรื่องยิ่งนัก เขากระจ่างแจ้งในความหมายของท่านกั๋วกงทันที “ท่านคิดว่ามู่หรูซินจะแพร่งพรายความลับกับตระกูลหันหรือ บอกว่าคนในครอบครัวของนายน้อยเข้ามาพักที่จวนของพวกเราแล้ว ท่านวางใจหายห่วงได้เลยขอรับ! นางไม่มีทางเดาออกหรอกขอรับ ต่อให้เดาได้ ข้าก็มีวิธีรับมือขอรับ!”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท