บทที่ 1431 ปมความแค้น
บทที่ 1431 ปมความแค้น
แม่นางที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าตัวตนของนางเป็นคนเช่นไรกันแน่ แต่กลิ่นอายที่แสดงออกมาจากตัวนาง คนรอบตัวนาง อีกทั้งถานอวี้ซูยังปกป้องนางอีก สิ่งนี้ทำให้รู้ว่าสาวงามที่อยู่ตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ถานอวี้ซูไม่ได้สนใจในสิ่งที่ซูหมิ่นพูดกับนาง และทำแค่เหลือบมองซูหมิ่นแวบหนึ่ง จากนั้นก็ดึงกู้เสี่ยวหวานแล้วจากไป
“ทำไมหรือฮู้กั๋วจวิ้นจู่? ทำร้ายข้าแล้วก็ต้องการจากไปง่าย ๆ หรือ ได้ยินมาว่าปู่ของเจ้าเพิ่งฟื้นคืนจากอาการป่วยได้ไม่นาน หากข้ารายงานเรื่องนี้กับฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าปู่ของเจ้าจะโกรธหรือไม่”
“ซูหมิ่น เจ้าจะมากเกินไปแล้ว” ถานอวี้ซูหันมาด่าด้วยความโกรธ “สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้าเพียงผู้เดียว พวกข้าก็มีสิทธิ์ที่จะมา เจ้าคิดว่าพวกข้าแอบฟังที่เจ้าคุย พวกข้าก็ขอโทษแล้ว แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ถ้าหากว่าเจ้ายังเป็นเช่นนี้ เจ้าอยากไปรายงานก็ไปเลย ข้าก็จะบอกฮ่องเต้เหมือนกันว่า เจ้า! หมิงตูจวิ้นจู่มาทำตัวกำเริบเสิบสานในเมืองหลวง เดินไปที่ไหนก็คิดว่าเป็นที่ของตนเอง” ถานอวี้ซูไม่ยอมแพ้และมองด้วยความโกรธ
ซูหมิ่นไม่กลัวและหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าชื่อแซ่ต่างกัน เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะเชื่อเจ้าหรือเชื่อข้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง”
“นี่เจ้า” ถานอวี้ซูโกรธมากจนพูดอะไรไม่ออก
“คนข้างเจ้านี่ดีเหลือเกิน อวี้ซู ขอเพียงเจ้าเก็บนางไว้ ความแค้นระหว่างเราก็ถือว่าหายกัน” ซูหมิ่นชี้ไปทางกู้เสี่ยวหวานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาน่าหวาดกลัวคู่นั้นทำให้คนตัวสั่นระริก
“เจ้าฝันไปเถอะ” หมิงตูจวิ้นจู่ผู้นี้เป็นคนอย่างไรกัน ไม่สนว่าใครเป็นใคร จิตใจคับแคบ ดูถูกกู้เสี่ยวหวานแล้วได้อะไรขึ้นมา
ซูหมิ่นไม่ได้รู้สึกรำคาญใจกับสิ่งที่ถานอวี้ซูปฏิเสธ ตรงกันข้าม ยิ่งเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสำหรับถานอวี้ซู ถานอวี้ซูคือศัตรูของนาง นางไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายมาตั้งนานแล้ว นางก็เป็นจวิ้นจู่เหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นฮู้กั๋วจวิ้นจู่
‘ฮู้กั๋ว’ สองคำนี้ และ ‘หมิงตู’ สองคำนี้ของข้า มันต่างกัน
ฟังจากคำพูดของฮ่องเต้และไทเฮา ทำให้รู้ถึงความสำคัญของถานอวี้ซูในราชวงศ์ชิง
อย่างไรก็ตาม แม้จะสำคัญแค่ไหน ก็เป็นแค่ชื่อแซ่ที่ได้มาจากการฆ่าชิงเท่านั้น จะเทียบกับข้าที่เป็นสายเลือดแท้ได้อย่างไร
ข้าเป็นถึงลูกสาวของเสด็จลุงของฮ่องเต้ เป็นลูกพี่ลูกน้องโดยตรงของฮ่องเต้และเป็นหลานสาวของไทเฮา สถานะสูงส่งไร้เทียมทาน
สถานะเช่นนี้ ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ผู้นั้นจะมาเทียบกับข้าได้อย่างไร
ข้าทำอะไรถานอวี้ซูไม่ได้ แต่ผู้หญิงข้างกายถานอวี้ซูคนนั้น ข้าสามารถจัดการได้ ถ้าหากได้ตัวนางมา ก็ให้นางมาชดเชยความโกรธที่ข้ามีต่อถานอวี้ซู แบบนั้นสามารถระบายความโกรธได้จริง ๆ
ยังมีพี่จือเยว่ เมื่อครู่เขามองแม่นางคนนั้นหลายรอบ แม่นางผู้นี้งามกว่าข้าตรงไหนกัน
หากดวงตาของนางสวยกว่าข้า…
เช่นนั้นก็ควักดวงตานางออกมา ดีเลย! จะได้เอามาดูว่าดวงตาของข้าหรือของนางที่งามกว่ากัน
มุมปากซูหมิ่นยกยิ้มเยาะเย้ย ทำให้หลังถานอวี้ซูเย็นวูบ ความหมายแฝงของผู้นี้ ถานอวี้ซูรู้ชัดเจนทุกอย่าง
นางและหมิงตูมีความแค้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้าเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาแยกแยะระหว่างความรักและความเกลียดอย่างชัดเจน แต่ซูหมิ่นผู้นี้กลับเป็นคนยโสโอหัง โหดเหี้ยมอำมหิต ซูหมิ่นผู้นี้เคยทุบตีบ่าวรับใช้จนถึงแก่ชีวิต ยิ่งกว่านั้น บ่าวคนนั้นรับใช้และอยู่ข้างกายซูหมิ่นมาตลอด แต่กลับไม่มีความดีความชอบและยังต้องทำงานอย่างหนัก ชีวิตมนุษย์ต้องถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าซูหมิ่นผู้นี้มีนิสัยที่เหี้ยมโหดมากเพียงใด
หลังจากที่รู้ความชั่วร้ายของซูหมิ่นผู้นี้แล้ว ถานอวี้ซูก็ให้ความสนใจต่อคนผู้นี้มากขึ้นและเฝ้ามองจากระยะไกล แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมองเขาอย่างใกล้ชิด
มีครั้งหนึ่งที่ซูหมิ่นขี่ม้าเข้ามาในตัวเมืองและเกือบเหยียบเด็กจนตาย หากถานอวี้ซูไม่รีบไปช่วยเด็กคนนั้นไว้ เกรงว่าเด็กคนนั้นคงถูกเหยียบจมกองเลือดไปนานแล้ว
ซูหมิ่นผู้นี้น่าชิงชังมากเกินไปแล้ว
ครั้งนี้ถานอวี้ซูทนไม่ได้ ตอนนี้ต้องไปรายงานให้ไทเฮาได้ทราบ
ไทเฮาเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้คนอย่างเหตุผลโดยไม่คำนึงถึงเครือญาติ ตอนขี่ม้าไปถนนก็เกือบจะทำร้ายคนของตนเอง
หลังจากฮ่องเต้ทราบก็โกรธมาก อีกทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ฮ่องเต้จะไม่กลายเป็นคนบิดเบือนกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและไม่สนใจความปลอดภัยของประชาชนหรอกหรือ?
ฮ่องเต้คิดเรื่องนี้อยู่นาน โดยคิดว่าจะลงโทษซูหมิ่น ถือโอกาสใช้เรื่องในตอนนั้น หักเบี้ยของซูหมิ่นหนึ่งปี และไม่ให้ออกจากบ้านสามเดือน นี่ถือเป็นบทลงโทษที่หนักหนา
ซูหมิ่นถูกขังอยู่ในบ้านเป็นเวลาสามเดือน นางรู้สึกเบื่อและในใจก็ยิ่งเกลียดแค้นถานอวี้ซูจนถึงขั้นอยากกินเนื้อ ดื่มเลือด และเลาะกระดูกของนาง
ความแค้นระหว่างทั้งสองจึงถูกหล่อหลอมขึ้น ไม่มีใครถูกชะตากับใคร ซูหมิ่นต้องการล้างแค้นด้วยลูกศรดอกเดียว ยิ่งไม่มีโอกาสก็ยิ่งยาก มันไม่ง่ายเลยที่นางจะคว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้ แล้วจะปล่อยให้พลาดได้อย่างไร
“อวี้ซู องค์รักษ์สองคนนี้ถือดาบทองทั้งคู่ เสด็จพี่ของข้าเลือกมาแทนองค์รักษ์ที่จวิ้นจู่เลือก วันนี้พวกเจ้าทำร้ายองค์รักษ์ของข้า นั่นถือว่าไม่เคารพฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายของข้า ถ้าเรื่องนี้ถึงหูเสด็จพี่ละก็…” ซูหมิ่นพูดเยาะเย้ย “เจ้าไม่เป็นไร แต่แม่นางข้างกายเจ้าทำให้องค์รักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีโทษประหารชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
กู้เสี่ยวหวานมองไปที่สาวงามอย่างหมิงตูจวิ้นจู่ที่จิตใจชั่วร้าย หากแต่สายตานางสงบนิ่ง ไม่มีความตื่นตระหนกหรือรู้สึกสูญเสียการควบคุมอารมณ์ใด ๆ
อาโม่ยืนถือดาบอยู่ข้างหน้ากู้เสี่ยวหวานตลอด สีหน้าท่าทางของเขานิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่หมิงตูจวิ้นจู่พูด
“ซูหมิ่น เจ้าอย่าเอาพี่ชายฮ่องเต้มาขู่ข้า” ถานอวี้ซูดึงกู้เสี่ยวหวานและจะจากไป “วันนี้พวกข้าจะไปแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าจะขวางพวกข้าได้หรือ”
พูดจบก็อยู่ภายใต้การปกป้องของอาโม่และอาจั่ว และในตอนที่ซูหมิ่นรีบร้อน ถานอวี้ซูก็ดึงกู้เสี่ยวหวานออกไป
ซูหมิ่นกระทืบเท้าอยู่ข้างหลังด้วยความโกรธ “เศษสวะ เป็นถึงองค์รักษ์ที่เสด็จพี่เลือก แต่ล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์”
องค์รักษ์ทั้งสองคนคุกเข่าลงบนพื้น มองหน้ากันแล้วไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เมื่อมองไปที่ถานอวี้ซูและผู้หญิงคนนั้นที่เดินจากไป ซูหมิ่นถลึงตาด้วยความโกรธและรู้สึกเกลียดชัง