บทที่ 1433 โหดเหี้ยมอำมหิต
บทที่ 1433 โหดเหี้ยมอำมหิต
“เจ้าแน่ใจหรือว่าวันนี้พวกเราเจอเสี้ยนจู่คนนั้นในวัดกว่างหยวน” ซูหมิ่นยังไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ใช่ว่าคนที่พบวันนี้เป็นสาวชาวบ้านที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไม่เข้าใจอะไรเลยหรอกใช่ไหม”
ก็นับว่าซูหมิ่นไม่อยากจะยอมรับ แต่แม่นางคนนั้นที่พบเห็นในวันนี้ดูสะดุดตาจริง ๆ ราวกับเทพธิดาที่ออกมาจากในวัง ทุกอย่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าช่างดูงดงาม นี่มันนางเซียนจริง ๆ
“สิ่งที่จวิ้นจู่พูด เป็นความจริงอย่างแน่นอน” เมื่อเห็นว่าซูหมิ่นไม่เชื่อ จึงพูดด้วยความหนักแน่นว่า “ข้าคนนี้กล้าเอาหัวเป็นประกัน”
ดูแล้ว นั่นคงเป็นเสี้ยนจู่จริง ๆ
พวกเขาเคยได้ยินข่าวคราวของเสี้ยนจู่คนนี้มาตลอด มีฐานะเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีวิธีแก้ปัญหา ทั้งยังช่วยคนยากไร้ที่พลัดถิ่นและอดอยาก ฮ่องเต้คงได้ยินข่าวคราวเช่นนี้ จึงได้ประทานตำแหน่งให้นาง คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เดิมทีก็คิดว่าเป็นเพียงสาวชาวบ้านที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า จะมีเล่ห์กลดี ๆ อะไรซ่อนไว้ แต่จากที่ดูวันนี้…
เสียงระฆังดังขึ้นในใจของซูหมิ่นให้นางคิดทำอะไรสักอย่าง คิดถึงสายตายามที่ซูจือเยว่มองกู้เสี่ยวหวานผู้นั้น นัยน์ตามีทั้งความดีใจตื่นเต้นอย่างไม่อาจหลอกใครได้จริง ๆ
เห็นได้ชัดว่าพี่จือเยว่รู้จักนางมาก่อนหน้านั้นแล้ว
คิด ๆ ดู พี่จือเยว่นั้นอยากพบนางมาตลอด กลับไม่เคยได้พบนางเลย คิดไม่ถึงว่ามาวันนี้จะได้พบนาง
ซูหมิ่นดึงผ้าห่มที่อยู่ใต้ร่างออก ฉีกผ้าห่มผืนนั้นออกเป็นส่วน ๆ ไม่นานผ้าห่มนุ่มนิ่มผืนนั้นก็ถูกนางฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
นี่คืออาการของโรคขี้โมโหของจวิ้นจู่ นางไม่พูดอะไรสักคำ เพียงจ้องมองไปยังที่ใดที่หนึ่งเพื่อรอเวลาที่จะปะทุออกมา
อารมณ์ร้อนกรุ่นของนางทำให้ผู้คนไม่กล้าแม้แต่หายใจ ไม่มีความกล้าแม้แต่น้อย เหล่าคนรับใช้ได้แต่คุกเข่าหมอบลงกับพื้นอย่างไม่กล้าขยับตัว
ช่างดีจริง ๆ เสี้ยนจู่คนนี้ จุ๊ ๆๆ ช่างเป็นหญิงสาวที่สวยจริง ๆ ซูหมิ่นยิ้มอย่างเยือกเย็น แต่แล้วจู่ ๆ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นและเอ่ยออกมาเสียงเย็น “จับตาดูนางให้ข้า ถ้าหากมีข่าวคราวอะไรก็มารายงานข้าได้ตลอดเวลา”
คนที่คุกเข่าอยู่พลันร่างกายสั่นเทาและพูดอย่างตะกุกตะกักว่า “จวิ้นจู่ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องรายงาน”
“ว่ามา”
“ข้างกายเสี้ยนจู่ผู้นั้นมีองครักษ์ชายหญิงคอยปกป้อง วรยุทธ์ยอดเยี่ยม ยามที่ข้าคอยตามนาง แต่ไม่นานก็ถูกพวกเขาพบเจอ”
“ไร้ประโยชน์” หลังจากซูหมิ่นได้ฟังก็ลุกขึ้นพร้อมสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธเคือง ชาที่ร้อนจัดถูกราดไปที่องครักษ์ที่นั่งคุกเข่าอยู่
ชาร้อนจัดถูกราดตั้งแต่หัวลงไป ใบหน้าขององค์รักษ์ผู้นั้นแดงฉานจากการถูกน้ำร้อนลวก แต่กลับไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย ปล่อยให้น้ำชาที่ร้อนจัดไหลจากศีรษะลงมาที่ตา แม้แต่ตาก็ไม่กล้ากะพริบ
“ไร้ประโยชน์ ไม่สมกับที่ท่านอ๋องเป็นคนเลือกมา เจ้าคนไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าสองคนทำอะไรคนคนเดียวไม่ได้ ข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร”
“จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิตข้า จวิ้นจู่โปรดไว้ชีวิตข้า” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาปกปิดความหวาดกลัวไม่ได้แม้แต่น้อย
“เจ้าคนไร้ค่า ไสหัวออกไปซะ!” ซูหมิ่นสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ผลไม้ของว่างทั้งหมดบนโต๊ะตกลงไปที่พื้นทำให้เกิดเสียง ‘ตุบ’ แล้วหมุนอยู่สองครั้ง
หลังจากการอภัยโทษครั้งนี้ ทุกคนต่างรีบคุกเข่าและร้องขอความเมตตา ในชั่วพริบตา ในห้องก็เหลือเพียงซูหมิ่นและสาวใช้เพียงคนเดียวคือไชเยว่
ไชเยว่เก็บกวาดผลไม้ที่กองอยู่บนพื้น พร้อมชงชาให้ซูหมิ่นใหม่อีกครั้ง แล้วจึงนั่งยอง ๆ อยู่ที่ด้านหน้าซูหมิ่น คอยนวดขาให้นาง
ซูหมิ่นยกชาร้อนขึ้นดื่มและรู้สึกพึงพอใจกับการนวดของไชเยว่ จึงทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เพียงแต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันยังไม่คลายออก
เสี้ยนจู่เป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้มีพระราชโองการแต่งตั้งให้นาง คนคนนี้ถึงจะมียศเป็นแค่ขุนนางระดับห้า แต่กลับเป็นผีเสื้อหยกในพระราชสำนัก ถ้าตนเองคิดจะปองร้ายนาง คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่
คนคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพื่อนของถานอวี้ซู พี่จือเยว่ก็ดูเหมือนจะสนใจคนคนนี้มาก
“ให้ตายเถอะ” พอคิดถึงตรงนี้ ซูหมิ่นจึงแผดเสียงออกมา มือของไชเยว่หยุดลงด้วยความตกใจ ลอบมองซูหมิ่นด้วยความตื่นตระหนก “จวิ้นจู่ ข้าน้อยออกแรงมากไปหรือ”
“เปล่า” ซูหมิ่นส่ายหัวพลางหลับตาลงอีกครั้ง
ไชเยว่ซึ่งกำลังนวดขาให้ซูหมิ่นอยู่นั้นขมวดคิ้ว นัยน์ตาเกิดประกายขึ้นแวบหนึ่ง และพูดขึ้นมาทันทีทันใดว่า “จวิ้นจู่ เป็นเพราะเสี้ยนจู่ผู้นั้นที่พบในวัดกว่างหยวนกำลังรบกวนใจท่านอยู่หรือ?”
“หึ ก็แค่สาวชาวบ้านธรรมดา” ซูหมิ่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พี่จือเยว่ชอบนางไปได้อย่างไร”
ไชเยว่ผู้นี้ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าพอมีวิธีอยู่บ้าง พอที่จะจัดการเสี้ยนจู่ผู้นั้นได้”
“วิธีอะไร” ซูหมินได้ฟังก็รีบถามกลับทันใด
ไชเยว่ผู้นี้มาอยู่กับนางในภายหลัง แต่ไชเยว่กลับกล้าหาญและไม่หวาดกลัวนางยามโมโห ทว่ากลับแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
เมื่อได้ฟังวิธีที่จะจัดการกลับกู้เสี้ยวหวาน ในใจก็เกิดความพอใจ
ไชเยว่กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของซูหมิ่นสองสามประโยคก็เห็นคิ้วของนางคลายออก ใบหน้าที่สวยงามฉายแววความชั่วร้ายออกมาครู่หนึ่ง
ในด้านของซูจือเยว่ เมื่อรู้ว่าคนที่พบถึงสองครั้งสองครานั้น คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นเสี้ยนจู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือเสี้ยนจู่อันผิงจริง ๆ”
“ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเสี้ยนจู่แน่นอน ได้ยินว่านางเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้เพื่อมาเข้าเฝ้าไทเฮา”
ใช่แล้ว วันเกิดของไทเฮาทรงมีคำสั่งให้ขุนนางหญิงทุกคนที่มีระดับห้าขึ้นไปเข้าเฝ้า คิด ๆ ดูแล้ว เสี้ยนจู่คนนั้นคงมาเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮาจริง ๆ
ความประหลาดใจฉายวาบผ่านดวงตาของซูจือเยว่ หากแต่มันแฝงไปด้วยความดีใจ คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางคือเสี้ยนจู่
ภัยพิบัติในปีนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีเมืองหนึ่งที่ไร้ผู้ประสบภัย ตรงกันข้ามผู้ประสบภัยในเมืองอื่น ๆ ล้วนไปที่นั่นเพื่อหลบภัย เมื่อผู้ประสบภัยทุกคนที่ไปถึงที่นั่นก็ได้รับความช่วยเหลือ จนสุดท้ายก็กลับมาที่ถิ่นเดิมของตนเอง
ความสำเร็จเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในราชวงศ์ชิง เรื่องที่เกินตัวเช่นนี้ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเพียงหญิงสาวตัวเล็กคนหนึ่งจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ในเวลานั้นฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้งในคุณงามความดีของนางเป็นอย่างมาก จึงมอบตำแหน่งเสี้ยนจู่ให้กับหญิงสาวผู้นี้
ข้าเพียงนึกว่าเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง คิดไม่ถึงจริง ๆ
เมื่อนึกถึงใบหน้าที่งามราวกับหยกในยามที่เห็นนางที่วัดกว่างหยวนในวันนี้ ซูจือเย่วก็ไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้