ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 526 หุ้นส่วน(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 526 หุ้นส่วน(2)

ตอนที่ 526 หุ้นส่วน(2)

เซี่ยปิงหรุ่ยไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน ที่หล่อนเรียนวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็กก็เพียงแค่จะสืบทอดทักษะทางการแพทย์ของตระกูล พัฒนาทักษะทางการแพทย์ของตัวเองเพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย แต่พอฉินมู่หลานเสนอความคิดนี้ออกมา หล่อนก็มีความทะเยอทะยานมากขึ้น

หากมียาที่สามารถรักษาโรคเฉพาะทางได้ เช่นนั้นต่อไปในวันหน้าก็จะช่วยรักษาผู้คนได้เยอะขึ้น

แต่ไม่นาน หล่อนก็อยากจะถามคำถามอีกหนึ่งข้อ

.”มู่หลาน หน่วยแพทย์วิจัยเรื่องยาที่เธอพูดถึงนี่เชี่ยวชาญแพทย์แผนตะวันตกใช่ไหม เพราะแพทย์แผนจีนตรวจให้ได้เป็นรายบุคคล ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็คงไม่เหมาะ ฉันเรียนแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมาะกับเรื่องพวกนี้หรอก”

ได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็รีบเอ่ย “ปิงหรุ่ย เธอน่ะเหมาะอยู่แล้ว ใครบอกว่ามีทีแค่แพทย์แผนตะวันตกเท่านั้นจึงจะพัฒนายาได้ แพทย์แผนจีนของพวกเราก็พัฒนายาได้เหมือนกัน พวกยาที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในจีนส่วนใหญ่ล้วนใช้ยาแพทย์แผนจีนทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ”

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินแบบนี้ก็นึกถึงยาที่ได้รับการจดสิทธิบัตรบางชนิด ก่อนจะพยักหน้า “ก็จริง ฉันนึกไปถึงแพทย์แผนตะวันตกเป็นพิเศษ ลืมนึกไปว่ายาของแพทย์แผนจีนเราก็มีประสิทธิภาพมากเหมือนกัน”

“ใช่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันอยากจัดตั้งหน่วยแพทย์วิจัยยานี้ขึ้นมา เพื่อให้แพทย์แผนจีนอย่างพวกเราได้มีที่ศึกษามากขึ้น ต่อไปจะได้พัฒนายาและจดสิทธิบัตรยาได้เยอะขึ้น” หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็ยกตัวอย่างยาหลายชนิดที่ตัวเองเคยพัฒนาขึ้นมานำเสนอ

“ยาพิเศษสองตัวนั้นเธอรู้จักมันอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ฉันพูดถึงหรอก แต่จริง ๆ ฉันยังมียาที่มีประสิทธิภาพและได้รับการจดสิทธิบัตรในประเทศจีนอีกเยอะมาก เพียงแต่ว่ายาพวกนั้นหาไม่ได้ตามท้องตลาดทั่วไป ส่วนใหญ่จะอยู่กับทางกองทัพ” พูดจบ ฉินมู่หลานก็พูดถึงสูตรยาทั้งหมดที่เธอเคยมอบให้กับทางกองทัพก่อนหน้านี้ ก่อนจะกล่าวว่า “เธอดูสิ ยาพวกนี้เป็นยาที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในจีนใช่ไหม นี่คือเส้นทางสู่การเปิดศูนย์วิจัยยาของเราในอนาคต จะได้พัฒนายาที่มีประสิทธิภาพออกมาแล้วจดสิทธิบัตรในจีนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยปิงหรุ่ยลังเล ไม่ได้ตอบตกลงในทันที ฉินมู่หลานจึงกล่าวต่อ “ปิงหรุ่ย ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ตัดสินใจลำบาก เพราะฉะนั้นเธอลองคิดให้รอบคอบก่อนก็ได้”

เซี่ยปิงหรุ่ยจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบจริง ๆ ตอนแรกหล่อนคิดจะกลับบ้านหลังจากเรียนจบ แต่ฉินมู่หลานกลับพูดแบบนี้ หล่อนจึงรู้สึกลังเลนิดหน่อย

“มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันขอลองคิดให้ดีก่อนนะ”

“ได้”

ฉินมู่หลานกินข้าวเสร็จและคุยกับเซี่ยปิงหรุ่ยแล้ว ก็นำของที่เจี่ยงสือเหิงซื้อให้ลูก ๆ ทั้งสองกลับไป

หลังจากฉินมู่หลานกลับไปแล้ว เซี่ยปิงหรุ่ยก็นั่งอยู่ในลานบ้านตามลำพัง ครุ่นคิดในเรื่องที่เพิ่งคุยกับฉินมู่หลานเมื่อสักครู่

เซี่ยปิงชิงเห็นหล่อนนั่งนิ่งเป้นรูปปั้น จึงอดถามไม่ได้ “เป็นอะไรไปเนี่ย เมื่อกี้มู่หลานเพิ่งคุยกับเธอ แล้วเธอก็เป็นแบบนี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

เมื่อเห็นเซี่ยปิงชิงถามขึ้น เซี่ยปิงหรุ่ยก็เล่าสิ่งที่ฉินมู่หลานคุยกับหล่อนให้ฟัง

เซี่ยปิงชิงได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มทันที

“เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องลำบากใจล่ะ ในใจเธอคิดยังไงก็ทำอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ก็แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ จะได้ไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยปิงหรุ่ยยังลังเลใจอยู่แบบนี้ เซี่ยปิงชิงก็ปรายตามอง แล้วกล่าว “เธอก็เป็นแบบนี้ตลอด ไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนฉันเลย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ปรายตามองเซี่ยปิงชิง ก่อนจะกล่าวว่า “จ้าๆๆ แม่คนกระปรี้กระเปร่า”

พูดจบก็ย้อนมานึกถึงปัญหาของตัวเอง และลองคิดเรื่องนั้นต่ออย่างรอบคอบ เพราะเรื่องอาชีพการงานหลังเรียนจบถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเอง

แต่ฉินมู่หลานไม่คิดว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะครุ่นคิดหนักขนาดนี้ หลังจากเธอกลับบ้าน ก็นำของที่เจี่ยงสือเหิงซื้อให้ไปเก็บให้เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มเขียนแผนธุรกิจ

วันนี้เธอไปรีบไปทาบทามเซี่ยปิงหรุ่ย ซึ่งถือว่ารีบร้อนไปหน่อย จึงได้เพียงพูดอย่างเดียว ไม่ได้มีแผนการอะไรไปนำเสนอ ตอนนี้เธอจึงเริ่มเขียนถึงสิ่งที่เธอวางแผนจะทำต่อไปในอนาคต

รอจนกระทั่งไปมหาวิทยาลัย เธอจะนำแผนธุรกิจที่เขียนนี้ไปให้เซี่ยปิงหรุ่ยลองพิจารณา ถึงตอนนั้นหล่อนต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน

เมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำทันที ฉินมู่หลานใช้เวลาเขียนอยู่เนิ่นนาน เมื่อซูหว่านอี๋เข้ามาหา ฉินมู่หลานก็ยังเขียนแผนอยู่

“มู่หลาน ลูกกำลังรีบร้อนทำอะไรอยู่น่ะ ตั้งแต่กลับมาก็เอาแต่เขียนอยู่นั่น”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็วางปากกาลง ก่อนจะเอ่ยถาม “แม่คะ มาทำอะไรเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ “มีเรื่องอะไรกันล่ะ ก็มาเรียกลูกไปกินข้าวนั่นแหละ ลูกดูสิว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามเข้าแล้ว”

ฉินมู่หลานเห็นว่าตอนนี้เริ่มมืดแล้ว “ค่ะ หนูจะไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากฉินมู่หลานกินเสร็จ เธอก็เริ่มเขียนอีกครั้ง ในที่สุดก็เสร็จทันเวลาไปมหาวิทยาลัยในวันจันทร์

“อะไรเนี่ย?”

เซี่ยปิงหรุ่ยจ้องมองกระดาษปึกหนา สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

“เธอลองอ่านดูเดี๋ยวก็รู้”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยจึงค่อย ๆพลิกหน้ากระดาษอ่าน หลังจากอ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างใน สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตกใจ “มู่หลาน นี่เป็นแผนธุรกิจการจัดตั้งหน่วยแพทย์ที่เธอจะทำอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินมู่หลานพยักหน้าทั้งรอยยิ้มแล้วกล่าว “ใช่แล้ว หลังจากเธออ่านจบช่วยให้คำตอบฉันด้วยนะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยนึกไม่ถึงว่าฉินมู่หลานจะเขียนแผนธุรกิจได้มากมายขนาดนี้ในเวลาอันสั้น หล่อนจึงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ ฉันจะให้คำตอบเธอหลังอ่านจบ”

ตอนนี้หล่อนก็ยังตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ตอนแรกคิดว่ามู่หลานแค่พูดไปงั้น ๆ แต่ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่ามู่หลานจะทำจริง เช่นนั้นหล่อนเองก็ต้องคิดให้รอบคอบหน่อยแล้ว

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ย ก็ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ได้ แล้วฉันจะรอคำตอบของเธอ”

ไม่กี่วันต่อมา เซี่ยปิงหรุ่ยก็อ่านแผนธุรกิจที่ฉินมู่หลานมอบให้ตัวเองอย่างละเอียด หลังจากที่ได้อ่านก็รู้สึกใจเต็นแรง หากพวกเธอผลิตยาที่มีคุณภาพออกมาได้มากมายขนาดนั้น เช่นนั้นพวกเธอทั้งสองจะต้องมีชื่อจารึกเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักอย่างแน่นอน

เมื่อลองคิดอย่างรอบคอบ หล่อนก็รู้สึกว่าตัวเองมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม และในตอนนี้ ในใจหล่อนก็มีคำตอบเรียบร้อยแล้ว

“มู่หลาน ฉันตัดสินใจแล้ว หลังจากเรียนจบฉันจะไม่กลับบ้าน ฉันจะเป็นหุ้นส่วนกับเธอ”

เมื่อเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยตอบตกลง ใบหน้าของฉินมู่หลานก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ต่อไปพวกเราสองคนก็จะได้ทำงานด้วยกัน”

“ใช่ พวกเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

เซี่ยปิงหรุ่ยแทบทนไม่ไหวอยากจะลงมือทำเสียตอนนี้ “มู่หลาน ต้องรอจนกว่าพวกเราจะเรียนจบเลยเหรอ?”

“ควรรอให้เรียนจบก่อนนะ ถ้าพวกเรากำลังเป็นนักศึกษาอยู่ ทุกคนจะเชื่อมั่นในตัวพวกเราเหรอ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็ถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “ก็จริง อย่าให้ใครรู้สึกไม่เชื่อมั่นพวกเรา” แต่เมื่อนึกไปถึงยาก่อนหน้านี้ที่ฉินมู่หลานผลิตออกมา จึงอดพูดไม่ได้ “แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนเชื่อมั่นในตัวเธอนะ เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ต้องรอจนถึงตอน…”

แต่ยังไม่ทันพูดจบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดมองไปที่ท้องของฉินมู่หลานเสียไม่ได้

“ก็จริง พวกเราไม่ต้องรีบร้อนหรอก จะทำอะไร ก็ต้องให้เธอคลอดลูกก่อน”

“ใช่แล้ว เธออย่าเพิ่งรีบร้อน ยังไม่สายไปหรอก”

ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะฉะนั้นฉินมู่หลานจึงยังไม่รีบร้อนขนาด ยิ่งไปกว่านั้นลูกในท้องก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลด้วย ตอนนี้เธอเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าอย่างยิ่ง เพราะท้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมแล้ว และอีกไม่นานก็ใกล้จะปิดเทอม เมื่อถึงช่วงครึ่งหลังของวันปิดเทอม เธอก็จะคลอดแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แผนธุรกิจช่างยิ่งใหญ่ดูมีเป้าหมายชัดเจนมากอะ แต่ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามนะ รอให้คลอดก่อน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท