ตอนที่ 3101 เก้าด่านนภาใหญ่
“เซียวเหอ ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง”
สิงเจี้ยนสยาทอดสายตามองไป
เซียวเหอในชุดดำ รูปร่างสูงใหญ่กำยำเก็บกระบี่ยักษ์คู่ในมือ ก่อนยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่หรอก”
เขานิสัยนิ่งเงียบสงวนวาจา เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
“พวกเราไปจากที่นี่ก่อน หาที่ปักหลักสักแห่ง”
สิงเจี้ยนสยากวาดตามองรอบๆ สัมผัสได้อย่างฉับไวว่าพื้นที่ใกล้เคียงมีกลิ่นอายน่าสะพรึงไม่น้อย เห็นชัดว่าถูกการต่อสู้เมื่อครู่ดึงดูดเข้ามา
“ได้”
คนอื่นๆ ล้วนพยักหน้า
…
กลางหุบเขาที่รายล้อมด้วยพยับหมอกลูกหนึ่ง
พวกหลินสวิน สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีนั่งอยู่บนพื้น
ระหว่างทางมุ่งหน้ามายังหุบเขา หลินสวินรู้ความเป็นมาของมารเฒ่าฉู่และอวิ๋นเซียงจื่อจากปากฟู่หนานหลีแล้ว
มารเฒ่าฉู่นามว่าฉู่ปู้จิ้ว เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพหกครั้ง
อวิ๋นเซียงจื่อเป็นคู่บำเพ็ญของมารเฒ่าฉู่
สองสามีภรรยาคู่นี้ชื่อเสียงโด่งดังสุดขีดในทุกโลกยุคสมัยในทะเลโชคชะตา ไม่เพียงเพราะพลังต่อสู้ของทั้งคู่น่าสะพรึงยิ่ง แต่ยังเป็นเพราะความสามารถในการหลบหนีของพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหล้าอีกด้วย
แม้จะเป็นพวกที่พลังต่อสู้กร้าวแกร่งเหนือพวกเขายังยากจะสกัดกั้นสังหารพวกเขาได้
พวกสิงเจี้ยนสยา จอมมรรคซานเฟิง เซียวเหอผูกแค้นกับมารเฒ่าฉู่สองสามีภรรยาตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ความแค้นครั้งนี้สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
“ซานเฟิง ตอนนี้เจ้ายังไม่ยอมเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องให้ข้าฟังอีกหรือ”
สิงเจี้ยนสยาหันมองจอมมรรคซานเฟิง
จอมมรรคซานเฟิงนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วยิ้มขื่นกล่าว “รู้แต่แรกแล้วว่าปิดเจ้าได้ไม่นานนักหรอก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งวันแรกที่มาถึงโลกบัวชะตา เซียวเหอก็ถูกศัตรูพวกนั้นหมายหัวแล้ว ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าอยากรู้ข้าก็ไม่ปิดบังเจ้า”
กล่าวพลางเขาเล่าที่มาที่ไปของเรื่องให้ฟัง
“ตั้งแต่ยามบัวชะตามหามรรคดอกแรกของยุคสมัยนี้ปรากฏขึ้นมา ข้า เหล่าไป๋เจ๋อ เหล่ามู่ และเซียวเหอก็เข้าร่วมด้วยกัน และเป็นตอนนั้นเองพวกเราถึงพบว่าศัตรูก่อนหน้านี้รวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกัน”
“พันธมิตรหรือ” สิงเจี้ยนสยาหรี่ตา
“ใช่ พันธมิตรนี้นำโดยอิงเทียนเซิงแห่งยุคมาร รวมพลขั้นไร้ขอบเขตใหญ่สิบเก้าคนรวมมารเฒ่าฉู่สองสามีภรรยาด้วย”
จอมมรรคซานเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในพันธมิตรนี้ส่วนใหญ่มีแค้นกับพวกเรา หลังจากพวกเราเข้าสู่โลกบัวชะตาเคยถูกโจมตีจากอีกฝ่ายมากกว่าหนึ่งครั้ง”
“ส่งผลให้ยามบัวชะตามหามรรคปรากฏในสามครั้งก่อน แม้พวกเราจะมีโอกาสเข้าร่วม แต่ทุกครั้งล้วนถูกพวกอิงเทียนเซิงขัดขวาง จำเป็นต้องหนีออกจากโลกบัวชะตานี้ก่อนล่วงหน้า”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “และในโลกบัวชะตาที่ปรากฏครั้งที่สี่ เหล่าไป๋เจ๋อกับเหล่ามู่ยิ่งถูกอีกฝ่ายซุ่มโจมตีขณะหลบหนี ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบร่วงหล่นอยู่ที่นี่ จนกระทั่งยามโลกบัวชะตาครั้งนี้ปรากฏ อาการบาดเจ็บของพวกเขาสองคนยังไม่หายดีย่อมไม่มีโอกาสเข้าร่วม”
ฟังถึงตรงนี้สีหน้าของสิงเจี้ยนสยาและฟู่หนานหลีล้วนเปลี่ยนเป็นอึมครึม
ศัตรูเหล่านี้ถึงกับรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรกัน ซ้ำยังโจมตีพวกจอมมรรคซานเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า นี่รังแกกันเกินไปชัดๆ!
“อันที่จริงเรื่องอย่างการจับกลุ่มเป็นพันธมิตร ในโลกบัวชะตาพบเห็นบ่อยไม่แปลกใหม่ เพราะอย่างไรยิ่งกำลังคนมากก็ยิ่งมีอานุภาพขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการต่อสู้แย่งชิงระหว่างขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ จำนวนคนมากน้อยมักเป็นกุญแจสำคัญ”
จอมมรรคซานเฟิงกล่าวเสียงเบา “อย่างพวกซินหู เหลยซ่งก็เป็นพันธมิตรกับเจ้าเฒ่าส่วนหนึ่งจากยุคสมัยอื่นนานแล้ว หาไม่ด้วยพลังของพวกเขามีหรือจะยึดครองโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์ในการต่อสู้ครั้งก่อนได้”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินอดถามไม่ได้ว่า “พวกเขาเป็นพันธมิตรกับใครหรือ”
จอมมรรคซานเฟิงกล่าวว่า “เจ้าเฒ่ากลุ่มหนึ่งนำโดย ‘ตู้เฟิง’ แห่งยุคธรรม รวมถึงพวก ‘เวิงซิงไห่’ จากยุคพ่อมด”
สิงเจี้ยนสยากล่าวเสริมจากด้านข้างคล้ายกลัวว่าหลินสวินจะไม่รู้ความสัมพันธ์ในนั้น “อันที่จริงเดิมทีพวกซินหู เหลยซ่งก็มาจากยุคธรรมและยุคพ่อมด หรือกล่าวได้ว่าบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌาน และบรรพจารย์เทียนอูแห่งลัทธิพ่อมด ก็ก้าวออกมาจากสองอารยธรรมยุคสมัยนั้น”
หลินสวินกระจ่าง
จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา…
‘เก้ายอดเคราะห์มรรค’ ที่ประสบในสายธารยุคสมัยในแหล่งสถานศุภโชคปีนั้น พิบัติเคราะห์แข็งแกร่งที่สุดเก้าชนิดที่พุ่งเป้าเล่นงานระดับนิรันดร์ก็ถือกำเนิดจากโลกเก้ายุคสมัย
และในเก้ายุคสมัยนี้ก็มียุควิถียุทธ์ ยุคธรรม ยุคพ่อมด เป็นต้น
อย่างพวกสิงเจี้ยนสยา จอมมรรคซานเฟิงก็มาจากยุควิถียุทธ์
อย่างซินหูมาจากยุคธรรม
เหลยซ่งมาจากยุคพ่อมด
ถึงขั้นที่ทูตชะตาสวรรค์อิงซานอิงที่พบเจอในปีนั้นก็มาจากยุคมรรค หนึ่งในเก้ายุคสมัยด้วยเช่นกัน
เมื่อสันนิษฐานเช่นนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ทันที ว่ามารเฒ่าฉู่และอวิ๋นเซียงจื่อที่เจอก่อนหน้านี้น่าจะมาจากยุคมารหนึ่งในเก้ายุคสมัย!
‘น่าสนใจ หรือว่าอารยธรรมยุคสมัยที่แข็งแกร่งที่สุดในสายธารยุคสมัยนั่นก็คือเก้ายุคนี้’
หลินสวินคิดถึงตรงนี้พลันค้นพบเรื่องหนึ่งทันที หลังจากอารยธรรมเก้ายุคสมัยนี้ล่มสลายก็ไม่ได้คงอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค!
นี่เหมือนกับอารยธรรมเซียนยุทธ์ในยุคสมัยก่อน ล้วนมอดดับโดยสิ้นเชิงในการดับสิ้นของยุคสมัย ไม่เหมือนอารยธรรมยุคสมัยอื่นๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในแหล่งสถานศุภโชค
‘นี่หมายความว่าอายรธรรมยุคสมัยยิ่งใหญ่มากเท่าไร เคราะห์ของการดับสิ้นของยุคสมัยที่ต้องเผชิญก็ยิ่งน่ากลัวมเท่านั้น และยิ่งหายสาบสูญโดยสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดายมากเท่านั้นใช่หรือไม่’
หลินสวินรู้สึกรางๆ ว่าน่าจะเป็นเช่นนี้
“สถานการณ์อันตรายขนาดนี้แล้ว ในโลกบัวชะตาครั้งก่อนเจ้ายังไปลอบโจมตีพวกซินหู ไม่รักชีวิตชัดๆ”
สิงเจี้ยนสยาถอนใจเบาๆ ดูคลายกล่าวโทษ แต่ที่จริงในใจก็อบอุ่นเช่นกัน
“ข้าไม่ได้ลอบโจมตีคนเดียว แต่เป็นข้าและพวกเซียวเหอ เหล่าไป๋เจ๋อลอบโจมตีพร้อมกัน”
จอมมรรคซานเฟิงหัวเราะขึ้นมา
“ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไร”
ฟู่หนานหลีถาม
สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนยิ่ง
คู่ต่อสู้ของพวกเขา ก็คือบรรดาศัตรูที่มีอิงเทียนเซิงแห่งยุคมารเป็นผู้นำ
ขณะเดียวกันก็มีพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากสองยุคอย่างยุคธรรมและยุคพ่อมดด้วย
แน่นอนว่ายามไปช่วงชิงโอกาสมุ่งสู่แหล่งสถานอัศจรรย์จริงๆ คนอื่นๆ ทั้งหมดที่กระจายอยู่ในโลกบัวชะตาล้วนเป็นคู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพ!
“เดิมทีข้าตั้งใจว่าหากมีโอกาสจะส่งกู่เยวี่ยหมิง ซุ่นไหวเจี่ย และเสวี่ยเย่ไปแหล่งสถานอัศจรรย์ก่อน แต่ตอนนี้เห็นที…พวกเราจะมีเรื่องด่วนคับขัน ไม่อาจพิจารณาเรื่องช่วงชิงโอกาสได้อีก แต่ต้องไปจัดการภัยคุกคากจากศัตรูก่อน”
สิงเจี้ยนสยาสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา
สถานการณ์ร้ายแรงมากจริงๆ กำลังพลของศัตรูล้วนแข็งแกร่งยิ่ง อย่างพันธมิตรที่นำโดยอิงเทียนเซิง รวมอิงเทียนเซิงแล้วก็มียี่สิบคนเต็ม!
ลำพังแค่จุดนี้ก็ทำให้ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่คนใดก็ตามใจสั่นได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากผู้แข็งแกร่งจากสองยุคสมัยอย่างยุคธรรมและยุคพ่อมดอีกด้วย
ย้อนกลับมามองทางด้านพวกเขา กลับมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนนี้เท่านั้น
ศัตรูและฝ่ายเราต่างกันราวฟ้ากับเหว!
“ก็มีแต่ต้องเป็นเช่นนี้แล้ว”
ฟู่หนานหลีพยักหน้าน้อยๆ เขาก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์เช่นกัน
เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มกดดัน หลินสวินอดยิ้มกล่าวไม่ได้ “ผู้อาวุโสทุกท่าน ตามความเห็นข้า พวกเราสู้ไม่ไหวก็แค่เผ่นหนี ยิ่งกว่านั้นระยะเวลาห่างจากช่วงเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนจริงๆ ยังเหลืออีกราวแปดร้อยปี ช่วงหลายปีถัดจากนั้นบัวชะตามหามรรคย่อมต้องปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ แน่ พวกเราแค่ต้องอยู่ให้รอดกันก่อน ภายหน้าก็จะมีโอกาสเหยียบคู่ต่อสู้ให้ราบทั้งหมดแน่”
ประโยคเดียวเห็นชัดว่ามองในแง่ดียิ่ง
เซียวเหอที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดอดมองหลินสวินปราดหนึ่งไม่ได้ คล้ายกำลังจะบอกว่าเจ้าหนุ่มขั้นสรรสร้างนี่ยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์สักนิด
กลับเห็นจอมมรรคซานเฟิงหัวเราะฮ่าๆ “เซียวเหอ เจ้าอย่าได้ดูเบาสหายน้อยหลินเชียว ก่อนหน้านี้ข้าลืมบอกเจ้า สหายน้อยหลินไม่ธรรมดา เป็นเพราะการปรากฏตัวของเขา ทำให้เจ้าเฒ่าอย่างพวกซินหู เหลยซ่งล้วนถูกกำจัดสิ้นซาก…”
เขากล่าวพลางเล่าเรื่องที่รู้จากสิงเจี้ยนสยาให้เซียวเหอฟังทั้งหมด
เซียวเหอฟังจบยังอดอึ้งไปไม่ได้
เนิ่นนานกว่าเขาจะกล่าวว่า “เยี่ยมยอด!”
สำหรับเซียวเหอที่หวงคำพูดดั่งทองคำ นิ่งเงียบสงวนวาจา การเอ่ยคำชมเช่นนี้ออกมาก็นับว่าหาได้ยากมากแล้ว
“รอหลังจากพวกกู่เยวี่ยหมิงและพวกเรารวมตัวกัน พวกเราไป ‘เก้าด่านนภาใหญ่’ ด้วยกันเป็นอย่างไร”
จู่ๆ สิงเจี้ยนสยากล่าวขึ้น
เก้าด่านนภาใหญ่!
พื้นที่ใจกลางในโลกบัวชะตามี ‘แท่นมรรคบัวชะตา’ ตั้งอยู่แท่นหนึ่ง ใครสามารถครอบครองแท่นมรรคบัวชะตาเป็นเวลาหนึ่งวัน คนผู้นั้นก็สามารถชิงโอกาสมุ่งหน้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์นั่นได้ และกลายเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย
และรอบแท่นมรรคบัวชะตามี ‘ด่านนภา’ กระจายอยู่เก้าแห่ง
ด่านนภาแต่ละแห่งก็เหมือนปราการเก่าแก่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง มีเพียงยึดครองด่านนภาหนึ่งแห่งเท่านั้นจึงจะมีโอกาสไปครอบครองแท่นมรรคบัวชะตา
ช่วงที่ผ่านมาทุกครั้งยามการต่อสู้ปะทุขึ้น ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละฝ่ายล้วนจะไปช่วงชิงด่านนภาโดยไม่สนใจทุกสิ่ง
ที่ทำไปก็เพื่อจะได้มีโอกาสไปยึดครองแท่นมรรคบัวชะตา!
ส่วนผู้ฝึกปราณนอกเก้าด่านนภาใหญ่ แม้จะมีฝีมือเทียมฟ้าก็ไม่มีโอกาสไปแย่งชิงแท่นมรรคบัวชะตา
และเพราะเป็นเช่นนี้ เก้าด่านนภานั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่นองเลือดที่อำมหิตที่สุดในโลกบัวชะตา
“พวกเราไม่มีโอกาสใดๆ ไปยึดด่านนภาสักแห่งได้ ต่อให้ยึดมาได้ก็จะถูกผู้อื่นแย่งไปได้ทุกเมื่อ สถานที่แห่งนั้น… ไม่ใช่ที่ที่พวกเราจะเข้าไปสอดมือได้สักนิด”
จอมมรรคซานเฟิงถอนใจเบาๆ
เขาเคยเข้าร่วมการต่อสู้ในโลกบัวชะตาหลายครั้ง มีหรือจะไม่รู้ว่าการแย่งชิงเก้าด่านนภาใหญ่อันตรายเพียงใด
แม้แต่ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ยังต้องเผชิญอันตรายถึงชีวิต!
แววตาสิงเจี้ยนสยาวาววับ “พวกเราแค่ไปท้าทายเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อช่วงชิงแท่นมรรคบัวชะตานั่นจริงๆ เสียหน่อย”
“ท้าท้ายหรือ”
จอมมรรคซานเฟิงอึ้งไป
“ไม่ผิด”
สิงเจี้ยนสยาพยักหน้า
หลินสวินฟังถึงตรงนี้ก็เข้าใจความคิดของสิงเจี้ยนสยาขึ้นมารางๆ แล้ว
ในเก้าด่านนภาใหญ่ ไม่ว่าผู้ครอบครองด่านนภาคนใดก็ตามล้วนสามารถควบคุมพลังกฎระเบียบของด่านนภานั้นๆ ได้ กลายเป็นเจ้าของด่านนภาแห่งนั้น
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพบเจอการช่วงชิงจากผู้ฝึกปราณคนอื่น
วิธีช่วงชิงก็ง่ายดายยิ่ง
นอกด่านนภาแต่ละแห่งล้วนตั้งป้ายศิลาไว้สองแผ่น แผ่นหนึ่งสลักว่า ‘ตัดสินเป็นตาย’ อีกแผ่นสลักว่า ‘ตัดสินแพ้ชนะ’
ศิลาสองแผ่นนี้ถูกเรียกว่า ‘ศิลาสังเวียนมหามรรค’
ผู้ที่หมายช่วงชิงด่านนภา เพียงแค่ต้องเคาะศิลาสังเวียนมหามรรคด้วยพลังมหามรรคของตนก็สามารถเริ่มท้าทายได้
ส่วนผู้ครอบครองด่านนภาจำเป็นต้องรับคำท้าภายในสามสิบลมหายใจหลังจากเสียงศิลาสังเวียนมหามรรคดังขึ้น!
เมื่อผ่านไปสามสิบลมหายใจ หากไม่รับคำท้า ผู้ครอบครองด่านนภาก็จะสูญเสียการควบคุมกฎระเบียบด่านนภาและถูกขับไล่ออกมา