ตอนที่ 3110 มาอีกแล้ว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3110 มาอีกแล้ว

“ขั้นสรรสร้างสังหารกู่เชาจือกับจอมมารหูยงได้หรือ”

ด่านนภาเจ็ดดารา ผู้ครอบครองด่านคือขุมอำนาจยุคธรรม ผู้นำคือตู้เฟิง พวกน่าสะพรึงที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเจ็ดครั้ง

เมื่อรู้ผลงานของหลินสวินที่หน้าด่านนภาสี่ลักษณ์ ขนคิ้วขาวหิมะของตู้เฟิงขมวดเข้าหากันทันที ในใจสั่นสะเทือนวูบหนึ่งเช่นกัน

“ข่าวไม่มีทางเป็นเท็จ กล่าวเช่นนี้เจ้าหลินสวินนี่ดูเหมือนเป็นแค่ขั้นสรรสร้าง แต่อันที่จริงสามารถทัดเทียมกับคนระดับปลายยอดในขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งในโลกบัวชะตาแห่งนี้แล้วหรือ”

ข้างตัวตู้เฟิง เงาร่างกลุ่มหนึ่งก็ล้วนสั่นสะเทือนไร้คำเอ่ย

“ไม่กำจัดเจ้าหมอนี่ ภายหน้าการแก่งแย่งในโลกบัวชะตาย่อมเพิ่มตัวแปรมากขึ้นอีกเป็นแน่”

ตู้เฟิงเงียบไปพักใหญ่ก่อนกล่าวเสียงเบา “ยังดี ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ไม่มีโอกาสให้เจ้าหมอนี่แจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตได้อีก หาไม่ด้วยความเย้ยฟ้าของเขา เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นนี้… ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดเดาจริงๆ”

“หากเจ้าหมอนี่กล้ามา ข้าต้องฆ่าเขาแน่!”

ด่านนภาห้าธาตุ เวิงซิงไห่ผู้นำฝ่ายยุคพ่อมดไอสังหารพลุ่งพล่าน

การแก่งแย่งในโลกบัวชะตาครั้งนี้ พวกเหลยซ่งจากโลกวิญญาณยุทธ์ไม่ได้มา กลับเป็นพวกสิงเจี้ยนสยาและหลินสวินมาแทน

กอปรกับพลังต่อสู้เย้ยฟ้าน่าสะพรึงนั่นของหลินสวินอีก ทำให้เวิงซิงไห่ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า มีแนวโน้มสูงยิ่งว่าพวกเหลยซ่งอาจประสบเหตุอะไร เป็นผลให้พลาดการเข้าร่วมช่วงชิงที่โลกบัวชะตาในครั้งนี้

“จอมมารหูยงยังถูกสังหารแล้ว เจ้าหมอนี่เหนือคาดจริงๆ…”

“คอยดูเถอะ โลกบัวชะตาแห่งนี้ไม่ขาดพวกที่มองคีรีดวงกมลเป็นศัตรูเช่นเดียวกับพวกเรา ต่อให้เจ้าหลินสวินนี่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องตกเป็นเป้าของทุกคนแน่!”

และขณะเดียวกันสถานที่อื่นๆ ในโลกบัวชะตาแห่งนี้ล้วนกระจายข่าวเกี่ยวกับหลินสวินเป็นวงกว้าง พวกเฒ่าชราที่มีชีวิตอยู่มาหลายยุคสมัยเหล่านั้นล้วนตกใจไม่อาจสงบได้

แน่นอนว่าความสามารถของหลินสวินก็เรียกไอสังหารจากศัตรูได้มากมายเช่นกัน

“ตั้งกี่ยุคสมัยผ่านไป ในที่สุดก็ปรากฏตัวแปรที่ทำให้พวกเราคาดไม่ถึง หนึ่งบัวดอกนั้นที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพูดถึงในปีนั้นช่างทำให้คนตั้งตารอจริงๆ…”

มีคนพึมพำ เต็มไปด้วยความฝันใฝ่

“เวลาสำคัญพวกเราต้องร่วมมือกันปกป้องเจ้าหมอนี่ ถึงอย่างไรปีนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็มีบุญคุณกับพวกเรา ไม่อาจไม่ตอบแทน”

และมีคนเอ่ยเสียงขรึม ทำการตัดสินใจ

ในโลกบัวชะตาแห่งนี้มีคนมองคีรีดวงกมลเป็นศัตรูมากมาย แต่ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็มีไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้เมื่อหลินสวินปรากฏตัว ทำให้เรื่องในอดีตมากมายเกี่ยวกับคีรีดวงกมลล้วนคืนสู่สายตาของผู้คนอีกครั้ง

มีคนไอสังหารไหลพล่าน อยากกำจัดหลินสวินให้เร็วๆ

และมีคนระลึกถึงบุญคุณก่อนเก่าของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะปกป้องหลินสวิน

เป็นผลทำให้สถานการณ์โกลาหลขึ้นเรื่อยๆ ในทันที คลื่นใต้น้ำพลุ่งพล่าน ระลอกคลื่นแปลกพิกล

และเมื่อข่าวแพร่กระจาย ด่านนภาสี่ลักษณ์ก็ดึงดูดเงาร่างน่าสะพรึงไม่น้อย

ส่วนใหญ่มาเพราะหลินสวิน แต่ก็มีคนพยายามไปชิงด่านนภาสี่ลักษณ์เช่นกัน นี่สร้างความกดดันสุดดขีดให้กับพวกอิงเทียนเซิงที่เฝ้าด่านนภาสี่ลักษณ์

พวกเขาไม่คาดคิดว่าเพราะระลอกคลื่นที่หลินสวินเรียกขึ้น กลับทำให้สถานที่ที่พวกเขาเฝ้าปกปักษ์พลอยพบเจอการโจมตีไปด้วยเช่นกัน ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น

ควรรู้ว่าผู้ที่เข้าร่วมการแก่งแย่งของโลกบัวชะตาล้วนเป็นพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่ไม่รู้กี่กาลเวลาเกือบทั้งสิ้น แต่ละคนมีประสบการณ์ระดับตำนานที่น่ากู่ก้องสรรเสริญดุจเทพนิยาย

แต่ละคนล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นไร้ขอบเขตที่ท่องเดินทางทั่วหล้า ผ่านความไม่เที่ยงของยุคสมัยทั้งสิ้น!

เมื่อคนกร้าวแกร่งเหล่านี้รวมตัวกันในพื้นที่หนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าจะทำให้ฟ้าดินแถบนี้เปลี่ยนเป็นน่ากลัวและอันตรายปานใด

อย่างอิงเทียนเซิง เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่สุดปลายยอดในขั้นไร้ขอบเขต แต่อาศัยเพียงพลังของเขาคนเดียวก็ไม่กล้าฝันเฟื่องว่าจะรักษาด่านนภาแห่งหนึ่งได้เด็ดขาด

ขณะเดียวกันคนอื่นๆ ก็มีสถานการณ์เช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

ต่อสู้ลำพังย่อมเอาชีวิตรอดได้ยากในโลกบัวชะตาแห่งนี้แน่นอน

ดังนั้นรวมตัวเป็นฝักเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวพร้อมกันจึงกลายเป็นทางเลือกของทุกคน

และในโลกบัวชะตาแห่งนี้ หากว่ากันด้วยกำลังพลอนุภาพ กองกำลังของพวกอิงเทียนเซิงเรียกได้ว่าเป็นระดับปลายยอดแล้ว

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกอิงเทียนเซิงก็ไม่ต้องหวั่นว่าจะเกิดการเข่นฆ่าและต่อสู้ในเวลาอันสั้น

เวลาเคลื่อนคล้อย

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในถ้ำสถิตหลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ

‘เหตุใดยังไม่อาจแจ้งมรรค หรือเป็นเพราะการเคี่ยวกรำและเข่นฆ่าที่ผ่านมายังไม่เพียงพอ…’

สามวันมานี้อาการบาดเจ็บทั่วตัวหลินสวินฟื้นตัวเป็นปกตินานแล้ว เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหลังผ่านการต่อสู้กับกู่เชาจือและจอมมารหูยง ตนได้ผลเก็บเกี่ยวมาไม่ใช่น้อย พลังต่อสู้ทั้งตัวก็รุดหน้าขึ้นบ้างเช่นกัน

แต่ยังคงไม่มีวี่แววจะทะลวงขั้นเหมือนเดิม

ไม่นานหลินสวินก็ส่ายหน้าเบาๆ

ระยะห่างจากการมาเยือนของเคราะห์แห่งยุคสมัยอย่างแท้จริงยังเหลือแปดร้อยปี แค่อิงจากทุกๆ ยี่สิบปีบัวชะตามหามรรคจะถือกำเนิดขึ้นหนึ่งดอก ก็ยังมีโอกาสมาช่วงชิงในโลกบัวชะตาอีกสี่สิบครั้ง

สำหรับหลินสวิน ขอเพียงรอดชีวิตต่อจากนี้ย่อมมีโอกาสต่อสู้เคี่ยวกรำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน ในช่วงแปดร้อยปีเพียงพอให้เขาทะลวงมรรคาขั้นไร้ขอบเขตได้แล้ว

‘พลังต่อสู้มีความคืบหน้าก็แสดงว่าพลังของข้าในตอนนี้ยังมีช่องว่างให้หล่อหลอมและพัฒนา ยังไม่ได้ถึงจุดสมบูรณ์โดยแท้จริง และหากหมายจะทดสอบว่าพลังต่อสู้สัมบูรณ์แท้จริงอยู่จุดไหนมีเพียงต้องต่อสู้เท่านั้น!’

หลินสวินครุ่นคิดไปพลางขณะเดินออกจากถ้ำสถิต

“แผลสมานดีแล้วหรือ”

ยามเห็นหลินสวินปรากฏตัว พวกสิงเจี้ยนสยาที่เฝ้าคุ้มกันในพื้นที่ใกล้เคียงโดยตลอดล้วนหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมเพรียง

หลินสวินพยักหน้ายิ้ม จากนั้นเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสทุกท่าน ต่อไปพวกเราจะไปที่ไหน”

สิงเจี้ยนสยากล่าว “ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยวิเคราะห์กันแล้ว เรื่องพลังต่อสู้ของเจ้าเกรงว่าป่านนี้คงกระจายไปทั่วโลกบัวชะตาแล้ว นี่ก็หมายความว่าไม่ว่าเจ้าปรากฏตัวที่ใด เมื่อถูกศัตรูหมายหัวย่อมกลายเป็นเป้าของทุกคนแน่”

หลินสวินหรี่ตาลง พยักหน้าน้อยๆ

“แต่พวกเราทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อชิงโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์ จึงไม่จำเป็นต้องอารมณ์ขุ่นและกังวลเพราะเรื่องนี้”

สิงเจี้ยนสยายิ้มกล่าว “ข้า ฟู่หนานหลี จอมมรรคซานเฟิง และเซียวเหอเคยหารือกันแล้ว ตัดสินใจว่าจากนี้จะร่วมกันต่อสู้พร้อมกับเจ้า เป็นเกราะคุ้มกันให้เจ้า”

ฟู่หนานหลีที่อยู่ข้างกันก็ยิ้มกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตได้ ภายหน้าพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีโอกาสไปชิงโอกาสมุ่งสู่แหล่งสถานอัศจรรย์สักนิด”

“ไม่ผิดๆ”

จอมมรรคซานเฟิงพยักหน้า

ในยุควิถียุทธ์เหลือเพียงเขา เซียวเหอ เหล่าไป๋เจ๋อ และเหล่ามู่สี่คน

ด้วยพลังของพวกเขา มีแต่ต้องเลือกเข้าร่วมในขุมอำนาจอื่น หาไม่ในแปดร้อยปีต่อจากนี้ย่อมไม่มีทางมีโอกาสไปแย่งชิงด่านนภาแม้แต่แห่งเดียว

แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางช่วงชิงโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์ได้

นอกจากนี้เนื่องจากพวกเขาถูกพวกอิงเทียนเซิงมองเป็นศัตรู ขอเพียงเข้าโลกบัวชะตาสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นอันตรายไร้ที่เปรียบ

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การร่วมมือกับพวกหลินสวินเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

และพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้จอมมรรคซานเฟิงและเซียวเหอไว้เนื้อเชื่อใจ พวกเขาล้วนรู้ดียิ่ง สักวันหนึ่งหากหลินสวินแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต สภาพการณ์ในโลกบัวชะตาแห่งนี้ล้วนจะถูกโค่นล้มอย่างแน่นอน!

และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งตาคอยพอดี

และเมื่อรู้การตัดสินใจของพวกสิงเจี้ยนสยา หลินสวินยังอดซาบซึ้งไม่ได้ ไออุ่นล้ำลึกทะลักขึ้นในใจ

เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ประสานหมัดคารวะกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านยิ่งนัก”

“เจ้าหนูอย่างเจ้าถึงกับเกรงใจขนาดนี้เชียว…”

สิงเจี้ยนสยาขึงตาใส่หลินสวินปราดหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

คนอื่นๆ ล้วนอดหัวเราะไม่ได้

“ไป พวกเราไปด่านนภาสี่ลักษณ์อีกสักเที่ยว!”

สิงเจี้ยนสยาโบกมือใหญ่คราหนึ่ง

นี่คือสิ่งที่พวกเขาทั้งหมดหารือกันก่อนหน้านี้

จริงอยู่ว่ากำลังพลของพวกอิงเทียนเซิงแข็งแกร่งสุดขีด แต่ตราบใดที่ไม่เลือกตัดสินเป็นตาย หลินสวินก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต

และหลินสวินก็รู้ในที่สุด ตามแผนการของพวกสิงเจี้ยนสยาคือให้ตนต่อสู้โดยใช้วิธีตัดสินแพ้ชนะ

ในศึกตัดสินแพ้ชนะ เมื่อมีฝ่ายหนึ่งประสบอันตรายถึงชีวิต จะถูกพลังกฎระเบียบของ ‘ลานประลองแพ้ชนะ’ ย้ายตัวออกมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้อิงเทียนเซิงลงมือด้วยตัวเองก็ไม่มีโอกาสฆ่าหลินสวินให้ตายสักนิด

ทว่าการตัดสินแพ้ชนะกลับมีข้อด้อยอย่างหนึ่ง…

แม้จะไม่ตัดสินเป็นตาย แต่ในอดีตที่ผ่านมากลับมีผู้ฝึกปราณที่เข้าท้าทายไม่น้อยบาดเจ็บในการต่อสู้ร้ายแรงเกินไป ทำให้รากฐานมหามรรคได้รับความเสียหายจนไม่อาจฟื้นฟูได้

นี่ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการตัดสินเป็นตาย

ทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว พุ่งไปทิศทางที่ด่านนภาสี่ลักษณ์ตั้งอยู่

“ครั้งนี้หากพวกอิงเทียนเซิงยอมสละด่านนภาสี่ลักษณ์เพื่อจัดการพวกเราให้ได้ก็ไม่ต้องแตกตื่น พวกเราจะลงมือพาเจ้าหนีไปด้วยกันทันที”

ระหว่างทางสิงเจี้ยนสยากล่าว “หากพบเจอภัยคุกคามถึงชีวิตจริงๆ อย่างมากพวกเราก็แค่หนีออกจากโลกบัวชะตานี้ตรงๆ”

หมายจะหนีออกจากโลกบัวชะตาก่อน วิธีการง่ายดายยิ่ง…

เพียงบีบมุกชะตามหามรรคที่พกติดตัวให้แตกก็สามารถเปิดประตูมิติที่เชื่อมสู่โลกภายนอก และหนีออกจากโลกบัวชะตาได้แล้ว

แต่ที่ควรต้องเอ่ยถึงคือ การทำเช่นนี้ยังมีโอกาสถูกสังหารได้เหมือนเดิม

ถึงอย่างไรหากตกอยู่กลางวงล้อมแน่นหนา ชีวิตแขวนบนเส้นด้าย ต่อให้เปิดทางหนีเอาชีวิตรอดเกรงว่าก็ไม่มีโอกาสหนีออกไปได้

ทว่านี่เป็นวิธีปลอดภัยที่สุดแล้ว

“แต่จากที่ข้าคาดเดา ไม่ถึงคราวรับไม่ไหวพวกอิงเทียนเซิงย่อมไม่ทิ้งด่านนภาสี่ลักษณ์แน่ เอาเป็นว่าพวกเราต้องเตรียมพร้อมรอบด้าน ถึงตอนนั้นแค่ปรับเปลี่ยนตามโอกาสก็พอ”

สิงเจี้ยนสยากำชับ

ขณะสนทนาก็มองเห็นรูปร่างตระหง่านสูงใหญ่ของด่านนภาสี่ลักษณ์จากไกลๆ แล้ว

“เอ๋!”

“พวกสิงเจี้ยนสยาถึงกับโผล่มาอีกแล้ว…”

“ทุกท่านดูเร็ว นั่นก็คือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลหลินสวิน สี่วันก่อนเขาเป็นคนสังหารจอมมารหูยงที่นี่ พลังต่อสู้ระดับนั้นเรียกได้ว่าเป็นเลิศแห่งยุคชัดๆ!”

“เขาก็คือหลินสวินหรือ ปราณขั้นสรรสร้างดังคาด”

เหมือนกับหลายวันก่อน พื้นที่ใกล้เคียงด่านนภาสี่ลักษณ์มีเงาร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยกระจายตัวอยู่ ยามพวกหลินสวินเพิ่งปรากฏตัวจากไกลๆ ก็ถูกพวกเขาสัมผัสได้ในทันที และเรียกเสียงฮือฮาระลอกหนึ่งขึ้นในที่นี้ด้วยเช่นกัน

สายตามากมายล้วนหันมองหลินสวินพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“เจ้าเฒ่าสารเลวอย่างพวกสิงเจี้ยนสยาถึงกับพาเดรัจฉานตัวจ้อยอย่างหลินสวินโผล่มาอีกแล้ว!”

และขณะเดียวกัน บนด่านนภาสี่ลักษณ์มีคนสีหน้าขรึมลง กัดฟันเอ่ยปาก

พวกอิงเทียนเซิง นิ่งปู้ชวี ฉู่ปู้จิ้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพลิงโทสะที่อธิบายไม่ถูกผุดขึ้นในใจ

พวกเขาล้วนไม่ได้ไปแก้แค้นอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายโร่มาเอง!

หรืออีกฝ่ายตั้งใจจะท้าทายพวกเขาเหมือนวันก่อน

หากเป็นเช่นนี้จริงเท่ากับบ้าคลั่งขาดสติชัดๆ!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท