ตอนที่ 3124 ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว
“พวกเขามาแล้ว”
สิงเจี้ยนสยาสายตาวาบประกาย มองไปยังไกลๆ
พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากฝ่ายศัตรูกรูเข้ามาจากห้วงอากาศไกลๆ ประดุจทัพใหญ่เกรียงไกร
ความเรืองรองของกำลังพล ต่อให้เป็นในโลกบัวชะตาแห่งนี้ก็ยังเรียกได้ว่าน่าสะพรึง!
สายตาของผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลๆ พลอยเคลื่อนมาทางด่านนภาปัญจธาตุด้วยเช่นกัน
ฟ้าดินอึมครึม
แววตาหลินสวินดุจหุบเหวกวาดมองทั่วลาน มุมปากผุดเส้นโค้งเหยียดแคลนขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่ยอมถอยกลับไปเช่นนี้หรือ ได้สิ เข้าแถวให้ดี เตรียมตัวตายทีละคนก็สิ้นเรื่อง”
ประโยคเดียวเรียบง่ายแต่กลับเผด็จการหาใดเปรียบ
พวกอิงเทียนเซิง เจียงหมิงสุ่ยสีหน้าล้วนอึมครึมทันที
เข้าแถวเตรียมตัวตายให้ดีหรือ
ฟังสินี่มันคำพูดอะไรกัน!!
“รอยามพวกข้าแย่งด่านนภาปัญจธาตุนี้ได้แล้ว ข้าจะให้เจ้าพูดประโยคนี้ซ้ำอีกรอบ”
เจียงหมิงสุ่ยเอ่ยปากเยียบเย็น
“เลิกพูดพล่าม ใครจะมาสู้ตัดสินเป็นตายก่อน”
หลินสวินประกาศศึกตรงๆ คร้านจะพูดไร้สาระกับพวกเขา
ตัดสินเป็นตาย…
พวกเจียงหมิงสุ่ย อิงเทียนเซิงสีหน้าแข็งค้าง แม้ว่ากำลังพลของพวกเขาจะแข็งแกร่ง จำนวนคนล้นหลาม แต่ก็ไม่เคยคิดจะสู้ตัดสินเป็นตายมาก่อนสักนิด
และประโยคนี้ของหลินสวินกดแน่นจนอกพวกเขาอัดอั้นขึ้นมาระลอกหนึ่ง สีหน้ายิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ดูหมิ่นเต็มที่ “ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าจะใจกล้าสักแค่ไหนเชียว ที่แท้ก็เท่านี้เอง”
สิงเจี้ยนสยาและคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เสียงดูแคลนนั่นก้องสะท้อนทั่วลาน เสียดแทงจนพวกเจียงหมิงสุ่ย อิงเทียนเซิงแทบคลั่ง
อวดดี!
อวดดีเกินไปแล้วจริงๆ!
“ข้าจะไปสู้กับเจ้าหมอนี่สักตั้ง”
ลู่จงเยียนแววตาเยียบเย็น โบกแขนเสื้อเบาๆ คราหนึ่งกระแทกใส่ศิลาสังเวียนมหามรรค ‘ตัดสินแพ้ชนะ’
วู้ม!
พลันนั้นละอองแสงแถบหนึ่งพุ่งทะยานเสียดฟ้า ตัดสลับวาดโครงร่างกลางอากาศ สุดท้ายกลายเป็นลานประลองที่เจือกลิ่นอายเย็นเยียบนองเลือดแห่งหนึ่ง
และพร้อมกันนั้นสิงเจี้ยนสยาไอสังหารเดือดพล่าน “ให้ข้าไปเถอะ”
หลินสวินส่ายหน้ากล่าว “ฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว ผู้อาวุโสอย่าได้รีบร้อน ต่อจากนี้ยังมีโอกาสต่อสู้อีกเพียบ”
เจ้าตัวจ้อยนี้ถึงกับมองตนเป็น ‘ไก่’ หรือ!?
ใบหน้าหล่อเหลาราวเด็กหนุ่มของลู่จงเยียนเขียวคล้ำ แววตาเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบชวนสยอง
วู้ม…
จากนั้นเงาร่างของเขาและหลินสวินต่างปรากฏตัวอยู่บนลานประลองแพ้ชนะ ประจันหน้ากันอยู่ไกลๆ
และสายตาของทุกคนทั่วลานล้วนมองไปเป็นจุดเดียว
ลู่จงเยียน
ยอดบุคคลที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพหกครั้งคนหนึ่ง พูดถึงพลังต่อสู้ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าฉิวเฟิ่งฉือ จอมมารหูยง พอจะเทียบฝีมือกับพวกยักษ์ใหญ่อย่างอิงเทียนเซิง เจียงหมิงสุ่ยได้
คนน่าสะพรึงเช่นนี้ ในโลกบัวชะตายังถือเป็นบุคคลระดับปลายยอด
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นพวกอิงเทียนเซิงหรือเหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลๆ ล้วนไม่กล้าพูดพล่อยๆ ว่าลู่จงเยียนจะเอาชนะได้
เพราะคู่ต่อสู้ของเขาคือหลินสวิน!
พวกที่ยามอยู่ขั้นสรรสร้างสัมบูรณ์ก็สังหารจอมมารหูยงตาย และเขาในตอนนี้ยิ่งแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตแล้ว
ใครจะกล้าลืมฉิวเฟิ่งฉือและคนใหญ่คนโตขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อื่นๆ ที่ถูกเขาฆ่าตายยามอยู่ด่านนภาสี่ลักษณ์
และใครจะกล้าลืมว่าเมื่อครู่นี้หลินสวินอาศัยเพียงพลังแห่งตนก็พลิกเปลี่ยนสถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมด ช่วยเหลือพวกจอมมรรคซานเฟิงทั้งกลุ่มจากเคราะห์สังหาร
กล่าวได้ว่าต่อให้หลินสวินไม่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของเขาสามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ในที่นี้เหล่านั้นครั่นคร้ามไม่รู้จบ
“ทำไม ข้าบอกว่าฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัวเจ้าก็ไม่พอใจหรือ เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าว่าอะไรที่เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู!” หลินสวินเอ่ยปากเนิบๆ ไม่เกรงใจแต่อย่างใด
ประโยคเหล่านั้นเหมือนเป็นการดูแคลนยิ่ง ทิ่มแทงจนลู่จงเยียนหน้าเปลี่ยนสีไปมาระลอกหนึ่ง
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกล่าวเน้นทีละคำ “เช่นนั้นข้าคงต้องตั้งตารอชมจริงๆ แล้ว!”
วู้ม…
ไม่นานพลังกฎระเบียบที่กดทับบนตัวทั้งสองคนก็หายไป
ลู่จงเยียนเริ่มเคลื่อนไหวแทบจะในทันที
ตูม!
เสื้อคลุมเพลิงทั้งชุดของเขาพลิ้วไสว ทั่วร่างปรากฏแสงมรรคกฎระเบียบที่เจิดจรัสแสบตาออกมา ทั้งตัวประดุจเพลิงโหม อานุภาพพุ่งพรวดสูงสุดในชั่วอึดใจ
และในมือเขามีกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ตัวกระบี่ดุจเพลิง เจตกระบี่ดั่งเดือดคลั่ง แผ่อานุภาพผลาญฟ้าออกมา!
กระบี่นามผลาญหล้า ยอดสมบัตินิรันดร์อันน่าเหลือเชื่อชิ้นหนึ่ง
“ฟัน!”
ลู่จงเยียนเงาร่างพุ่งทะยาน ก้าวเดียวเหยียบห้วงอากาศแหลก กระบี่ยักษ์ในมือพลิกตวัดดุจธารดาราพลิกคว่ำ ธารเพลิงราวผลาญทำลายฟ้าดินฟันลงมาพร้อมกับกระบี่นี้
เสมือนทะเลเพลิงเก้าชั้นฟ้ามาเยือนโลก!
เพียงแค่การโจมตีนี้ก็เห็นชัดว่าอานุภาพของลู่จงเยียนน่าสะพรึงปานใด ทำเอาสัตว์ประหลาดเฒ่านอกลานจำนวนไม่น้อยล้วนตื่นตกใจ
สมกับเป็นผู้ที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาหกครั้ง ทันทีที่ลงมือก็เป็นการโจมตีซึ่งผสานพลังเข้าด้วยกัน น่าสะพรึงยิ่ง
ตูม!
เพลิงเทพปะทุเดือด แตกกระจายดุดัน เจตกระบี่ประหนึ่งผลาญฟ้านั่นฟันลงมา
กลับเห็นหลินสวินเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือกวาดออกมาราวปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า เรียบง่ายแผ่วเบา
ปึง!
เพลิงเทพแหลกลาญ เจตกระบี่แตกสลาย
กระบี่ยักษ์ในมือลู่จงเยียนยิ่งเหมือนถูกค้อนเทพสวรรค์กระแทกใส่เต็มๆ สั่นสะเทือนรุนแรงดังเคร้ง ภายใต้พลังน่าสะพรึงที่พุ่งโจมตีมาก็ซัดจนกระบี่นี้แทบจะกระเด็นหลุดจากมือ
ส่วนสีหน้าลู่จงเยียนซีดขาวเขียวคล้ำสลับไปมาแล้ว เงาร่างที่พุ่งเข้ามาชะงักนิ่งก่อนถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงปัดฝุ่นถึงกับซัดศัตรูถอยกรูด!
นี่ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่านอกลานทั้งหมดหัวใจสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
โดยเฉพาะพวกอิงเทียนเซิง
พวกเขาเคยเห็นพลังต่อสู้หลังจากหลินสวินแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตมาก่อนแล้ว แต่ตอนนี้กลับพบว่าหลินสวินในเวลานี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนไม่น้อย!
ถึงขั้นที่พวกสิงเจี้ยนสยาก็ยังตะลึงงัน
พวกเขาเพิ่งเห็นหลินสวินปลดปล่อยพลังต่อสู้ยามประลองหนึ่งต่อหนึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อเห็นว่าลู่จงเยียนถูกซัดออกไปง่ายๆ ในใจก็ผุดความสะท้านสะเทือนขึ้นมาเสี้ยวหนึ่งอย่างอดไม่ได้
หลินสวินในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ!
“ฝีมือแค่นี้เองหรือ”
เสียงของหลินสวินเรียบเรื่อย แววดูถูกและเหยียดแคลนในคำพูดนั่นกลับไม่ปิดบังสักนิด
ลู่จงเยียนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สองมือประกบก่อนเรียกกระบี่ยักษ์ขึ้นมาเบื้องหน้า ด้ามกระบี่กระแทกผ่านห้วงอากาศอย่างแรงคราหนึ่ง
ตูม!
เจตกระบี่พันหมื่นสายอุบัติ จากนั้นก็กลายเป็นเขากระบี่พันหมื่นลูกเรียงรายกลางอากาศ เบียดเสียดแน่นขนัด เสมือนเทือกเขาเรียงสลับทับซ้อน ปรากฏภาพป่ากระบี่เรียงกลางอากาศ
เขากระบี่แต่ละลูกล้วนตอบสนองกัน ก่อร่างกลายเป็นปราการที่แทบโจมตีไม่สะเทือนเป็นชั้นๆ
ความรู้สึกที่มอบให้ผู้คนประหนึ่งว่าหากต้องการจัดการลู่จงเยียน ก็ต้องข้ามเขากระบี่พวกนี้ไปให้ได้ก่อน
พวกอิงเทียนเซิงต่างลอบถอนหายใจโล่งอก พวกเขามองออกว่าลู่จงเยียนเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว มาเป็นฝ่ายตั้งรับแทน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถยื้อเวลาได้มากที่สุดเท่าขณะรับมือกับหลินสวิน ค่อยๆ สูบพลังกายของอีกฝ่ายไปทีละนิด
ต่อให้สุดท้ายจะพ่ายแพ้ แต่ที่ลานประลองนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะตาย
และเมื่อเห็นภาพนี้หลินสวินก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “ไม่มีประโยชน์”
เสียงยังไม่ทันสิ้นสุดเงาร่างเขาก็เหยียบย่างกลางอากาศทันที เดินไปข้างหน้า
ตูม! ตูม! ตูม!
ทุกครั้งที่ก้าวเท้าฟ้าถล่มดินทลาย ห้วงอากาศจมจ่อม และอานุภาพบนตัวหลินสวินก็ยิ่งไต่ทะยานขึ้นทีละนิด
กระทั่งมาถึงเบื้องหน้าเขากระบี่เป็นชั้นๆ นั่น อานุภาพของเขาก็ประดุจนายเหนือหัวเหนือสุด รอบตัวเต็มไปด้วยประกายเทพกฎระเบียบที่คลุมเครือดุจแรกกำเนิด
ลู่จงเยียนกลั้นหายใจ สีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ไป!”
เขาตวาดลั่นคราหนึ่ง
เขากระบี่พันหมื่นลูกหมุนโคจรฉับพลัน ลอยขึ้นกลางอากาศ เสมือนกระบี่ยักษ์ทะยานฟ้าเป็นสายๆ ฟันไปทางหลินสวิน
ก็เป็นเวลานี้เองที่หลินสวินจรดหนึ่งดรรชนีออกมา
พลังดรรชนีสายนี้พุ่งโฉบ ราวกับประกายคมที่เสียบทะลวงหมื่นยุคสายหนึ่งปรากฏขึ้น
ฟุ่บ!
เขากระบี่ลูกหนึ่งที่อยู่หน้าสุดถูกแทงเป็นรูกลวงอย่างง่ายดาย ที่ตามมาติดๆ คือ…
ฟุ่บๆๆ!
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพลังดรรชนีสายนั้นพุ่งตรงดิ่งต่อไป เหมือนเจาะทะลวงกระดาษบางเป็นแผ่นๆ ทะลุผ่านเขากระบี่ตลอดทาง!
เร็วเกินไปแล้ว
อานุภาพดุจผ่าลำไผ่ตลอดทาง พริบตาก็มาถึงตรงหน้าลู่จงเยียนแล้ว
ในช่วงเวลาอันตรายนี้เบื้องหน้าลู่จงเยียนปรากฏคันฉ่องทองแดงเพลิงแดงที่ราวหลอมขึ้นจากทองเทพสายหนึ่งกลางอากาศ
ปึง!
เสียงระเบิดสะเทือนหูดังกึกก้อง คันฉ่องทองแดงเพลิงแดงแม้จะต้านพลังดรรชนีนี้ไว้ได้ แต่กลับปรากฏรอยร้าวถี่ยิบดุจใยแมงมุมขึ้นมา จากนั้นก็แตกระเบิดเสียงดังเพล้ง
ลู่จงเยียนกระอักเลือดคราหนึ่ง สีหน้าผุดแววหวาดหวั่นขึ้นมาบ้างเสี้ยวหนึ่ง
พลังป้องกันของเขากระบี่กร้าวแกร่งขนาดไหน กลับถูกหนึ่งดรรชนีเจาะทะลวง และ ‘โล่มรรคแดงชาด’ ของเขา ยิ่งถูกซัดกระจุยตรงๆ!
อานุภาพราวบดขยี้นี้ทำเอาสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างลู่จงเยียนยังขนลุกขนพองไประลอกหนึ่ง ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความน่ากลัวของหลินสวิน
ถึงขั้นเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ตนต้องก้าวออกมาท้าสู้กับหลินสวินเป็นคนแรกด้วย…
“เจ้าในตอนนี้ต่างอะไรกับลูกไก่ตัวหนึ่งหรือ”
หลินสวินย่างเท้าก้าวเข้ามา สายตาลุ่มลึกเยียบเย็น
ในถ้อยคำเป็นการมองขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ระดับปลายยอดคนหนึ่งเป็นเป็ดไก่ นี่เป็นการเหยียบย่ำและดูแคลนยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ทำเอาเฒ่าชรานอกลานพวกนั้นล้วนอัดอั้นไประลอกหนึ่ง สีหน้าไม่น่าดู
แต่ลู่จงเยียนไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้
พอเห็นว่าหลินสวินบุกเข้ามาอีก เงาร่างเขาวูบไหว พยายามยื้อเวลาไม่ประชันกับหลินสวินซึ่งหน้า
หากอยู่โลกภายนอก วิธีเช่นนี้ย่อมใช้ประโยชน์ได้
แต่ที่นี่คือลานประลองแพ้ชนะ ต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็มีขอบเขตจำกัด ทำให้ลู่จงเยียนที่เคลื่อนย้ายหลบหลีกก็ถูกจำกัดอย่างมากด้วยเช่นกัน
แต่มีหรือหลินสวินจะก็ให้โอกาสเขาหลบเลี่ยงได้อีก
ตูม!
เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ฝนกระบี่ไพศาลร่วงลงมาจากฟ้า แผ่ทั่วห้วงอากาศ พาดขวางห้อตะบึง
เคร้งๆๆ!
ลู่จงเยียนตวัดกระบี่ต้านทาน ทว่าฝนกระบี่แน่นขนัดนั่นกลับซัดจนเงาร่างเขาซวนเซถอยกรูด พลังขับเคลื่อนทั่วร่างพลิกตลบ สภาพสะบักสะบอมดูไม่ได้
เขาทุ่มสุดกำลังแล้ว แต่ยังคงไม่ไหวอย่างเห็นได้ชัด!
สวบ!
เมื่อเห็นว่าฝนกระบี่กระหน่ำลงมา ลู่จงเยียนตั้งท่าจะเบี่ยงหลบ ทว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งทะลวงออกมาคว้าลำคอเขาอย่างง่ายดาย สลายอนุภาพทั่วร่างเขาด้วยพลังแกร่งกร้าวประหนึ่งทำลายได้ทุกสิ่ง
ปึง!
ร่างมรรคของลู่จงเยียนแตกระเบิด เลือดเนื้อโชกโลหิตยังไม่ทันร่วงกระจาย ก็ถูกพลังกฎระเบียบที่ปรากฏขึ้นมาฉับพลันบนฝ่ามือหลินสวินหลอมเป็นพลังต้นกำเนิดนิรันดร์ที่บริสุทธิ์ยิ่งกลุ่มหนึ่ง
นี่ย่อมเป็นนัยเร้นลับห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ผสานเข้ากับนัยเร้นลับนิพพาน ขอเพียงหลินสวินต้องการย่อมสามารถปลดปล่อยอานุภาพของมันออกมาได้
“ไม่…”
พลังจิตของลู่จงเยียนตะโกนลั่น เผยแววหวาดกลัวออกมาในท้ายที่สุด
ร่างมรรคของขั้นไร้ขอบเขตถูกหลอมสิ้นซาก ระดับความสูญเสียนั้น ต่อไปฟื้นคืนสภาพกลับมาได้ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าไร!
“หากนี่ไม่ใช่การต่อสู้แพ้ชนะ เจ้ายังจะร้องออกมาได้อีกหรือ”
ขณะหลินสวินเอ่ยพูดฝ่ามือก็ออกแรงอีกครั้ง พลังจิตของลู่จงเยียนเจ็บปวดดั่งถูกหมื่นกระบี่จ้วงแทงอย่างไรอย่างนั้น สติสัมปชัญญะล้วนเลือนราง
และเวลานี้เองพลังกฎระเบียบของลานประลองแพ้ชนะก็ปรากฏออกมา บังคับพาพลังจิตของลู่จงเยียนออกไปในช่วงเวลาเป็นตายนั้น
หลินสวินเคยเห็นมาแล้วย่อมไม่แปลกใจ
เขาเก็บกระบี่ยักษ์ที่ลู่จงเยียนทิ้งไว้ขึ้นมา จากนั้นเงาร่างหายวับไปจากลานประลองแพ้ชนะเช่นกัน
ครั้นหันมองดูทั่วลาน ทุกคนล้วนตกตะลึง!