ตอนที่ 3131 หยั่งรู้โชคชะตา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3131 หยั่งรู้โชคชะตา

บรรยากาศเงียบสงัด

เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างจิตใจปั่นป่วน ถึงกับอิจฉาอยู่กลายๆ

ต่อให้นี่คือโลกบัวชะตาที่มีกฎระเบียบโชคชะตาอยู่ทั่ว ต่อให้แข็งแกร่งเท่าพวกเขา แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ก็ยังแตะธรณีประตูของกฎระเบียบโชคชะตาไม่ได้!

พูดกันตามจริง ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ ในยุคสมัยในอดีตเหล่านั้นก็แทบไม่มีใครหยั่งรู้พลังโชคชะตาได้

ใช่ว่าไม่อยาก

แต่พลังกฎระเบียบเช่นนี้เป็นสิ่งต้องห้ามเกินไป แม้จะมีพรสวรรค์ไร้เทียมทานก็ยังมองทะลุได้ยาก

แต่ซย่าจื้อกลับสามารถดูดซับพลังกฎระเบียบโชคชะตามาหลอมได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนั้น เพียงคิดก็รู้ว่าจะทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นสั่นสะท้านได้มากมายปานไหน

ครู่ใหญ่พวกสิงเจี้ยนสยาต่างหันหลังจากไปเงียบๆ

ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครเอ่ยปากถาม

เรื่องแบบนี้ได้เห็นก็พอ

หลินสวินนั่งข้างๆ ซย่าจื้ออยู่ตลอด จู่ๆ เขาก็ฉุกคิด

ในจตุโบราณสถานมีพลังต้นกำเนิดทั้งนั้น

อย่างห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ถือกำเนิดขึ้นที่ต้นกำเนิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

อย่างกฎระเบียบศุภโชคก็ถือกำเนิดขึ้นในสายธารยุคสมัยของแหล่งสถานศุภโชค

ส่วนกฎระเบียบโชคชะตานี้ก็ถือกำเนิดขึ้นในพลังต้นกำเนิดของแหล่งสถานคุนหลุนเช่นกัน!

และควรรู้ว่านัยเร้นลับนิพพานของเขาสามารถหลอมรวมห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์กับกฎระเบียบศุภโชคเป็นหนึ่งเดียวได้ เช่นนั้นทำไมจะสัมผัสและหลอมกฎระเบียบโชคชะตาไม่ได้

ก่อนหน้านี้ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงนัยเร้นลับกฎระเบียบโชคชะตาได้ อาจเป็นเพราะถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์และพลังปราณ

แต่เขาในตอนนี้เป็นขั้นไร้ขอบเขตแล้ว นัยเร้นลับนิพพานก็แปรสภาพชนิดพลิกฟ้าดิน ใช่ว่าจะสามารถสัมผัสนัยเร้นลับกฎระเบียบโชคชะตาได้แล้วหรือไม่

คิดถึงตรงนี้พลังขับเคลื่อนทั้งร่างหลินสวินก็โคจรเงียบๆ สงบใจสัมผัส

เวลาผันผ่านไปทีละน้อย

หลินสวินไม่เคลื่อนไหวมาตลอด ในใจเขายังออกจะผิดหวัง หรือกฎระเบียบโชคชะตานี่จะไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ สามารถหยั่งรู้ได้ง่ายๆ จริงๆ

ก็ในตอนที่หลินสวินคิดจะยอมแพ้

ซย่าจื้อที่กำลังฝึกปราณกลับคล้ายรับรู้อะไรได้ ดวงตาคู่งามลืมขึ้นมามองดูหลินสวินที่อยู่ข้างกายเหมือนสงสัย

ก่อนหน้านี้นางรู้สึกได้ว่าพลังกฎระเบียบโชคชะตาที่ถูกตนดึงดูดมาออกจะไม่เชื่อฟังอยู่กลายๆ คล้ายต้องการจะหนี

นางจะยินยอมได้อย่างไร บังคับดูดซับกฎระเบียบโชคชะตาที่คิดจะหนีเหล่านี้ทันที

แต่เมื่อเวลาผ่านไป พลังกฎระเบียบโชคชะตาที่ถูกดึงลงมาจากเวิ้งฟ้ากลับยิ่งไม่เชื่อฟัง เหมือนต้องการออกจากการควบคุมของนางทั้งหมด

และบัดนี้เมื่อซย่าจื้อเห็นหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายตนก็เข้าใจขึ้นมาทันที เก็บพลังกฎระเบียบโชคชะตาที่ฝืนบังคับดูดซับทันใด

จากนั้นซย่าจื้อก็เห็นว่าพลังกฎระเบียบโชคชะตาที่เปล่งประกายโปร่งแสงร่วงโรยลงมาเหมือนเส้นด้ายเป็นสายๆ นั้นต่างโถมไปหาหลินสวิน

‘อย่างนี้นี่เอง’

ซย่าจื้อเข้าใจแจ่มแจ้ง ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้ตนเอาแต่สนใจการฝึกปราณของตัวเอง แต่กลับฝืนยึดครองกฎระเบียบโชคชะตาที่เดิมทีถูกหลินสวินสัมผัสได้มากมาย ช่าง… ไม่สมควรเกินไปจริงๆ

พูดอีกอย่างก็คือ เดิมทีหลินสวินสามารถหยั่งรู้กฎระเบียบโชคชะตาได้ แต่เพราะอยู่ใกล้ซย่าจื้อเกินไป ถึงกับทำให้กลิ่นอายและพลังของกฎระเบียบโชคชะตาเหล่านั้นถูกซย่าจื้อยึดไปหมด…

และตอนนี้ซย่าจื้อคล้ายทำเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดเล็กๆ ในใจ นางใช้ความคิดเหนี่ยวนำให้พลังกฎระเบียบโชคชะตาที่สัมผัสได้ไปที่ร่างหลินสวินทั้งหมด

…..

หลินสวินที่เดิมทีคิดจะถอดใจพลันตัวสั่นไปหมด นัยเร้นลับมหามรรคอันคลุมเครือเป็นสายๆ ผุดขึ้นในใจ แม้จะเล็กน้อยจนไม่อาจสัมผัสได้ แต่หลินสวินกลับตื่นเต้นขึ้นมาทันที

นี่… นี่มันกลิ่นอายของมหามรรคโชคชะตา!!

ใครจะคิดว่าตอนที่จะถอดใจกลับพบความหวังอย่างปุบปับเช่นนี้

‘ที่แท้พลังกฎระเบียบโชคชะตาก็ถูกข้าหยั่งรู้ได้…’

หลินสวินฝืนกลั้นความตื่นเต้นในใจ สงบใจสัมผัสด้วยพลังนิพพาน

ไม่นานนักเขาก็รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างเหมือนถูกพลังมหามรรคไม่ขาดสายฝังกลบ ทำให้จิตวิญญาณของเขาราวกับตกอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลในชั่วพริบตา

ฟองคลื่นและกระแสน้ำที่ตีกระทบหน้านั้นมีแต่กลิ่นอายของโชคชะตา!

หลินสวินยังรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน

พลังของกฎระเบียบโชคชะตาที่สัมผัสได้นี้หนักแน่นเกรียงไกรไปแล้วกระมัง อย่างกับทะเลโชคชะตาแห่งหนึ่ง!

ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกถึงอะไรสักนิด จู่ๆ ตอนนี้กลับสัมผัสได้มากมายขนาดนี้ นี่ทำให้หลินสวินยังรู้สึกเหนือคาด พลิกผันฉับพลัน

เขาไม่รู้ว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะซย่าจื้อกำลังชดเชยให้เขาทั้งนั้น…

ฟู่!

ไม่นานนักหลินสวินก็กลั้นใจจดจ่อ ดำดิ่งสู่การหยั่งรู้อันลึกลับเหลือจะกล่าว

โชคชะตา ยอดมรรคต้องห้ามชนิดหนึ่ง

สรรพชีวิตล้วนมีชะตา

และตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้น วิถีแห่งโชคชะตาของสรรพชีวิตก็เริ่มขึ้นแล้ว

ในโลกปุถุชน บางคนถือกำเนิดในตระกูลสูงส่ง คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เล็ก บางคนถือกำเนิดในที่ยากจนข้นแค้น คิดจะมีชีวิตรอดยังยากนัก

เหล่านี้ต่างมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวิถีแห่งชะตาได้

สรรพชีวิตนับร้อยล้านหมื่นล้านบนโลกล้วนแตกต่างกันไป

และทิศทางของวิถีชะตาก็คือโชคชะตา

โชคชะตานับร้อยร้อยหมื่นล้านมีที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่มีที่เหมือนกัน

โชคชะตาดีร้าย ได้รับอิทธิพลจากพลังมากมายยิ่ง เป็นไปได้สูงยิ่งที่เกิดแก่เจ็บตาย รักใคร่ชิงชัง กระทั่งทุกการกระทำและถ้อยคำในชีวิตต่างกลายเป็นจุดพลิกผันของโชคชะตา

แต่หากปุถุชนทั่วไปไม่ฝึกปราณ ทั้งชีวิตและโชคชะตาก็จะติดอยู่ในวังวนเกิดแก่เจ็บตาย ไม่อาจหลุดพ้นได้

สำหรับพวกเขาแล้ว โชคชะตาเปลี่ยนแปลงได้ แต่เกิดหรือตายไม่อาจเป็นไปตามใจตน ไม่ช้าก็เร็วต้องกลายเป็นดินเหลืองกองหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ฝึกปราณที่เดินบนเส้นทางเย้ยฟ้า แม้เส้นทางที่เดินอยู่จะต่างกันไป แต่เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว คือทำให้พลังของตนแปรสภาพครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้โชคชะตาของตนเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยเกิดแก่เจ็บตาย หลุดพ้นเหนือมรรคาโดยสมบูรณ์

ระดับอมตะเคราะห์มีอายุยืนยาว

ระดับอมตะไม่เสื่อมสลาย

ระดับนิรันดร์ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

เพียงแค่ชื่อระดับเหล่านี้ก็รู้ได้ว่าเมื่อเหยียบย่างบนระดับเหล่านี้ โชคชะตาก็ย่อมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!

แต่ต่อให้เป็นพวกผู้ฝึกปราณเองก็ไปควบคุมโชคชะตาของตนอย่างแท้จริงได้ยากนัก

เพราะบนเส้นทางฝึกปราณมีเคราะห์สังหารอยู่ทั่วไปหมด เหตุไม่คาดฝันมีอยู่ทุกระดับ การเลือกแต่ละครั้ง ความคิดแต่ละอย่าง การเคลื่อนไหวโดยไม่ได้ตั้งใจแต่ละครั้งอาจจะส่งผลกระทบและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ต่างออกไปให้กับโชคชะตาของตนได้ทั้งนั้น

แต่เทียบกับปุถุชนคนทั่วไปแล้ว อย่างน้อยผู้ฝึกปราณก็ไปเสาะแสวงวิธีการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ไปไขว่คว้าหาพลังที่ ‘ชะตาข้าข้ากำหนดมิใช่ฟ้า’ ได้

แต่แม้ว่าโลกนี้จะมียอดบุคคลนับไม่ถ้วน ทว่าตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ผู้ที่สามารถหยั่งถึงพลังโชคชะตา มองทะลุนัยเร้นลับนั้นได้อย่างแท้จริงก็มีเพียงน้อยนิด

อย่างทะเลโชคชะตานี้ มีบุคคลชั้นยอดที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตจากยุคต่างๆ กระจายตัวอยู่ แต่ผู้ที่หยั่งรู้ถึงแก่นอัศจรรย์ของโชคชะตาได้แทบไม่เคยพบเห็น!

จากจุดนี้ก็ดูออกว่ามรรคนี้ต้องห้ามปานไหน

และเวลานี้ สิ่งที่หลินสวินกำลังหยั่งรู้ก็คือนัยเร้นลับมหามรรคโชคชะตา!

……

“หืม?”

จู่ๆ สิงเจี้ยนสยาก็สัมผัสถึง มองไปไกลๆ

ปักษาเทพสีทองอร่ามตัวหนึ่งบรรทุกเงาร่างงามงดร่างหนึ่งบินมาทางด่านนภาห้าธาตุนี้อย่างเงียบๆ

เงาร่างนั้นแต่งกายชุดแดงทั้งตัว อ้อนแอ้นดุจดรุณี ผิวขาวโพลนเปล่งปลั่ง สง่างามตระการตา เป็นซู่หวั่นจวินนั่นเอง!

“นางมาได้อย่างไร”

พวกฟู่หนานหลี จอมมรรคซานเฟิงต่างก็ตกตะลึง เดินเข้ามาแล้ว

ไม่นานนักเงาร่างของซู่หวั่นจวินก็หยุดลงที่หน้าด่านนภาห้าธาตุ ดวงตามองไปยังบริเวณที่หลินสวินกับซย่าจื้ออยู่ สีหน้างุนงง

พลังโชคชะตาที่ร่วงลงมาจากเวิ้งฟ้าเป็นสายๆ นั้นกำลังชโลมร่างของหลินสวินกับซย่าจื้อ และทั้งหมดนี้ก็ดึงดูดใจของซู่หวั่นจวินไปเช่นกัน

“สหายยุทธ์ ขอเชิญมาพูดคุยที่ด่านนภาห้าธาตุเสียหน่อย”

สิงเจี้ยนสยากุมมือเอ่ยปาก

ในโลกบัวชะตาคราวก่อน ซู่หวั่นจวินเคยปรากฏตัวขึ้นตรึงพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างจอมเทพหวงหลงกับจู๋เทียนจวินไว้ด้วยตัวคนเดียว

นี่เป็นบุญคุณยิ่งใหญ่

ต่อให้ในใจพวกสิงเจี้ยนสยาจะหวั่นกลัวซู่หวั่นจวินยิ่งนัก แต่ก็รู้ดีว่านางมารที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นโดยลำพังผู้นี้ ถ้าคิดจะยึดครองด่านนภาสักด่านก็เป็นเรื่องง่ายนัก

ถึงกับว่าถ้านางต้องการไปแหล่งสถานอัศจรรย์ ก็ทำได้อย่างง่ายดายตั้งแต่หลายยุคก่อนแล้ว!

พูดอีกอย่างก็คือ พวกสิงเจี้ยนสยาไม่คิดว่าซู่หวั่นจวินจะมาชิงด่าน

“ข้าแค่ดูก็พอ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

ขณะที่ซู่หวั่นจวินพูด แววตายังคงจับจ้องบริเวณที่หลินสวินกับซย่าจื้ออยู่

พวกสิงเจี้ยนสยาสบตากัน ในใจรู้แจ้งว่าต้องเป็นพลังกฎระเบียบโชคชะตานั่นดึงดูดนางมารผู้นี้มา

บรรยากาศเงียบสงัด

เมื่อเห็นว่าซู่หวั่นจวินไม่เคลื่อนไหวอยู่นาน พวกสิงเจี้ยนสยาต่างก็รู้กาละเทศะไม่ไปรบกวนนาง

……

หนึ่งวันผ่านไป

หลินสวินตื่นจากการหยั่งรู้อันอัศจรรย์นั้น

“หยั่งรู้ไปเท่าไร”

เสียงของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหูเขาทันที

หลินสวินสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ถือว่าเป็นแรกก้าวสำรวจ สำเร็จขั้นต้นได้นิดหน่อย แต่พลังโชคชะตานี้กลับเกี่ยวข้องกับพลังอย่างจิตวิญญาณ กฎกรรม โชคชะตาและการจุติกำเนิดใหม่ ทำให้ข้าเหลือเชื่อจริงๆ”

ซย่าจื้อพูดเสียงเบา “พื้นฐานของโชคชะตาอยู่ที่ชีวิต เมื่อชีวิตแรกกำเนิดมีกฎกรรม กฎกรรมหมายถึงตัวแปร จะติดตามไปตั้งแต่เริ่มจนจบชีวิต เพราะการเกี่ยวพันของกฎกรรม ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของวิถีชะตา นี่ก็คือโชคชะตา”

“จุติกำเนิดใหม่ เกี่ยวโยงถึงวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงสูงสุดของโชคชะตา หากมองทะลุแล้วก็จะจุติเวียนว่ายตายเกิดได้ จิตวิญญาณของตนจะเปลี่ยนแปลงไปในระหว่างที่เคลื่อนคล้อยไปตามวัฏสงสาร อยู่ระหว่างการมีอยู่และดับสูญได้เช่นกัน”

“ส่วนชะตา ก็คือชะตาชีวิตที่เรียกกัน หากมองทะลุก็เหมือนทำลายพันธนาการบนจิตวิญญาณของตนได้ ทำให้โชคชะตาหลุดพ้น ไม่ถูกผูกมัดอะไรอีก”

“น่าเสียดาย ชะตาเป็นนัยเร้นลับสูงสุดของโชคชะตา ตอนนั้นจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ก็ไม่สามารถมองทะลุได้อย่างแท้จริง ดังนั้นนางจึงเลือกจุติกำเนิดใหม่ ฝึกปราณใหม่อีกครั้ง และมีข้าในตอนนี้”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินสั่นสะท้านในใจ “เจ้ารู้หมดแล้วหรือ”

ซย่าจื้อพยักหน้าเอ่ย “พลังที่ข้าหลอมตั้งแต่ข้าถือกำเนิดจนถึงตอนนี้ล้วนมาจากนาง แม้ว่านางจะทำลายร่องรอยความทรงจำในชาติก่อนไปหมดแล้ว แต่ข้ากับนางถือว่ามี ‘จิตวิญญาณ’ เดียวกัน เมื่อเริ่มครอบครองพลังโชคชะตาและกฎกรรมอีกครั้งจึงเริ่มเข้าใจเรื่องของนางแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ดวงตาของนางแจ่มกระจ่างและสงบนิ่งดังเดิม เหมือนสิ่งที่พูดถึงไม่ใช่ชาติก่อนของตัวเอง แต่เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางคนหนึ่ง

หลินสวินเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “เช่นนั้น…”

“นางก็คือนาง ข้าก็คือข้า”

ซย่าจื้อคล้ายรู้ว่าหลินสวินต้องการจะพูดอะไร เอ่ยขึ้นก่อนว่า “มิหนำซ้ำ ทุกอย่างที่นางประสบไม่ได้ส่งผลกับข้าแต่อย่างใด อย่างมากสุดข้าก็แค่สืบทอดจิตวิญญาณกับพลังของนาง”

สุดท้ายซย่าจื้อพูดสรุปว่า “หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางมอบชีวิตให้ข้า ข้ามองนางเป็นร่างมารดา”

ฟังจบหลินสวินก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก

ซย่าจื้อยังเป็นซย่าจื้อคนนั้น ไม่ใช่จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท