ตอนที่ 3132 ออกโจมตี
การหยั่งถึงนัยเร้นลับโชคชะตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมรรควิถีของหลินสวินเท่าไร
ถึงอย่างไรการหยั่งรู้มรรคนี้ของเขาก็เป็นแค่ก้าวแรก ได้อะไรมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ด้วยการหยั่งรู้หนึ่งวัน พลังต่อสู้ของซย่าจื้อกลับเพิ่มสูงขึ้นจนน่าตกใจ เทียบได้กับหลินสวินยามอยู่ขั้นสรรสร้างขั้นต้นแล้ว
ถ้าสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปตลอด หลินสวินยังสงสัยว่าใช้เวลาไม่นานพลังต่อสู้ของนางจะเทียบกับตนได้!
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ถึงอย่างไรซย่าจื้อก็ไม่ต้องหยั่งรู้หรือหล่อหลอมสักนิด ขอเพียงหลอมพลังของชาติก่อนที่ผนึกอยู่ในร่าง พลังต่อสู้ของนางก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลินสวินพูดคุยอีกพักหนึ่งก็ลุกขึ้น
ที่นี่คือโลกบัวชะตา ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะฝึกปราณอะไร สิ่งเดียวที่หลินสวินทำได้ก็คือเตรียมโลกที่ซย่าจื้อจะไม่ถูกรบกวนการฝึกปราณสักแห่ง
“ผู้อาวุโส”
หลินสวินไปหาพวกสิงเจี้ยนสยา “สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ขณะพูดสายตาเขาก็มองไปออกไปไกลๆ จากด่านนภาห้าธาตุแล้ว
ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน
หลังศึกเมื่อวานปิดฉากลง บริเวณใกล้ๆ กับด่านนภาห้าธาตุแห่งนี้ก็มีแต่เงาร่างที่กระจัดกระจายสิบกว่าสาย มิหนำซ้ำยังทำแค่ป้วนเปี้ยนไปมาอยู่ไกลลิบ ไม่กล้าเข้ามาใกล้
“ไม่มีใครกล้ามาท้าสู้”
สิงเจี้ยนสยายิ้มเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าข่าวการต่อสู้เมื่อวานกระจายออกไปแล้ว ทำให้เฒ่าชราในโลกบัวชะตาพวกนั้นต่างไม่กล้าบุ่มบ่ามมาหา”
พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง “เมื่อวานตอนเจ้ากับแม่นางซย่าจื้อฝึกปราณ ซู่หวั่นจวินมาด้วย หลังจากยืนสังเกตการณ์อยู่สองชั่วยามนางก็หันหลังกลับไป”
หลินสวินอึ้งงัน เอ่ยว่า “ทำไมไม่เชิญนางมาด่านนภาห้าธาตุเล่า”
สิงเจี้ยนสยาเอ่ย “เชิญแล้ว แต่นางปฏิเสธ” เขากดเสียงต่ำ “ข้าว่าซู่หวั่นจวินถูกภาพที่เจ้ากับแม่นางซย่าจื้อหลอมมรรคโชคชะตาดึงดูดมา”
หลินสวินพยักหน้า ในใจก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่เช่นกัน
ลำบากลำบนเสาะหามาสิบสามยุคสมัยแต่ไม่อาจคว้าไปได้ ตอนนี้กลับเห็นตนกับซย่าจื้อหยั่งรู้กฎระเบียบโชคชะตาได้ สำหรับซู่หวั่นจวินแล้วคงสร้างความกระทบกระเทือนให้นางไม่น้อย
“สหายน้อย ต่อไปเจ้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่หรือมีแผนอื่น”
จอมมรรคซานเฟิงเอ่ยถาม
หลินสวินรู้ว่าถ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ไปตลอด อีกเก้าวันก็จะมีโอกาสไปชิงแท่นมรรคบัวชะตาได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะเข้าต่อสู้กับผู้ฝึกปราณที่เฝ้าอยู่ในอีกแปดด่าน
ใครยึดและหลอมแท่นมรรคบัวชะตาได้ ผู้นั้นก็เท่ากับครอบครองโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์
แต่ตอนนั้นก็อันตรายที่สุดเช่นกัน
ไม่เพียงต้องเผชิญหน้ากับการห้ำหั่นสุดชีวิตจากบุคคลชั้นยอดของแปดด่านนภา ยังต้องระวังว่าจะมีศัตรูจากภายนอกถือโอกาสชิงด่านนภาไปด้วย
ในอดีตทุกครั้งที่ศึกใหญ่ยามชิงแท่นมรรคบัวชะตาปะทุขึ้น จะต้องเกิดเรื่องบาดเจ็บล้มตายและนองเลือดไม่น้อย
“ผู้อาวุโสทุกท่านมีแผนอย่างไร”
หลินสวินย้อนถาม
สิงเจี้ยนสยาเอ่ยขึ้นทันที “เมื่อวานพวกเราปรึกษากันแล้ว ถ้าคราวนี้มีโอกาสหวังว่าจะสามารถส่งพวกเหล่าไป๋เจ๋อ กับเหล่ามู่และเซียวเหอไปแหล่งสถานอัศจรรย์ แน่นอนว่าในช่วงเก้าวันก่อนจะไปชิงแท่นมรรคบัวชะตา ถ้าเจ้ามีแผนอะไร พวกเราก็จะทำตามที่เจ้าจัดแจง”
ทุกคนต่างมองหลินสวิน
หลินสวินเอ่ยใคร่ครวญ “เก้าวันให้หลังข้าจะร่วมมือกับผู้อาวุโสทุกท่านยึดแท่นมรรคบัวชะตานั่นมาให้ได้ แต่ในเก้าวันนี้ข้าอยากไปที่อื่นสักหน่อย”
พวกสิงเจี้ยนสยาสบตากัน ต่างเผยสีหน้าคาดไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ หลินสวินไม่มีทางปล่อยศัตรูคู่แค้นพวกนั้นไปง่ายๆ แบบนี้แน่
“พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย”
สวินเต้าเยี่ยนกับจอมเทพหลิงหลงลุกออกมา “ต่อให้ช่วยไม่ค่อยได้เท่าไร แต่อย่างน้อยก็ออกแรงให้ได้บ้าง”
นี่ย่อมเป็นคำพูดถ่อมตน
ด้วยพลังต่อสู้ของพวกเขาสองคน ต่างสามารถสู้กับยักษ์ใหญ่อย่างอิงเทียนเซิงกับเจียงหมิงสุ่ยได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จะเทียบกับขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ทั่วไปได้หรือ
“ข้ากับพวกเหล่าฟู่จะอยู่เฝ้าที่นี่”
สิงเจี้ยนสยายิ้มเอ่ยว่า “ถ้ามีคนมาชิงด่าน พวกเราจะส่งข่าวบอกพวกเจ้าทันที ต่อให้เจอกับการประลองตัดสินแพ้ชนะหรือการประลองตัดสินเป็นตาย ด้วยฝีมือของเฒ่าชราอย่างพวกเราก็มั่นใจว่าจะถ่วงเวลาจนกว่าพวกเจ้ากลับมาได้”
เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องให้หลินสวินคิดสักนิด พวกเขาต่างจัดการเรื่องต่างๆ ไว้เสร็จสรรพแล้ว
แต่หลินสวินยังไม่วางใจเช่นเคย ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะทิ้งกายมรรคดินเหลืองไว้ เช่นนี้แล้วคงหมดกังวลได้”
พลังพรสวรรค์ของกายมรรคดินเหลืองถนัดการป้องกันที่สุด ทั้งยังมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยกว่าร่างต้น ต่อให้ประลองตัดสินเป็นตายก็ยังสามารถกดข่มเฒ่าชราอย่างอิงเทียนเซิงกับเจียงหมิงสุ่ยได้
ส่วนพวกระดับจอมเทพหวงหลง ในทั้งโลกบัวชะตาก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
ถ้าเฒ่าชราระดับนี้กล้าถือโอกาสบุกมาจริงๆ เช่นนั้นภายหน้าก็รอการเอาคืนจากหลินสวินเถอะ!
เรื่องราวก็สรุปได้เช่นนี้
ต่อมาหลินสวินไปหาซย่าจื้อ ให้นางวางใจฝึกปราณที่นี่
ซย่าจื้อไม่ได้คัดค้าน
สำหรับนางแล้ว โลกบัวชะตาก็คือแดนมงคลหายากที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของตนแห่งหนึ่ง เมื่อกฎระเบียบโชคชะตาที่หยั่งรู้และหลอมได้ยิ่งมาก ก็ทำให้พลังที่ผนึกอยู่ภายในร่างนางหลอมเข้าสู่มรรควิถีของตนอย่างต่อเนื่องตามไปด้วย
“วันหน้า ข้าจะช่วยเจ้าสังหารศัตรู”
บนใบหน้าน้อยงามหมดจดหาใดเทียบของซย่าจื้อมีแต่แววจริงจัง
หลินสวินลูบศีรษะซย่าจื้อด้วยรอยยิ้ม แล้วออกจากด่านนภาห้าธาตุไปกับพวกสวินเต้าเยี่ยนและจอมเทพหลิงหลง
“เจ้าหลินสวินนี่ออกมาแล้ว!”
ไกลลิบมีสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่น้อยป้วนเปี้ยนอยู่ตลอด เมื่อสังเกตเห็นว่าเงาร่างของพวกหลินสวินออกมาจากด่านนภาห้าธาตุ แต่ละคนต่างก็จิตใจบีบคั้น
“นี่เขาเห็นว่าพวกเราเกะกะลูกตา ต้องการจะจัดการกับพวกเราหรือ”
มีคนเอ่ยอย่างฉงน
สาเหตุที่พวกเขารออยู่ที่นี่ เป้าหมายก็ง่ายนัก นั่นก็เพื่อจับตามองการเคลื่อนไหวของหลินสวินทุกเวลา อาศัยสิ่งนี้ส่งข่าว ทำให้ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาได้รู้ในทันที
พูดง่ายๆ ตอนนี้เฒ่าชราอย่างพวกเขากำลังเล่นบทสายสืบอยู่
“เขามาแล้ว!”
มีคนนัยน์ตาหดเกร็ง ตัวแข็งทื่อ กำลังจะหันหลังหนีไปตามจิตใต้สำนึก
แต่ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินที่อยู่ไกลออกไปยิ้มเอ่ยเสียงกังวาน “สหายยุทธ์ทุกท่านไม่ต้องกระวนกระวาย ข้าคนแซ่หลินแค่มีเรื่องมาสอบถาม ไม่ตั้งใจจะลงมือสักนิด”
ผู้ที่ไม่มีความแค้นต่อกัน หลินสวินจะไปหาเรื่องทั้งที่ไม่มีเรื่องได้อย่างไร
ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นก็วางใจลงไม่น้อย แต่ยังคงระแวงไม่หยุด ใครกล้ารับประกันว่านี่ไม่ใช่แผนล่อหลอกของหลินสวิน
“สหายยุทธ์หลินคิดจะถามเรื่องอะไร”
ชายชราผอมแห้งผมขาวโพลนผู้หนึ่งถาม เขายืนอยู่ไกลลิบ ท่าท่างเหมือนถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะหนีไปทันที
เมื่อมองคนอื่นก็เห็นเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าหลังจากผ่านศึกใหญ่เมื่อวานมา พลังต่อสู้อันแกร่งกล้าของหลินสวินทำให้พวกเขาต่างหวาดหวั่นไม่หยุดไปแล้ว
“ทุกท่านต้องมาจากคนละฝ่ายกันแน่ ถ้ามีความแค้นกับข้าคนแซ่หลิน เกรงว่าจะไม่กล้ามาเตร่แถวนี้สักนิด ในเมื่อไม่มีความแค้นต่อกัน ทุกท่านก็อย่าเกร็งแบบนี้เลย”
หลินสวินกุมมือคารวะน้อยๆ มองไปรอบๆ ดูอ่อนน้อมมีมารยาท “พูดกันตรงๆ ข้าคนแซ่หลินออกเดินทางคราวนี้เพื่อแก้แค้น แต่ข้ากลับไม่รู้ว่าตอนนี้ศัตรูคู่แค้นพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จึงคิดจะขอคำชี้แนะจากทุกท่าน”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นมองหน้ากัน มาหาพวกเขาเพื่อสืบข่าวศัตรูหรือ
ถ้าพวกเขาแพร่งพรายไปแล้วจะไม่เท่ากับล่วงเกินศัตรูของหลินสวินพวกนั้นหรือ
แต่เมื่อเห็นหลินสวินอยู่ตรงหน้า กลับทำให้พวกเขาต่างไม่กล้าปฏิเสธ ถ้าเกิดไปยั่วโมโหเจ้าคนที่พลังต่อสู้เย้ยฟ้าผู้นี้ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ร้ายแรงแล้ว
ชายชราผมขาวโพลนก่อนหน้านี้เอ่ยปากแล้ว “สหายยุทธ์หลิน โลกบัวชะตาไม่ได้ใหญ่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ถ้าอยากหาคน ใกล้ๆ กับเก้าด่านนภานี้ย่อมหาพบ”
“เช่นนั้นสหายยุทธ์เห็นว่าในด่านนภาไหนที่จะมีหวังหาพวกเขาเจอได้มากที่สุด”
หลินสวินยิ้มเอ่ย ดูยิ่งอ่อนน้อมมีมารยาท
“เอ่อ…”
ชายชราสีหน้าซับซ้อนปั้นยากยิ่ง
ผ่านไปสักพักหลินสวินก็ถอนใจเบาๆ พูดว่า “ช่างเถอะ ข้าคนแซ่หลินก็ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจ ขอลา”
เขาพาสวินเต้าเยี่ยนกับจอมเทพหลิงหลงหมุนตัวจากไป
“ไปแบบนี้เลยหรือ”
เฒ่าชราพวกนั้นฉงน กระทั่งเงาร่างพวกหลินสวินหายลับไปจึงกล้าแน่ใจได้ในที่สุดว่าหลินสวินจากไปแล้วจริงๆ
พวกเขาสบตากัน ต่างเอาสมบัติลับส่งข่าวออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย แจ้งข่าวที่หลินสวินออกจากด่านนภาห้าธาตุไปแก้แค้นกลับสู่ฝ่ายของพวกเขาแต่ละคน
……
“สหายน้อยหลิน นี่เจ้าคิดจะไปด่านนภาสองลักษณ์หรือ”
ระหว่างทางสวินเต้าเยี่ยนเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว สหายยุทธ์ผมขาวคนเมื่อครู่สื่อจิตบอกข้า ว่าเจียงหมิงสุ่ยนำเหล่าผู้แข็งแกร่งยุคทวยเทพไปด่านนภาสองลักษณ์เมื่อคืนวาน รวมตัวอยู่กับขุมอำนาจที่เฝ้าอยู่ในด่านนี้”
หลินสวินเอ่ย
สวินเต้าเยี่ยนกับจอมเทพหลิงหลงถึงได้กระจ่าง ต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ก่อนหน้านี้เฒ่าชราพวกนั้นแต่ละคนต่างไม่อยากเอ่ยปาก ใครจะคิดว่ากลับมีคนลอบทนไม่ไหวเสียก่อน
“พวกที่เฝ้าด่านนภาสองลักษณ์นั่นคือฝ่ายไหน”
จอมเทพหลิงหลงถามเสียงเบา
“พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่แห่งยุคปราชญ์”
หลินสวินพูด
“ที่แท้พวกเขาสองฝ่ายก็ร่วมมือกันอีกแล้ว”
สวินเต้าเยี่ยนกระจ่างแจ้ง “ก็ถูก ในโลกบัวชะตาคราวก่อน ฝั่งเจียงหมิงสุ่ยบาดเจ็บล้มตายกันเกินครึ่ง และที่หน้าด่านนภาห้าธาตุเมื่อวาน ในบรรดาฝ่ายต่างๆ พวกที่กำลังพลอ่อนแอที่สุดก็คือพวกเจียงหมิงสุ่ย ว่ากันตามปกติแล้ว ถ้าพวกเขาไม่เลือกร่วมมือกับฝ่ายอื่น ก็ไม่มีโอกาสเข้าร่วมการแก่งแย่งแท่นมรรคบัวชะตาได้อีก”
“พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่เป็นพวกที่น่ากลัวยิ่ง คนผู้นี้เป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิยุคปราชญ์ ต่อให้อยู่ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ก็เป็นพวกยักษ์ใหญ่คนหนึ่ง”
จอมเทพหลิงหลงเอ่ย “ถึงขั้นว่าในความคิดข้า พวกเจียงหมิงสุ่ยกับอิงเทียนเซิงก็ยังด้อยกว่าจักรพรรดิเทพข่งอวี่”
สวินเต้าเยี่ยนเลิกคิ้ว “หรือเขายังแข็งแกร่งกว่าจอมเทพหวงหลง”
จอมเทพหลิงหลงเอ่ย “อาจจะยังแตกต่าง แต่ก็น้อยมาก”
สวินเต้าเยี่ยนเผยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ถ้าเป็นเช่นนี้จะไม่ยุ่งยากหรอกหรือ…”
เจียงหมิงสุ่ยกับจักรพรรดิเทพข่งอวี่ร่วมมือกัน ทั้งยังเฝ้าอยู่ที่ด่านนภาสองลักษณ์ คิดจะจัดการพวกเขาก็เลือกได้เพียงเข้าท้าทายเท่านั้น
เช่นนี้ก็ดูเป็นฝ่ายตั้งรับนัก
“เจ้าว่าถ้าประลองตัดสินเป็นตาย จักรพรรดิเทพข่งอวี่จะกล้าออกมาสู้กับสหายน้อยหลินด้วยตัวเองหรือไม่”
จอมเทพหลิงหลงพูด
สวินเต้าเยี่ยนนิ่วหน้า “ถ้าไม่ถูกบีบจนหมดหนทาง เขาคงไม่เลือกเอาชีวิตเข้าสู้”
จอมเทพหลิงหลงเอ่ย “เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าพวกเขาไม่กล้าออกมาจากด่านนภาสองลักษณ์ พลังของสหายน้อยหลินกับพวกเราก็รับอันตรายพวกนั้นได้”
สวินเต้าเยี่ยนพยักหน้า สายตามองที่หลินสวิน
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ลงมือเมื่อสบโอกาสก็พอ”
ระหว่างที่พูดคุยกัน ก็เห็นด่านนภาสองลักษณ์ที่ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดินนั้นไกลๆ แล้ว