ตอนที่ 3139 สะบั้นกฎกรรม
อาทิตย์อัสดงฉายส่องยามเย็น
หน้าโรงเตี๊ยมมีแถวยาวแถวหนึ่งตั้งอยู่ มองปราดเดียวถึงกับไม่เห็นหางแถว
ตามตรอกซอกซอยต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์
“อาจารย์เฒ่าผู้นั้นเป็นเทพจริงๆ ด้วย! ว่ากันว่าเขาเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ฟ้าศาสตร์ดิน แค่มองก็เห็นอดีตและอนาคตคนอื่นอย่างปรุโปร่ง!”
“หรือผู้เฒ่านั่นจะเป็นเทพเซียนจริงๆ”
“เทพเซียนเป็นอย่างไรพวกเราหน้าไหนก็ไม่เคยเห็น แต่อาจารย์เฒ่าท่านนี้… ต้องเป็นคนเช่นเดียวกับเทพเซียนแน่!”
…ทันใดนั้นเมื่อถึงตาชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขาก็พูดตรงๆ ว่า “อาจารย์เฒ่า ข้าถามคำเดียว บนโลกนี้มีวิชาอมตะอยู่หรือไม่”
หลินสวินเงยมองชายหนุ่มคนนี้แล้วเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าตะบึงม้าบนถนนสายนี้ใช่ไหม”
ชายหนุ่มร่างใหญ่อึ้งไป เอ่ยว่า “ไม่ผิด ตอนนั้นข้ารีบไปพบแขกสำคัญผู้หนึ่ง จึงต้องเร่งควบม้าตามย่านการค้า”
“ภายหน้าใต้หล้านี้ทุกคนอาจจะเรียนวิชาอมตะได้ มีแต่เจ้า… ที่ไม่ได้”
หลินสวินเอ่ย
ชายร่างใหญ่นิ่วหน้า “ทำไม”
“เพราะเจ้าเกือบเอาชีวิตข้าไป”
ขณะพูดหลินสวินยิ้มพลางลุกขึ้น สายตาของเขามองไปยังถนนที่อยู่ใต้อาทิตย์อัสดง มองดูเงาร่างที่ต่อแถวยาวเป็นตัวมังกรนั้น เผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างอดไม่อยู่
ในสายตาคนอื่น ทิวทัศน์ธรรมดาเหล่านี้ไม่ได้แปลกประหลาด
แต่ในสายตาเขากลับเห็นแสงเงาเหมือนเส้นด้ายที่พันผูกกันยุ่งเหยิงนับไม่ถ้วน ปะปนกันอยู่ในความว่างเปล่าของฟ้าดินแห่งนี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่ตลอด
นั่นคือเส้นกฎกรรม สำแดงการดำรงชีพของสรรพชีวิตบนโลกนี้ออกมา ทั้งเกิดแก่เจ็บตาย สุขเศร้าพบพราก ต่างกำเนิดจากที่นี่
เพียงแต่เมื่อหลินสวินมาถึง เมื่อเขา ‘ทำนาย’ ให้คนที่อยู่ที่นี่ไม่หยุด กฎกรรมสรรพชีวิตเหล่านี้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงไปด้วย
เขาถึงขั้นเห็นพลังกฎกรรมที่มีสีเข้มขึ้นเป็นริ้วๆ เพิ่มขึ้นมาบนร่างตน คล้ายกับพันธนาการและโซ่ตรวนแน่นขนัด
“ข้าไปทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
ชายร่างใหญ่มุ่นคิ้ว ในดวงตามีแววอาฆาตแล้ว “อาจารย์เฒ่า ข้าวน่ะกินมั่วๆ ได้ แต่จะมาพูดจาพล่อยๆ ไม่ได้!”
หลินสวินพลันยื่นมือไปแตะหว่างคิ้วเขา “ดีชั่วล้วนมีผลตอบแทน กฎกรรมเวียนวน คนอื่นไม่กล้าแทรกแซงหมื่นลักษณ์สรรพชีวิต ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่กล้า”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ตัวแข็งทื่อไป จากนั้นล้มลงกับพื้นไปทื่อๆ ค่อยๆ หมดลมหายใจ
ผู้คนแถวนั้นเห็นดังนี้ต่างตกตะลึงจนร้องอุทานกระเจิดกระเจิง บริเวณนั้นเริ่มโกลาหล
หลินสวินกลับยิ้ม มือไพล่หลัง จากนั้นเงาร่างของเขาก็ลอยขึ้นฟ้า ทะยานสูงขึ้นไปภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน
“ทะ… เทพเซียนนี่นา!”
มีคนตกตะลึง คุกเข่าลงกับพื้น
“สวรรค์! อาจารย์เฒ่านั่นเป็นเทพเซียนจริงหรือ”
ตามตรอกซอยทุกคนพากันแหงนหน้าขึ้นมองดูร่างที่ทะยานฟ้าขึ้นไปนั้น สีหน้าเลื่อนลอย
เงาร่างหลินสวินค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไป กระทั่งมาถึงนอกชั้นเมฆ เขามองลงมาเบื้องเลื่อง เห็นสรรพชีวิตมากมายมหาศาลบนโลกกระดานหมากนี้ทั้งหมด
กลางฟ้าดิน พลังกฎกรรมที่พลุ่งพล่านอยู่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเหมือนพลิกแม่น้ำคว่ำสมุทร
หลินสวินมองดูบนร่างของตัวเอง เพียงหยิบลวกๆ ดึงเส้นกฎกรรมเส้นหนึ่งออกมา นี่เป็นพลังกฎกรรมที่อยู่บนตัวเสี่ยวเอ้อร์คนนั้น
เมื่อหลินสวินสะบัดมือเบาๆ เส้นกฎกรรมนี้ก็เริ่มส่ายไหว สัมผัสและพันผูกเข้ากับเส้นกฎกรรมที่อยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่อง กฎกรรมที่ถูกเส้นด้ายนี้เหนี่ยวนำมายิ่งมากขึ้น ขอบเขตที่ปกคลุมก็ยิ่งกว้างขึ้นเช่นกัน…
จนในที่สุดพลังกฎกรรมของทั้งโลกก็สั่นไหวไปด้วยทั้งหมด
มองไกลๆ คล้ายเซียนถือแส้แกว่งไกวธารดาราใต้หล้า!
ทันใดนั้นหลินสวินเสื้อผ้าปลิวไหว เอ่ยเบาๆ ว่า “กฎกรรมสรรพชีวิต จำกัดอยู่ในกระดานหมากไปตลอดกาลได้อย่างไร วันนี้ให้ข้าหลินสวินพลิกกระดานหมากนี้ คืนความเป็นไปได้ในการหนีออกจากพันธนาการแห่งกฎกรรมให้สรรพชีวิต!”
ตูม!
พลังกฎกรรมบนโลกต่างถูกเขาคว้าไว้ เก็บเข้าสู่ฝ่ามือในชั่วพริบตา
จากนั้นตัวหลินสวินกลับกลายเป็นละอองแสงสายหนึ่งปกคลุมโลกกระดานหมากแห่งนี้
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ‘ขอทานเฒ่า’ ที่เขากลายร่างในตอนนี้ก็คือพลังมหามรรคทั้งตัวของเขา
และยามนี้เมื่อทำลายกฎกรรมทั้งหมดบนโลกไป พลังมหามรรคของเขาก็เข้ามาแทนที่กฎระเบียบทั้งโลกนี้ตามไปด้วย!
……
ปึง!
หน้าแท่นมรรคบัวชะตา กระดานหมากวสันตสารที่หลินสวินถืออยู่ในมือพลันส่งเสียงทึบหนัก ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัดในลานนั้น
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินเก็บจิตรับรู้กลับมา สายตากวาดมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าหว่างคิ้วของสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ใกล้ๆ เจือแววตกตะลึง
เมื่อมองดูอี้อู๋อิ๋นที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองกลับเหม่อลอย อึ้งงันไม่พูดจา เหมือนถูกโจมตีอย่างหนักยิ่ง
ครู่หนึ่งอี้อู๋อิ๋นจึงได้สติกลับมา จ้องหลินสวินพลางเอ่ยว่า “สิ่งที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่ใช่พลังนิพพาน แต่เป็น… เป็นพลังโชคชะตาหรือ”
หลินสวินกุมมือคารวะ ส่งกระดานหมากวสันตสารทคืนผ่านอากาศ “ออมมือแล้ว”
อี้อู๋อิ๋นถือกระดานวสันตสารทเอาไว้ มองดูพลังกฎระเบียบฟ้าดินในโลกกระดานหมากที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงนั่นแล้วยิ้มเจื่อนส่ายหัว “ทำลายกฎกรรมด้วยโชคชะตา ถ้ารู้ก่อนว่าสหายน้อยครอบครองพลังเช่นนี้อยู่ ข้าก็คงไม่แสดงความอ่อนหัดเช่นนี้แล้ว เฮ้อ… ข้าแพ้แล้ว”
โชคชะตา ถูกเรียกว่าเป็นยอดมรรคต้องห้ามสูงสุด กฎกรรม ชะตา การเวียนว่ายตายเกิด… ล้วนเป็นแขนงย่อยๆ ในโชคชะตาทั้งนั้น
และตอนนี้อี้อู๋อิ๋นเข้าใจแล้วว่าหากหลินสวินครอบครองพลังเช่นนั้น ก็เท่ากับกดข่มพลังกฎกรรมสรรพชีวิตในระดับหนึ่งได้ก่อนแล้ว ดังนั้นกฎกรรมสรรพชีวิตในโลกกระดานหมากนั้นจึงไม่อาจพันธนาการหลินสวินได้แต่แรก!
ทว่าก่อนหน้านี้เขายังใช้สิ่งนี้เป็นกระดานหมากเพื่อสู้กับหลินสวิน นี่จะต่างอะไรกับแสดงความอ่อนหัด
“โชคชะตา!! บนโลกนี้ถึงกับมีคนหยั่งรู้พลังกฎระเบียบเช่นนี้ได้จริงหรือ”
ขณะเดียวกันสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ใกล้ๆ เหล่านั้นต่างไม่อาจเยือกเย็น สายตาแค่ละคนที่มองหลินสวินมีแววประหลาด
แต่เหล่าศัตรูอย่างตู้เฟิง เจียงหมิงสุ่ย เวิงซิงไห่ สีหน้ากลับเปลี่ยนไปมา
การประลองหมากครั้งนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่เมื่อตัดสินแพ้ชนะ พวกเขาถึงได้พบว่าหลินสวินยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่อีก… โชคชะตา!
พวกสิงเจี้ยนสยาต่างเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยิ้มออกมา
มีแต่พวกเขาที่รู้ดีว่าผู้ที่ครอบครองพลังโชคชะตาไม่ได้มีแต่หลินสวิน ยังมีแม่นางซย่าจื้อผู้นั้นด้วย
‘ข่มกฎกรรมด้วยโชคชะตา ไม่ได้น่าประหลาดใจ’
ไม่ไกลนักซู่หวั่นจวินคิดในใจ ‘ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงพลังต้องห้ามสูงสุดในโลก ผ่านไปหลายยุคสมัยขนาดนี้ ผู้ที่สามารถครอบครองมรรคนี้น้อยจนนับนิ้วได้’
“ต่อไปขอเชิญสหายยุทธ์ที่จับฉลากได้หมายเลขเจ็ดออกมา”
ไม่ต้องสงสัย อี้อู๋อิ๋นแพ้แล้ว ฉือเชียนจีไม่ร่ำไรอีก ประกาศการต่อสู้รอบต่อไป
…..
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
เมื่อการประลองทั้งเก้ารอบปิดฉากลง ทุกคนจึงพบว่าผู้ที่จับฉลากเปล่าได้ก็คือ ‘เทียนซิงจื่อ’ พวกน่ากลัวที่ฝีมือเทียบเคียงได้กับบุคคลชั้นยอดอย่างตู้เฟิง เวิงซิงไห่
ถึงตอนนี้ผู้ที่ได้รับชัยชนะสิบคนระบุชัดเจนแล้ว
ได้แก่ตู้เฟิง เวิงซิงไห่ เจียงหมิงสุ่ย เทียนซิงจื่อ ฉือเชียนจี หลินสวิน จอมเทพไป๋หยา จอมมรรคเฟิงเหยา ฝ่าอู๋เซียงและนักพรตสุ่ยซวิ่น
ผู้ที่ถูกคัดออกเหล่านั้น รวมถึงฝ่ายที่พวกเขาอยู่ย่อมไม่มีโอกาสชิงแท่นมรรคบัวชะตาอีกแล้ว
กับเรื่องนี้มีคนหดหู่ มีคนเยือกเย็น มีคนส่ายหัวถอนใจไม่หยุด
“ตอนนี้ก็เริ่มจับฉลากรอบที่สองได้”
ขณะพูด ฉือเชียนจีก็ควบรวมกระบอกฉลากขึ้นอีกครั้ง
บนฉลากคราวนี้มีอักษร ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช สลักไว้
ผู้ที่จับฉลากได้อักษร ก สู้กับอักษร ข จับได้อักษร ฃ สู้กับอักษร ค เรียงเป็นคู่ๆ ไป
ขณะเดียวกันนี่ก็จะเป็นลำดับการประลองด้วย
คราวนี้หลินสวินจับได้ฉลากอักษร ก จะต้องออกโรงคนแรก
“บัดนี้เริ่มการประลองรอบแรกได้”
ฉือเชียนจีเอ่ยเสียงกังวาน
สวบ! สวบ!
เงาร่างสองร่างปรากฏในลาน
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ชัด หลินสวินก็ยิ้มออกมาทันที เจียงหมิงสุ่ย!
ศัตรูพบกันบนทางคับแคบจริงๆ
และเมื่อเจียงหมิงสุ่ยเห็นคู่ต่อสู้ของตนชัดก็พลันหน้าเขียวแล้ว ท่าทางเหมือนถูกฟ้าผ่า
“คราวนี้ข้าเลือกประลองตัดสินเป็นตาย!”
หลินสวินไม่ลังเลสักนิด
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด สีหน้าทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
“ข้า…”
ใบหน้าชราของเจียงหมิงสุ่ยคล้ำเขียว พูดอะไรไม่ออก
เพราะตามกติกาเก่า ถ้าฝั่งหนึ่งตัดสินใจว่าจะประลองตัดสินเป็นตาย อีกฝั่งทำได้เพียงรับปาก ทั้งจะถอยหนีหรือปฏิเสธไม่ได้
ในอดีตเคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหลายครั้งแล้ว
เวลานี้ตู้เฟิงจากยุคธรรมเอ่ยเสียงขรึมว่า “สหายยุทธ์หลิน ไยต้องกระทำเรื่องตัดหนทางเช่นนี้ด้วย ตอนนั้นอาจารย์เจ้ายังไม่ตัดสิ้นเส้นทางถอยเหมือนอย่างเจ้าด้วยซ้ำ”
ไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมายังดี แต่เมื่อเอ่ยออกมาในใจหลินสวินก็เกิดไฟโทสะอย่างควบคุมไม่ได้ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในความคิดของข้าคนแซ่งหลิน เพราะตอนนั้นอาจารย์ข้าเมตตาเกินไป ถึงทำให้เฒ่าชราบางส่วนตอบแทนคุณด้วยความแค้น พวกเขาเอาชนะอาจารย์ข้าไม่ได้ กลับเอาความแค้นทั้งหมดมาลงที่ศิษย์อย่างข้า ต้องไร้ยางอายขนาดไหน”
คำพูดเดียวทำเอาสีหน้าของเฒ่าชราที่เป็นศัตรูกับหลินสวินเหล่านั้นไม่น่ามองแล้ว
“ข้าจะไม่เมตตาเช่นอาจารย์ ถ้าปล่อยให้เฒ่าชราที่ตอบแทนคุณด้วยความแค้นเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป เกรงว่าในภายหน้าหากญาติมิตรของข้าคนแซ่หลินมาที่นี่ก็จะถูกล้างแค้นและโจมตีเช่นเดียวกัน”
เสียงหลินสวินราบเรียบ แต่กลับทรงพลัง “พูดง่ายๆ เรื่องเช่นนี้ย่อมต้องให้ข้าทำให้จบสิ้น!”
ทั้งที่นั้นเงียบสงัด เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าใจคอปั่นป่วน
ตู้เฟิงนิ่วหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
“คิดว่าข้าจะฆ่าได้ตามใจชอบได้จริงๆ หรือ”
ทันใดนั้นเจียงหมิงสุ่ยส่งเสียงตวาดลั่น สีหน้าดุดัน ลงมือเต็มกำลัง
เขารู้ตัวว่าไม่มีทางถอยหนีแล้ว จึงตัดสินใจสู้สุดตัว
ในฐานะยักษ์ใหญ่คนหนึ่ง พลังต่อสู้ของเจียงหมิงสุ่ยย่อมแข็งแกร่งยิ่ง เทียบกับพวกชั้นยอดอย่างตู้เฟิงและเวิงซิงไห่แล้วด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อคนเช่นนนี้สู้สุดตัว ย่อมไม่มีใครกล้าดูถูก
หลินสวินไม่ได้ดูถูกเช่นกัน ออกเคลื่อนไหวเต็มกำลังเข้าประจันหน้ากับเขาทันที
สถานการณ์ต่อสู้ดุเดือดนัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจิตใจหวั่นไหว
แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวเจียงหมิงสุ่ยก็ใกล้ยืนหยัดไม่อยู่แล้ว สถานการณ์ล่อแหลมยิ่งนัก
และในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ เจียงหมิงสุ่ยก็แพ้ราบคาบ
กายมรรคของเขาถูกหลินสวินฟันสังหารคาที่ กลายเป็นฝุ่นควันไปพร้อมกับพลังจิต
เมื่อเห็นภาพนี้ทั้งที่นั้นเงียบสงัดไร้เสียง
สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างเงียบงัน ในใจหวั่นไหว
ศึกนี้ทำให้พวกเขาเห็นกับตาว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินเย้ยฟ้าปานไหน ไปเทียบสูงต่ำกับบุคคลชั้นยอดอย่างฉือเชียนจี ซู่หวั่นจวิน ตู้เฟิงได้ด้วยซ้ำ!
และสำหรับศัตรูของหลินสวินพวกนั้นแล้ว การตายของเจียงหมิงสุ่ยก็เป็นการโจมตีที่ไม่ได้เล็ก
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าหลินสวินตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะชำระแค้น พวกเขาต่างสังหรณ์ว่าต่อให้การต่อสู้ในโลกบัวชะตาครั้งนี้จบลง ภายหน้าหลินสวินก็ต้องไม่เลิกราแต่โดยดีแน่!