ตอนที่ 3140 ปะทะจอมเทพไป๋หยา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3140 ปะทะจอมเทพไป๋หยา

การสังหารเจียงหมิงสุ่ย ค่าตอบแทนที่หลินสวินต้องจ่ายคือบาดแผลเล็กน้อยเต็มตัวกับพลังกายประมาณสามส่วน

ไม่ถึงขั้นสาหัส แต่เทียบกับตอนอยู่สภาพยอดเยี่ยมแล้วด้อยกว่าหน่อย

ทว่ายังดีที่เขาลงต่อสู้เป็นคู่แรกของรอบที่สอง ต่อจากนี้ยังมีเวลาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและมรรควิถีอยู่

ผู้ต่อสู้คู่ที่สองคือตู้เฟิงและจอมมรรคเฟิงเหยา

การต่อสู้นี้ทำให้หลินสวินเห็นพลังต่อสู้ที่แท้จริงของบุคคลชั้นยอดแห่งยุคธรรมอย่างตู้เฟิง

อีกฝ่ายข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาเจ็ดครั้ง ครอบครอง ‘กฎระเบียบแปรนภา’ การต่อสู้กับเขาก็เหมือนต่อกรกับมรรคสวรรค์ที่สูงส่งไร้ขอบเขต ทำเอาผู้คนรู้สึกว่าไม่อาจสั่นคลอน ไม่อาจเอื้อมสัมผัส

จอมมรรคเฟิงเหยาเป็นพวกน่ากลัวที่มีมรรควิถีทัดเทียมจอมเทพหวงหลง แต่ยามสู้กับตู้เฟิง เห็นชัดว่าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

การต่อสู้ยืดยาวเพียงหนึ่งถ้วยชา จอมมรรคเฟิงเหยาส่ายหัวจนปัญญา ยอมแพ้ด้วยตัวเอง

หลินสวินลองถามตัวเอง ถ้าตนอยากจัดการเจ้าเฒ่าตู้เฟิงนี่ เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักแน่

คู่ที่สามเป็นฉือเชียนจีปะทะเทียนซิงจื่อ

การประลองนี้เรียกว่าเป็นการต่อสู้แห่งยุคซึ่งดุเดือดที่สุดตั้งแต่ประลองมา ไม่ว่าจะเป็นฉือเชียนจีหรือเทียนซิงจื่อก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนบนจุดสูงสุดในโลกบัวชะตา

ฉือเชียนจีครอง ‘กฎระเบียบไม่แน่นอน’ วิธีการต่อสู้ไม่เที่ยงแท้ วิชาต่อสู้ไม่อาจกำหนด สามารถวิวัฒน์เคราะห์สังหารและตัวแปรนานัปการ ช่วงชิงศุภโชคทั้งปวงได้ระหว่างขยับตัว

ส่วนเทียนซิงจื่อครอบครอง ‘กฎระเบียบยอดหยาง’ อภินิหารของเขายิ่งใหญ่ เจิดจรัสดุดันยิ่งยวด มีมาดสง่างามไร้เทียมทาน หนึ่งแรงสลายหมื่นวิชา หนึ่งวิชาสยบทั่วหล้า

การประลองของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองดึงดูดสายตาทุกคน สะท้านสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

ต่อให้เป็นหลินสวินยังจิตใจเลื่อนลอย สับสนตาลายเช่นกัน

เขาเห็นยอดมรรคาสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงบนตัวผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง

กฎระเบียบที่พวกเขาครอบครองล้วนหลอมรวมจากนัยเร้นลับมหามรรคนานัปการ แม้แต่พลังอภินิหารที่ใช้ก็มีอานุภาพไร้เทียมทานที่ ‘หมื่นวิชารวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นวิชา’

เห็นชัดว่าไม่ได้มีแค่เขาหลินสวินที่รู้จักการ ‘หลอมรวมหมื่นมรรค วิวัฒน์เป็นหนึ่งเดียว’ พวกเฒ่าชราที่ก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ ล้วนมีระดับความรู้ลึกซึ้งเช่นนี้บนมรรคาของแต่ละคน

ถึงตอนนี้สิ่งที่ประชันกันก็คือความแข็งแกร่งด้านมหามรรคของแต่ละคน

หรือก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ประลองมรรค’

“เจ้าเฒ่า หากเสียเวลาต่อไปเช่นนี้พวกเราคงล้วนจบไม่สวยทั้งคู่ ไม่สู้เจ้ายอมข้าสักครั้งเป็นอย่างไร”

ฉือเชียนจีกล่าวระหว่างต่อสู้

“ทำไมถึงไม่เป็นเจ้ายอมให้ข้าสักครั้งเล่า”

เทียนซิงจื่อแค่นเสียงเย็นชา

ทั้งสองต่างรู้ดีว่าในเวลาอันสั้นระหว่างพวกเขายากตัดสินผลแพ้ชนะ แต่การต่อสู้เช่นนี้ยิ่งยืดเยื้อ การผลาญพลังของพวกเขาก็ยิ่งมาก

ถึงตอนท้ายต่อให้มีคนชนะ แต่มรรควิถีทั้งตัวต้องเสียหายสาหัสแน่ ในการประลองรอบต่อไปย่อมเสียเปรียบอย่างมาก

แต่ทั้งสองคนล้วนมีนิสัยไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าใครต่างไม่คิดถอย กระทั่งการต่อสู้หลังจากนั้นดุเดือดยิ่งกว่าเดิม

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ฉือเชียนจีที่เหนื่อยจนกระหืดกระหอบ ทั้งใช้พลังไปมากแล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่สู้แล้วๆ ทุกครั้งที่เจอเจ้าเทียนซิงจื่อล้วนไม่มีเรื่องดี!”

เขาพูดพลางถอยออกจากการต่อสู้เอง

“ครั้งนี้ถึงคราวข้าชนะแล้ว”

เทียนซิงจื่อยิ้มลำพอง

“ถ้าข้ามองไม่ผิด เจ้าเหลือพลังไม่ถึงสามส่วนแล้ว ก่อนเริ่มการประลองรอบต่อไปคิดฟื้นฟูพลังกายครึ่งหนึ่งคงไม่ง่าย ถึงตอนนั้นข้าอยากดูนักว่าใครจะได้ประโยชน์”

ฉือเชียนจีเผยเบื้องหลังของเทียนซิงจื่อโดยตรง ทำเอารอยยิ้มของฝ่ายหลังค้างแข็ง หน้าดำทะมึน นี่เท่ากับบอกคนอื่นว่าเขาเทียนซิงจื่อเป็นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้ว!

“เฒ่าชราอย่างเจ้ายังร้ายกาจเหมือนแต่ก่อน เจ้าเฒ่ารอบจัด!”

เทียนซิงจื่อนั่งขัดสมาธิกับพื้นพลางตะคอกด่า เริ่มฟื้นฟูพลังแข่งกับเวลา

หลินสวินเห็นดังนี้แล้วยิ้มในใจ เขามีหรือจะดูไม่ออก ฉือเชียนจีกับเทียนซิงจื่อดูเหมือนชอบตีกัน ความจริงแล้วคงเป็นสหายเก่าที่สนิทกันถึงจะถูก

คู่ที่สี่ เวิงซิงไห่ปะทะจอมเทพไป๋หยา

ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะในสามกระบวนท่า

สุดท้ายเรื่องเหนือความคาดหมายคือเวิงซิงไห่แพ้

นี่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว เขามองออกอย่างชัดเจนว่าเวิงซิงไห่ออมมือ ไม่เช่นนั้นต่อให้ในสามกระบวนท่าจะไม่อาจชนะ แต่ก็ต้องพอสูสี

“เหล่าเวิง ทำไมครั้งนี้เจ้าถึงออมมือ” จอมเทพไป๋หยาสังเกตเห็นเช่นกัน กล่าวอย่างไม่พอใจ “บอกเจ้าให้ว่าข้าไม่รับน้ำใจนี้”

เวิงซิงไห่กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ใครให้เจ้ารับน้ำใจเล่า”

“เหล่าเวิงคงห่วงว่าจะเจอหลินสวินในการประลองรอบต่อไปกระมัง” ห่างไปไม่ไกลฉือเชียนจีหัวเราะออกมา

เวิงซิงไห่แค่นเสียงเย็นชา คล้ายคร้านจะอธิบาย

แต่ในสายตาของทุกคน การกระทำนี้ของเวิงซิงไห่มีโอกาสสูงว่าจะเป็นอย่างที่ฉือเชียนจีคาดเดา ไม่อยากเจอหลินสวินในการประลองรอบต่อไป

ด้วยเขาหวาดกลัวหรือเพราะสาเหตุอื่นนั้นไม่อาจรู้ได้

คู่ที่ห้าคือฝ่าอู๋เซียงปะทะนักพรตสุ่ยซวิ่น

ทั้งสองเลือกใช้วิธี ‘อนุมานมหามรรค’ มาตัดสินแพ้ชนะ

ภายในครึ่งเค่อใครอนุมานพลังมหามรรคได้มากกว่าคนนั้นชนะ

สิ่งที่ทดสอบคือการควบคุมพลังมหามรรคของทั้งคู่

ไม่ถึงขั้นดุเดือดเท่าไหร่นัก แต่กลับดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น ด้วยการประลองเช่นนี้ สามารถมองความเชี่ยวชาญด้านมหามรรคบนมรรคาของสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งสองได้ตรงไปตรงมาที่สุด

สุดท้ายฝ่าอู๋เซียงก็เหนือกว่าเล็กน้อย

เมื่อเห็นกระบวนการต่อสู้ทั้งหมดกับตาตัวเอง หลินสวินอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ เฒ่าชราพวกนี้อยู่มาหลายยุคสมัย ความเข้าใจและการควบคุมมหามรรคบรรลุถึงขั้นน่าเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตายิ่งยามชมการต่อสู้

แน่นอนว่าหากต่อสู้ฆ่าฟันกันจริง หลินสวินก็ไม่หวาดกลัว

ตอนนี้การประลองห้าคู่ของรอบสองสิ้นสุดแล้ว

ผู้ชนะได้แก่หลินสวิน ตู้เฟิง เทียนซิงจื่อ จอมเทพไป๋หยา ฝ่าอู๋เซียง

“ห้าคน เช่นนั้นก็ใช้ศึกวงล้อ ‘ประลองห้าธาตุ’ แล้วกัน”

ฉือเชียนจีเลิกคิ้วกล่าว

ที่เรียกว่าประลองห้าธาตุ ก็คือสู้ศึกวงล้อตามธาตุทองไม้น้ำไฟดิน

ประลองห้ารอบยึดตามทองไม้ ไม้น้ำ น้ำไฟ ไฟดิน ดินทอง

หรือกล่าวได้ว่าแต่ละคนต้องร่วมการต่อสู้สองรอบ

ยึดตามผลสุดท้ายค่อยตัดสินการประลองรอบต่อไป

“ช่างเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมการประลองครั้งนี้แล้ว”

เทียนซิงจื่อพลันเอ่ยปาก ยอมแพ้ด้วยตัวเอง ทำเอาทุกคนต่างรู้สึกผิดคาด

“ถ้าจะเป็นแบบนี้แต่แรก ทำไมตอนนั้นต้องทำให้ข้าแพ้ด้วยเล่า”

ฉือเชียนจีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ช่วยไม่ได้ ข้าแค่อยากเอาชนะเจ้า”

เทียนซิงจื่อยิ้มระรื่นกล่าว

“ได้ การประลองต่อจากนี้ก็ง่ายแล้ว สี่คนสู้กันเป็นคู่ ผู้ชนะสองคนค่อยทำการประลองกันอีกรอบ เท่านี้ก็เลือกผู้ชนะในตอนท้ายได้แล้ว”

ฉือเชียนจีพูดจบก็เริ่มจับฉลาก

ไม่นานรายชื่อผู้ประลองก็ปรากฏ ได้แก่หลินสวินปะทะจอมเทพไป๋หยา ตู้เฟิงปะทะฝ่าอู๋เซียง

ถึงตอนนี้สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งที่นั้นล้วนใจสะท้าน

เพราะสี่คนนี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นยอดที่สุดในโลกบัวชะตา แม้ว่าหลินสวินยังอายุน้อยนัก เพิ่งแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตมาไม่กี่สิบปี แต่พลังต่อสู้ของเขาไม่ด้อยไปกว่าเฒ่าชราอีกสามคนแล้ว

กล่าวอีกนัยคือ ในสายตาสัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคน หลินสวินเทียบเคียงกับสามคนนี้ได้แล้ว!

การประลองคู่แรก หลินสวินปะทะจอมเทพไป๋หยา

“สหายน้อย การต่อสู้มหามรรคไม่จำเป็นต้องออมมือแม้แต่น้อย ต่อให้ข้านับถืออาจารย์เจ้ามาก แต่ไม่มีทางออมมือในการประลองนี้แน่ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”

จอมเทพไป๋หยากล่าวราบเรียบ เขาสวมชุดดำ ผมดำพลิ้วไหว ใบหน้างามสง่า นัยน์ตาเรียวยาวส่องประกาย ทั่วร่างแผ่อานุภาพหยิ่งผยองกำแหง

หลินสวินพยักหน้าเล็กน้อย “ย่อมเป็นเช่นนั้น”

ก่อนหน้านี้เขาเคยสังเกตการต่อสู้ของจอมเทพไป๋หยากับเวิงซิงไห่แล้ว แม้ว่าตัดสินแพ้ชนะภายในสามกระบวนท่า แต่อานุภาพของจอมเทพไป๋หยายังทิ้งภาพจำฝังลึกไว้ให้หลินสวิน

จอมเทพไป๋หยาครอบครอง ‘กฎระเบียบผลาญเผา’ พลังของเขาเผด็จการหาใดเปรียบ พลังทำลายล้างชวนตะลึง ว่ากันว่าผลาญหมื่นมรรคเป็นเถ้าถ่านได้!

“เชิญ”

จอมเทพไป๋หยายกมือโบก ทวนศึกสีชาดเล่มหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามือ

ทวนศึกนี้นามว่า ‘เพลิงเคราะห์’ มีหนึ่งแสนเก้าหมื่นสามพันสาย สื่อถึงเวลาฝึกปราณของจอมเทพไป๋หยาตั้งแต่เริ่มฝึกกระทั่งแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตใหญ่

สมบัตินี้ยังเป็นศาสตราบริสุทธิ์ของเขาด้วย

นอกลานประลองทุกคนต่างเผยสีหน้าเคร่งขรึม

หลังการต่อสู้รอบก่อน ไม่ว่าหลินสวินหรือจอมเทพไป๋หยาล้วนไม่บาดเจ็บเท่าไหร่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตอนนี้พวกเขาล้วนอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม

เมื่อการประลองเช่นนี้ปะทุขึ้น ย่อมดุเดือดยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย

วู้ม!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งแหวกผ่านอากาศ ลอยอยู่เหนือศีรษะหลินสวิน จากนั้นห้ากายมรรคปรากฏตัวกะทันหัน โอบล้อมรอบร่างต้นของหลินสวิน

เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนล้วนเผยสีหน้าประหลาดอย่างอดไม่ได้

พวกเขาต่างรู้ดีว่าทุกร่างแยกของหลินสวินมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น แต่กลับไม่อาจรู้ว่าหลินสวินเคี่ยวกรำร่างแยกถึงขั้นนี้ได้อย่างไร

ด้วยขอแค่เป็นผู้แจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต ย่อมต้องหลอมรวมพลังทั้งหมดของตนเป็นหนึ่งเดียว มหามรรคนานัปการ อภินิหารนานาชนิด ร่างแยกมากมายที่ครอบครองล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่ง

ดังนี้ถึงสามารถทะลวงขั้นถึงขีดสุด ต้านการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพอย่างแข็งกร้าว จากนั้นจึงก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตได้

แต่เห็นชัดว่ามรรคาของหลินสวินต่างออกไป

คิดดูแล้วก็ใช่ ใครเล่าจะคิดว่าในทะเลโชคชะตาที่เดิมไม่มีทางปรากฏเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพแห่งนี้ หลินสวินกลับแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตได้เหมือนปาฏิหาริย์

บางทีก็คือบัวดอกนั้นที่เจ้าแห่งดวงกมลเฝ้ารอ ด้วยไม่อาจใช้ความเข้าใจทั่วไปมาคาดคะเน ถึงล้มล้างทุกอย่างในกาลนิรันดร์ ทำลายความเข้าใจทั้งหมดได้

ตูม!

จอมเทพไป๋หยาลงมือโดยไม่พูดมาก วาดทวนศึกเพลิงเคราะห์ในมือ เพลิงสวรรค์พุ่งลงมาจากฟ้า สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน พลังทำลายล้างของด่านเคราะห์ยิ่งใหญ่ทรงพลัง กลายเป็นพิบัติโลกาวินาศเคลื่อนขวางกลางอากาศ

ถ้าพลังเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกภายนอกย่อมเผาโลกใหญ่ใบหนึ่ง หลอมสรรพสิ่งเป็นเถ้าได้ในพริบตา!

ตอนนี้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ใกล้ล้วนถอยห่างออกไป

หลินสวินไม่หลบหลีก ร่างต้นกับห้ากายมรรคของเขาพุ่งขึ้นไปรับ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานสู่ฟากฟ้าพร้อมเสียงกัมปนาท สาดแสงมรรคนับหมื่นแสน กำราบลงมาดังสนั่น

ศึกใหญ่ปะทุขึ้นทันที ชั่วพริบตาก็เข้าสู่การห้ำหั่นซึ่งดุเดือดที่สุด

เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอดไหวหวั่นไม่ได้ สีหน้าวูบไหวไม่หยุด

ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เดาว่าพลังต่อสู้หลินสวินทัดเทียมบุคคลชั้นยอดแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเขาสู้กับจอมเทพไป๋หยาได้สูสี ก็ยิ่งพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของพวกเขาขึ้นไปอีกขั้น!

ถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องสงสัยอีก!

แค่พอนึกถึงว่าหลินสวินเด่นผงาดขึ้นมาในยุคนี้ แจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตในโลกบัวชะตาครั้งก่อน ตอนนี้ยังมีพลังต่อสู้พลิกฟ้าเช่นนี้อีก นี่จะให้เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นสงบใจได้อย่างไร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท