ตอนที่ 3145 โซ่กระบี่กักเจ้าลัทธิ
โลกบัวชะตา
หลังจากหลินสวินมาเยือนโลกนี้อีกครั้ง ไม่นานก็ถูกเหล่าผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่บนโลกนี้รู้
“หลินสวินแสดงออกชัดเจนว่าจะจากทะเลโชคชะตาแล้วหรือ นี่เป็นข่าวดียิ่ง!”
“ได้ยินว่าครั้งนี้เขาจะพาแม่นางที่ชื่อว่าซย่าจื้อไปด้วย”
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดเขาก็จะไปแล้ว การต่อสู้บนโลกบัวชะตาครั้งนี้ ข้าว่าอย่าสู้เลย ไปส่งหลินสวินด้วยกันก็พอ!”
…หลังจากรู้ข่าว ไม่ว่าจะเป็นเฒ่าชราจากโลกยุคสมัยไหน ทุกคนล้วนดีใจจนหน้าชื่นตาบาน
สำหรับพวกเขา ถ้าหลินสวินไม่ไปย่อมทำให้ผู้คนหวาดกลัว ตัวตนของเขาเหมือนก้อนหินทับใจ
ตอนนี้เขาจะไปแหล่งสถานอัศจรรย์แล้ว ความรู้สึกนั้น… ก็เหมือนใกล้ส่งเทพแห่งโรคระบาดองค์หนึ่งจากไปจริงๆ…
เก้าวันต่อมา
ช่วงเวลาชิงแท่นมรรคบัวชะตามาถึง
เหล่าผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่บนเก้าด่านนภาล้วนขยับตัวทันที
เมื่อมาถึงลานแท่นมรรคบัวชะตา สายตาทุกคนต่างพากันมองไปทางเดียว…
ที่นั่นมีเงาร่างสองสายยืนอยู่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ฝ่ายชายร่างสูงโปร่งพ้นโลกีย์ ฝ่ายหญิงงามผุดผ่องดุจภาพวาด เป็นหลินสวินกับซย่าจื้อนั่นเอง
บรรยากาศเงียบสงัด
คำนวณเวลาตั้งแต่หลินสวินเข้ามาทะเลโชคชะตาก็เป็นเวลาประมาณห้าร้อยปีแล้ว ในช่วงเวลานี้ราวกับเขาโดดเด่นเป็นสง่าเพียงผู้เดียว
ศัตรูที่เรียกได้ว่าน่ากลัวนับไม่ถ้วนล้วนสิ้นชีพภายใต้เงื้อมมือเขา
กระทั่งถึงปัจจุบันกวาดตามองทั่วทะเลโชคชะตา ล้วนไม่มีใครไม่หวาดกลัวอานุภาพของเขา
เวลานี้เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัวหน้าแท่นมรรคบัวชะตาอีกครั้ง สัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นนึกถึงเรื่องอดีตมากมาย สีหน้าล้วนซับซ้อนพิกลอย่างอดไม่ได้
“การต่อสู้ครั้งนี้ยังยึดตามกติกาเดิมหรือไม่”
หลินสวินกวาดตามองโดยรอบ ทำลายความเงียบในที่นั้น
ทุกคนตัวสั่นสะท้าน ชายชราชุดม่วงคนหนึ่งรีบร้อนกล่าว “พวกเราไม่อยากต่อสู้ ครั้งนี้แค่มาเพื่อส่งสหายยุทธ์หลินจากไป”
หลินสวินอึ้งงัน มองดูคนอื่นๆ
“ไม่ผิดๆ พวกเรารู้ดีว่ามรรควิถีของสหายยุทธ์หลินตอนนี้ผงาดเหนือโลกนี้แล้ว ไม่มีผู้ใดเหนือกว่า แม้สู้กันก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของสหายยุทธ์หลินแน่ ดังนั้นจึงตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว”
พวกเฒ่าชราในที่นั้นพากันเอ่ยปาก
นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกผิดคาดโดยพลัน ครู่ใหญ่จึงประสานมือกล่าว “เช่นนั้นข้าคนแซ่หลินต้องขอบคุณทุกท่านมากจริงๆ”
จากนั้นเขาค่อยมองซย่าจื้อที่อยู่ข้างกาย “พวกเราไปกันเถอะ”
“อืม”
หลินสวินกับซย่าจื้อก้าวไปบนแท่นมรรคบัวชะตาภายใต้การจับจ้องของทุกคนทันที
เมื่อหลินสวินโคจรมรรควิถี แท่นมรรคบัวชะตาใต้ฝ่าเท้ามีคลื่นพลังกฎระเบียบลึกลับอบอวลทันใด
“สหายยุทธ์หลิน เดินทางปลอดภัย”
มีคนประสานมือ
เวลานี้ทุกคนในที่นั้นล้วนประสานมือพร้อมกัน
ไม่ว่าด้วยหวาดกลัวหรือยำเกรง สำหรับหลินสวิน พวกเขาล้วนจำต้องยอมรับ ว่าบนมรรคาไร้ขอบเขตหลินสวินเหนือกว่าพวกเขานานแล้ว!
เวลานี้เมื่อเห็นว่าเขาใกล้จากไป ในใจทุกคนนอกจากผ่อนคลายแล้วยังทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนเห็นตำนานไร้เทียมทานผู้กร้าวแกร่งเด่นผงาดคนหนึ่งกำลังจะจากฟ้าดินซึ่งพวกเขาอยู่ไป รสชาตินั้นพิกลหาใดเปรียบ
“ขอบคุณทุกท่านที่มาส่ง”
บนแท่นมรรคบัวชะตา หลินสวินยิ้มพลางคารวะตอบ
ครู่ต่อมาเงาร่างของหลินสวินกับซย่าจื้อหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมคลื่นประหลาดระลอกหนึ่ง
วันนี้การต่อสู้ในโลกบัวชะตาปิดฉาก
ทั้งวันนี้เองเหล่าผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในโลกยุคสมัยต่างๆ ล้วนรู้ข่าวว่าหลินสวินมุ่งหน้าไปแหล่งสถานอัศจรรย์แล้ว เพียงพริบตาก็มีทั้งผู้ยินดีและผู้ทอดถอนใจ
โลกวิญญาณยุทธ์
บนภูเขาเทพถกมรรค
เมื่อเห็นบัวชะตามหามรรคดอกนั้นแผ่ละอองแสงงามตระการเคลื่อนไปตามทะเลโชคชะตาที่ห่างออกไป เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลล้วนประสานมืออยู่นานอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก รักษาตัวด้วย!”
ขณะเดียวกันในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งบนภูเขา เสียงกัมปนาทหนึ่งพลันดังก้อง จากนั้นเงาร่างหนึ่งทะลวงขึ้นเหนือเมฆ อานุภาพทั้งตัวองอาจภาคภูมิ กระเทือนจนทะเลโชคชะตาพลันพลิกตลบ
เขาไม่ปิดบังอานุภาพบนตัวแม้แต่น้อย ราวกับนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้คนหนึ่งปรากฏตัวบนโลก ทำให้ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน หมื่นมรรคครวญคร่ำปั่นป่วนใต้ฝ่าเท้าเขา
“ศิษย์น้องเล็ก ขอบคุณมาก!”
เขาประสานมือกล่าว เสียงนั้นดังกระหึ่มดุจอสนีบาตปั่นป่วน แฝงความซาบซึ้งจากก้นบึ้งหัวใจ
“ศิษย์พี่ใหญ่… เขาตื่นขึ้นมาแล้ว!”
“ศิษย์พี่ใหญ่มาส่งศิษย์น้องเล็กด้วย”
พวกจ้งชิว รั่วซู่ต่างอึ้งงัน ตื่นเต้นดีใจหาใดเปรียบ
…
แหล่งสถานอัศจรรย์
ในโลกมืดมนเหมือนแดนแรกกำเนิดแห่งหนึ่ง เคราะห์มลทินแผ่กระจาย อสนีบาตพราวระยับ
ครืดคราด…
ทันใดนั้นเสียงโซ่กระทบรุนแรงระลอกหนึ่งดังก้อง ส่งเสียงดังเคร้งคร้างเหมือนทวนทองกระทบ จากนั้นเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกใต้ดิน
สวมชุดดำ ประณีตเรียบร้อย นัยน์ตาใสกระจ่างล้ำลึก
รูปร่างท่าทางเขาเหมือนชายหนุ่ม แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหยัดยืนอยู่บนสายน้ำแห่งกาลเวลา ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับไม่ถ้วน
บนตัวเขามีโซ่สีดำหยาบใหญ่เส้นหนึ่งพันรอบส่งเสียงครืดคราด เสียงกระทบสาดแสงกฎระเบียบศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าน่ากลัวเป็นสายๆ
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าโซ่สีดำหยาบใหญ่นี้ถึงกับวิวัฒน์มาจากปราณกระบี่สายหนึ่ง!
“หึๆ ตัวแปรที่พวกเจ้ากล่าวถึง มีหรือจะไม่ใช่ตัวแปรในสายตาข้า ถึงเวลาตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว…”
ชายชุดดำหัวเราะขึ้นมา ดูเหมือนมีความสุขและยินดีหาใดเปรียบ
เพี๊ยะ!
โซ่สีดำซึ่งพันธนาการตัวเขาราวกับมีจิตวิญญาณ ระเบิดเจตกระบี่ชวนประหวั่นออกมาในยามนี้ กำราบชายชุดดำเต็มกำลัง
ชายชุดดำส่งเสียงอึดอัดในคอ เงาร่างโซเซ เกือบถูกโซ่สีดำนั้นกระชากติดพื้น
“สหายยุทธ์ เจ้ากลับไปฝึกปราณใหม่แล้ว ทำไมต้องลำบากแปลงมรรควิถีทั้งตัวเป็น ‘โซ่กระบี่’ เพื่อพันธนาการข้าด้วยเล่า”
ชายชุดดำก้มมองโซ่สีดำนี้ เผยสีหน้าจนปัญญาเสี้ยวหนึ่ง “ช่างเถอะ รอเมื่อตัวแปรนั้นมาแล้วพวกเราค่อยสู้กัน ดูว่ามหามรรคของใครจะชนะกันแน่”
ครืดคราด…
ครู่ต่อมาเงาร่างเขาหายเข้าไปในส่วนลึกใต้ดินอีกครั้ง กลางฟ้าดินมีแค่เสียงโซ่กระทบกันดังก้อง
ฟ้าดินขมุกขมัวแถบนี้เงียบสงัดลงช้าๆ
อีกาขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่งกระพือปีกดุจสีหมึกพุ่งโฉบมาโดยไร้สุ้มเสียง จากนั้นเกาะบนกิ่งไม้โล่งเตียนต้นหนึ่ง นัยน์ตาแดงก่ำมองไปยังสถานที่ซึ่งชายชุดดำนั่นหายไป
“เจ้าลัทธิ ช่วงนี้พวกเราจับผู้ที่มาจากทะเลโชคชะตาได้ไม่น้อย จากคำพูดของพวกเขาทำให้รู้ว่าบัวดอกนั้นที่เจ้าเฒ่าโพธิเฝ้ารอใกล้มาแล้ว พวกเรา… ต้องเริ่มเคลื่อนไหวหรือไม่”
อีกาส่งเสียงแหลมทำลายความเงียบกลางฟ้าดิน
“ไม่”
เสียงของชายชุดดำดังมาจากส่วนลึกใต้ดิน น้ำเสียงเจือแววผ่อนคลายและยินดี “ให้เขามา ประตูอัศจรรย์เร้นลับสุดหยั่ง ข้าอยากดูนักว่าเขาจะบุกผ่านได้กี่บาน”
เห็นชัดว่าอีกาอึ้งงันไป กล่าวว่า “เจ้าลัทธิ ด้วยพลังที่พวกเราสั่งสมมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ยามเจ้าหมอนี่มาถึงแค่กำจัดเขาเลยก็พอ ทำไม…”
ชายชุดดำกล่าวตัดบท “เจ้าเป็นเจ้าลัทธิหรือ”
อีกาสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก้มหน้าพลางกล่าว “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
“เจ้าไม่เข้าใจ”
น้ำเสียงของชายชุดดำเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา “อีกาน้อย เจ้าฝึกปราณพร้อมข้ามาตั้งแต่เด็ก คนอื่นมองเจ้าเป็นวิญญาณอัปมงคล แต่ข้ากลับไม่เชื่อ ทั้งเคยช่วยเจ้าพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตถึงสามครั้ง ใช้พลังมหามรรคผันเปลี่ยนเก้ายุคสมัยมาสร้างวิญญาณเจ้าขึ้นใหม่ กระทั่งแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตสมบูรณ์ในคราวเดียว แต่หลังจากข้าติดอยู่ที่นี่ ความคิดของอีกาน้อยอย่างเจ้ากลับมากขึ้น คิดว่าข้าไม่อาจหลุดพ้นออกไปได้แล้วหรือ”
บนกิ่งไม้โล่งเตียนอีกาตัวสั่นงันงกพลางกล่าว “เจ้าลัทธิ ขะ ข้าแค่อยากช่วยท่านกำจัดภัยแฝง ไม่กล้าคิดทรยศเด็ดขาด!”
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย ชายชุดดำนั่นกลับไม่เอ่ยปากอีก
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้อีกานั่นหนาวเยือกในใจ ว้าวุ่นและกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ครู่ใหญ่เมื่อเจ้าอีกาใกล้แบกรับแรงกดดันหนักอึ้งนั้นไม่อยู่ ชายชุดดำพลันถอนใจยาวแล้วกล่าว “อีกาน้อย ตอนเด็กเจ้าคอยอยู่ข้างกายข้า เป็นพยานว่าข้าฝึกปราณมาอย่างไร ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้สหายมากมายล้วนจากข้าไปแล้ว ทำให้ข้าเกือบคิดว่าต่อให้ตนมองทะลุนัยเร้นลับสูงสุดของแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ได้ ถึงตอนท้าย… ก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว”
เสียงหดหู่เจือความอ้างว้าง
เจ้าอีกาจิตใจปั่นป่วน กล่าวด้วยเสียงทรงพลัง “เจ้าลัทธิ ข้าจะปรนนิบัติอยู่ข้างกายท่านไปตลอด!”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
น้ำเสียงของชายชุดดำกลับคืนสู่ความสงบ “ปีนั้นมือกระบี่นั่นถกมรรคกับข้า มองข้าเป็นศัตรู แต่ข้ามีหรือจะไม่ชื่นชมจิตวิญญาณของเขา แม้ว่าก่อนเขาจะเข้าวัฏจักรเกิดใหม่ยังทิ้งวิชามรรคของตนเป็นโซ่กระบี่มาขังข้าไว้ที่นี่ ข้าก็ไม่แค้นเขาสักนิด แค่การต่อสู้มหามรรคเท่านั้น สำหรับข้าแล้วเรื่องนี้นับเป็นอะไรได้”
“แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วเปลี่ยนประเด็น “คู่ต่อสู้พวกนั้นกำลังรอตัวแปร ส่วนข้าก็ต้องการตัวแปรนี้ ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”
เจ้าอีกากล่าว “เจ้าลัทธิ เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร”
“นำข่าวไปบอกคนอื่น พวกเขาย่อมเข้าใจว่าควรทำอย่างไร”
ชายชุดดำกล่าวอย่างผ่อนคลาย
เจ้าอีกาอึ้งงัน “แต่หากพวกเขาเลือกลงมือเล่า”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่พวกเขา”
ชายชุดดำพูดโดยไม่ต้องคิด “แต่เจ้าห้ามเข้าไปยุ่งเด็ดขาด ถ้าข้ารู้ว่าเจ้ามีความคิดอื่นใดแม้แต่น้อย ข้าจะชิงมรรควิถีของเจ้า ตัดมิตรภาพของเจ้ากับข้าแน่!”
เจ้าอีกาสั่นไปทั้งตัว พยักหน้าอย่างยากลำบาก
“ไปเถอะ”
ชายชุดดำพูดจบก็ไม่เคลื่อนไหวอีก
ครู่ใหญ่เจ้าอีกาจึงกระพือปีกบินห่างออกไป ในดวงตาแดงก่ำยังเจือความสงสัยเสี้ยวหนึ่ง
ทำไมเจ้าลัทธิต้องกำชับเช่นนี้
ทำไมไม่อาจกำจัดตัวแปรนั่นได้โดยตรง
เจ้าอีกาคิดไม่ตก
หลังจากนั้นครู่ใหญ่
เจ้าอีกาบินออกมาจากโลกแรกกำเนิดขมุกขมัวแห่งนั้น สภาวะจิตทั้งหมดเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง ราวกับตัดพันธนาการหนักหน่วงบนสภาวะจิตไป
‘แม้ว่าเจ้าลัทธิถูกกักขัง แต่อานุภาพนั้น… กลับน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ…’
เจ้าอีกาพึมพำในใจ
จากนั้นเงาร่างมันพลันพริบไหว กลายเป็นเด็กสาวชุดกระโปรงดำคนหนึ่ง ผมยาวดุจหิมะพลิ้วไหว แต่นัยน์ตากลับแดงก่ำเหมือนเครื่องแก้วกระจ่างโปร่งใส
“ส่งข่าวจากข้า เรียกรวมตัวจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าภาคีให้มาเจอข้าที่โลกทมิฬ”
นางยื่นนิ้วบางขาวกระจ่างข้างหนึ่งออกไปแล้วขยับเบาๆ เพลิงเทพสีดำกลายเป็นแสงสายหนึ่งหายลับไปกลางอากาศ
จากนั้นนางยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย กล่าวพึมพำในใจ ‘เจ้าลัทธิ ข้าเชื่อฟังท่าน ไม่มีทางยุ่งเรื่องนี้แน่ ทั้งไม่ห้ามปรามด้วย ยอมทำตัวเป็นผู้ส่งสารที่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ท่านจะไม่รู้เชียวหรือว่าหากพวกเขารู้ข่าว พวกเขาต้องลงมือแน่’
‘ท่านต้องรู้แน่ ใช่ไหม’