ตอนที่ 3146 ลมฝนดั่งเลือนราง ไก่ขับขานไม่หยุด
แหล่งสถานอัศจรรย์ โลกจำศีล
“เวลาหลายร้อยปีผ่านไปแค่ชั่วดีดนิ้ว ในแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ลมฝนดั่งเลือนราง คลื่นใต้น้ำซัดโหม”
จักจั่นทองถอนใจเบาๆ
หลายปีนี้เขาประลองหมากกับเจ้าแห่งคีรีดวงกมลตลอด
“เมื่อลมฝนเลือนรางย่อมถึงคราวอรุณเบิกฟ้า รอแค่เสียงไก่ขับขาน ใต้หล้าล้วนกระจ่าง”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าวลอยๆ
ลมฝนดั่งเลือนราง ไก่ขับขานไม่หยุด
ฝูงไก่ขับขานใต้หล้ากระจ่าง!
แน่นอนว่าจักจั่นทองเข้าใจความหมายในคำพูดของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “สหายยุทธ์ นี่เจ้ามองศิษย์ของเจ้าเป็นฝูงไก่ซึ่งนำพาอรุณเบิกฟ้ามาหรือ”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลอดยิ้มไม่ได้เช่นกัน ครู่ใหญ่จึงกล่าวเสียงขรึม “สำหรับพวกเราแล้วศิษย์คนเล็กของข้าถือเป็นตัวแปรหนึ่ง สำหรับราชันไท่ชูที่ถูกกำราบภายใต้โซ่กระบี่นั่นแล้ว มีหรือจะไม่ใช่ตัวแปรเช่นกัน ตอนนี้ข้ากลับเป็นห่วงอยู่บ้างแล้ว”
จักจั่นทองคีบหมากหนึ่งตัวขึ้นมาแต่กลับไม่วางหมาก กล่าวว่า “ลังเลไม่กล้าวางหมากเหมือนกับข้าใช่หรือไม่”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพยักหน้า “ตั้งแต่ศิษย์คนเล็กของข้าหลุดพ้นจากสายธารยุคสมัย เขาก็เป็นสหายร่วมวิถีเหมือนเจ้ากับข้า อนาคตเขาข้าไม่อาจหยั่งถึง เขาไม่ใช่ตัวหมากของข้า ทั้งไม่อาจพูดว่าไม่กล้าวางหมาก หากแต่… ไม่มีหมากให้วาง”
จักจั่นทองหัวเราะพลางกล่าว “หากอยู่ในโลกภายนอกพวกเราล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้เดินหมาก แต่เมื่ออยู่ในแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ พวกเราล้วนเป็นคนในเหตุการณ์ สิ่งที่สู้กันคือความสูงต่ำของมหามรรค สิ่งที่หยั่งถึงคือมรรคหลุดพ้นสูงสุด อันตรายระหว่างนั้นเจ้ากับข้าล้วนยากคาดเดา คิดดูแล้วแม้แต่เขาไท่ชูก็คงเป็นเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราแค่ปรับตัวตามสถานการณ์ก็พอ”
“ปรับตัวตามสถานการณ์…” เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพึมพำ
“ทั้งสองคน มีข่าวมาแล้ว” พร้อมกันนี้เสียงแหบแห้งหนึ่งดังขึ้น
พลันเห็นชายชราร่างผอมตอบดั่งลำไผ่คนหนึ่งย่างก้าวเหินห้วงอากาศเข้ามา เขาผมเผ้ายุ่งเหยิง หากหลินสวินอยู่ที่นี่ต้องจำได้แน่ คนผู้นี้ก็คือเฒ่าโดดเดี่ยว!
“ก่อนหน้านี้ ‘อีกาดำ’ ผู้ติดตามอันดับหนึ่งของไท่ชู แจ้งข่าวเรียกจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าภาคีมารวมตัวกันที่โลกทมิฬ ราวกับจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่”
เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าว แววตาเขาวาววาบ “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเจ้าหนูหลินสวินต้องใกล้มาแล้วแน่”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกับจักจั่นทองสบตากันแล้วพยักหน้าน้อยๆ
“เจ้าสองคนไม่คิดจะเคลื่อนไหวหรือ”
เฒ่าโดดเดี่ยวเลิกคิ้ว “ข้าอยู่ในโลกจำศีลนี้ได้แค่หนึ่งก้านธูป หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็ได้แต่กลับไปยังแดนเทพสรรพวิญญาณแล้ว”
“สหายยุทธ์คอยสังเกตการณ์เงียบๆ มีแค่รอตัวแปรที่แท้จริงมาแล้ว ถึงมีโอกาสให้พวกเราคว้าได้”
จักจั่นทองยิ้มอบอุ่น “หากหลินสวินมาย่อมไปแดนเทพสรรพวิญญาณแน่นอน ยังไม่เปิดฉากคลื่นลมก็ชิงลงมือกลับจะเป็นถูกขวางทุกทาง ไม่สู้รอดูก่อนว่าสหายน้อยหลินจะสร้างชื่อได้มากเท่าไร”
เฒ่าโดดเดี่ยวเหลือบมองเจ้าแห่งคีรีดวงกมล “สหายยุทธ์ก็คิดเหมือนกันหรือ”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “สถานการณ์ไม่ชัดเจน รีบร้อนไม่ได้”
เฒ่าโดดเดี่ยวถอนใจเบาๆ “ศัตรูเริ่มวางแผนเคลื่อนไหวแล้ว พวกเราจะรอดูสถานการณ์เช่นนี้หรือ”
“สหายยุทธ์ แหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้กว้างใหญ่มากเพียงใด รอบนอกมีแดนเทพสรรพวิญญาณ ตรงกลางมีแดนเทพมากเร้น ด้านในมีแดนเทพอัศจรรย์”
เสียงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเนิบนาบไม่รีบร้อน “นับแต่โบราณจนปัจจุบัน ผู้เข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ส่วนใหญ่ติดอยู่ในแดนเทพสรรพวิญญาณ มีแค่ส่วนน้อยที่เข้าสู่แดนเทพมากเร้นได้”
“มีเพียงแดนเทพอัศจรรย์ที่ลึกลับที่สุด จนถึงตอนนี้มีแค่สิบกว่าคนที่เข้าไปได้ แต่จนปัจจุบันกลับไม่มีใครกล้าเข้าไปสักคน”
“สาเหตุเป็นเพราะอะไร ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากวาสนาและเคราะห์สังหารมากเกินไป!”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ไม่ใช่แค่พวกเราเฝ้ารอ คู่ต่อสู้พวกนั้นก็กำลังเฝ้ารอเช่นกัน แม้ว่าศิษย์คนเล็กของข้าเป็นตัวแปรอย่างหนึ่ง แต่ใครก็ไม่กล้าแน่ใจว่าการมาถึงของเขาสามารถล้มล้างสถานการณ์ของแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ ทำให้พวกเราเจอโอกาสเข้าสู่แดนเทพอัศจรรย์ได้”
“ดังนั้นรอต่ออีกหน่อยจะเป็นไร”
แววตาเฒ่าโดดเดี่ยวไหววูบ ครู่ใหญ่จึงพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็รออีกหน่อย”
แหล่งสถานอัศจรรย์แบ่งเป็นสามแดนเทพ คือสรรพวิญญาณ มากเร้น อัศจรรย์
ภายในนั้นแดนเทพสรรพวิญญาณตั้งอยู่รอบนอกสุด ภายในประกอบด้วยโลกเก้าชั้น หนึ่งโลกหนึ่งประตู หนึ่งประตูหนึ่งปริศนา
ส่วนแดนเทพมากเร้นก็ตั้งอยู่ตรงกลางแหล่งสถานอัศจรรย์ แดนเทพนี้มีโลกนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ ทุกโลกล้วนมีทิวทัศน์ต่างกัน ถึงตอนนี้ยังไม่เคยถูกใครสำรวจทั่วอย่างแท้จริง
ส่วนใจกลางแหล่งสถานอัศจรรย์ก็คือแดนเทพอัศจรรย์ ดินแดนนี้ถูกมองเป็น ‘เขตผนึกอัศจรรย์’
มีเพียงอาศัยมรรควิถีของตนสัมผัส ถึงจะรับรู้การมีอยู่ของเขตผนึกลึกลับแห่งนี้ได้
แต่จากอดีตจนปัจจุบัน ผู้ที่สัมผัสถึงเขตผนึกลึกลับแห่งนี้กลับมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น
ซ้ำหลังจากสิบกว่าคนนี้สัมผัสถึงแดนเทพอัศจรรย์ก็เลือกหยุดเดิน ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าไป
ด้วยในความรู้สึกของพวกเขา สถานที่นั้นคือแดนมรณะซึ่งมี ‘วาสนาใหญ่และมหาเคราะห์สังหาร’!
วาสนาไม่ถึง เข้าไปต้องตาย!
ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันแม้แต่บุคคลอย่างเจ้าแห่งคีรีดวงกมลกับจักจั่นทอง ก็รออยู่ในโลกจำศีลของแดนเทพมากเร้นนี้มาตลอด
เฒ่าโดดเดี่ยวก็ถูกจำกัดด้วยขอบเขตมหามรรคของตน แม้ตอนนี้ปรากฏตัวในแดนเทพมากเร้นได้ แต่ต้องกลับสู่แดนเทพสรรพวิญญาณในหนึ่งก้านธูป ไม่เช่นนั้นจะถูกกฎระเบียบของแดนเทพมากเร้นกำจัด!
ตรงกันข้าม บุคคลอย่างเจ้าแห่งคีรีดวงกมลกับจักจั่นทอง มรรควิถีของพวกเขามี ‘ยอดอิสระ ยอดเสรี’ สามารถอยู่ในแดนเทพมากเร้นได้ยาวนาน
“เช่นนั้นสหายยุทธ์ทั้งสองคิดว่าเมื่อไหร่จึงเป็นโอกาสลงมือ”
เฒ่าโดดเดี่ยวถาม
“คงเป็นตอนที่ผ่านประตูเก้าชั้น ก้าวเดินบนทางพิฆาตมรรค”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว
“หรืออาจเป็นตอนที่มาถึงแดนเทพมากเร้นนี้”
จักจั่นทองกล่าวเสียงขรึม
เฒ่าโดดเดี่ยวได้ยินดังนี้แล้วอดส่ายหัวไม่ได้ “จากมุมมองของข้า ข้ารับใช้ของเจ้าลัทธิไท่ชูพวกนั้น ไม่มีทางรอถึงตอนนั้นแน่”
แดนเทพสรรพวิญญาณมีโลกเก้าชั้น หนึ่งโลกหนึ่งประตู หนึ่งประตูหนึ่งปริศนา เคราะห์สังหารที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างกันไปตามบุคคล
คำว่า ‘ผ่านประตูเก้าชั้น’ ก็เท่ากับบุกผ่านเคราะห์สังหารของเก้าโลกใหญ่
นับแต่โบราณจนปัจจุบัน ผู้ทำถึงขั้นนี้ได้มีอยู่เช่นกัน แต่เกือบทั้งหมดคือพวกเฒ่าชราที่ก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตขั้นปลาย ทั้งมีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่ยุคสมัย
หลังจากผ่านประตูเก้าชั้นยังมีทางพิฆาตมรรคด้วย
เส้นทางนี้เชื่อมต่อระหว่างแดนเทพสรรพวิญญาณกับแดนเทพมากเร้น ผู้บุกผ่านจะมาถึงแดนเทพมากเร้นอย่างราบรื่น ผู้ทะลวงฝ่าไม่สำเร็จวิชามรรคทั้งตัวจะหายไปสิ้น
เทียบกับเคราะห์สังหารของโลกเก้าชั้นนั้นแล้ว ทางพิฆาตมรรคนี้น่ากลัวกว่าโดยไม่ต้องสงสัย
ปีนั้นพวกจักจั่นทองกับเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ผ่านเคราะห์สังหารมากเช่นนี้จนมาถึงแดนเทพมากเร้น
ส่วนสาเหตุที่เฒ่าโดดเดี่ยวปรากฏตัวที่นี่ได้ เป็นเพราะอาศัยพลังของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลกับจักจั่นทอง ใช้วิชาลับกฎระเบียบแบบเดียวกับ ‘ลักฟ้าแลกตะวัน’ ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป
จากมุมมองของเฒ่าโดดเดี่ยว ต่อให้ไม่พูดถึงเคราะห์สังหารพวกนั้น ปัจจุบันในโลกเก้าชั้นของแดนเทพสรรพวิญญาณนั่นย่อมมีข้ารับใช้ของราชันไท่ชูกระจายอยู่มากมาย!
คนพวกนี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นตั้งตัวไม่ทันที่สุด
“ตัวแปรหนอตัวแปร ก็คือการเสาะหาความเปลี่ยนแปลง ถ้าหลินสวินมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์ได้ มรรควิถีของเขามีหรือจะอ่อนแอ”
จักจั่นทองมองเฒ่าโดดเดี่ยวเล็กน้อย “สหายยุทธ์ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เจ้ารู้จักอีกแล้ว”
เฒ่าโดดเดี่ยวอึ้งงันก่อน จากนั้นจึงตบหน้าผากหัวเราะลั่น “กังวลจนว้าวุ่นๆ”