ตอนที่ 3151 เก้าภาคีไท่ชู
บัณฑิตวัยกลางคนสีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น
พักใหญ่เขาถึงได้สติจากแรงกระทบกระเทือนของภาพความตายเหล่านั้น
เมื่อมองหลินสวินกับซย่าจื้ออีกครั้ง ในสายตาของเขาก็เจือแววเกรงกลัวอย่างไม่อาจข่มได้แล้ว
หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดไว้แล้วว่าขอเพียงข้ารอดชีวิต เจ้าก็จะบอกคำตอบข้า”
บัณฑิตวัยกลางคนถอนใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราไม่ประมาณพลังตัวเอง… พวกเราล้วนอยู่ใต้อาณัติของจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีหรดี สาเหตุที่รออยู่ที่นี่ ก็เพราะรับคำสั่งมา…”
ไม่นานนักหลินสวินก็เข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวต่างๆ จากคำพูดของบัณฑิตวัยกลางคน
ในแหล่งสถานอัศจรรย์ ราชันไท่ชูรวมถึงผู้แข็งแกร่งเก้าภาคีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ
‘เก้าภาคี’ ที่ว่าก็คือภาคีพายัพ ภาคีหรดี ภาคีทักษิณ ภาคีบูรพา ภาคีอีสาน ภาคีอุดร ภาคีประจิม ภาคีอาคเนย์และภาคีกลาง
เก้าภาคีต่างมีจอมมรรคภาคีละหนึ่งคน ล้วนเป็นยอดบุคคลที่เรียกได้ว่าล้ำเลิศ
ส่วนผู้แข็งแกร่งในแต่ละภาคีจะถูกเรียกว่าทูตชะตาสวรรค์
จอมมรรคเก้าภาคีกับทูตชะตาสวรรค์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต่างรับคำสั่งจากราชันไท่ชู
ทว่าหลังจากราชันไท่ชูถูกขังในแดนเทพมากเร้นเมื่อนานมาแล้ว ผู้แข็งแกร่งเก้าภาคีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็รับคำสั่งจากหญิงที่เรียกตัวเองว่า ‘อีกาดำ’
อีกาดำเป็นผู้ติดตามอันดับหนึ่งใต้บัญชาไท่ชู เป็นคนที่ราชันไท่ชูไว้วางใจที่สุด มรรควิถีของนางก็ล้ำลึกสุดหยั่ง
ว่ากันว่าอีกาดำแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว ในทั้งแหล่งสถานอัศจรรย์ยังเป็นบุคคลน่ากลัวที่ทำให้ยอดบุคคลคนใดก็ตามยำเกรงได้คนหนึ่ง
ช่วงก่อนหน้านี้พวกบัณฑิตวัยกลางคนได้รับคำสั่งจากจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีหรดี ‘ชิงหยางจื่อ’ ให้พวกเขาทูตชะตาสวรรค์แห่งภาคีหรดีที่กระจายอยู่ตามโลกแปรปุถุชนเหล่านี้ออกเคลื่อนไหวกัน อารักขาหน้าปราณมรรคฟ้าดินในสี่สิบเก้าอาณาจักร
เป้าหมายก็เพื่อจัดการหลินสวิน!
เมื่อฟังถึงตรงนี้ หลินสวินจึงรู้ว่าที่แท้คนที่ลงมือกับตนก็คือ ‘ราชันไท่ชู’ ที่ถูกเรียกว่าเป็นผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยผู้นั้น!
หลินสวินเอ่ยถาม “ในโลกแปรปุถุชนแห่งนี้มีทูตชะตาสวรรค์อย่างเจ้าทั้งหมดกี่คน”
“ในบรรดาเก้าภาคีมีแต่จอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีหรดีที่รับผิดชอบเรื่องในโลกแปรปุถุชน และในโลกแปรปุถุชนแห่งนี้ ทูตชะตาสวรรค์ที่รับใช้ภาคีหรดีอยู่จริงๆ น่าจะมีแปดร้อยคน”
บัณฑิตวัยกลางคนพูดถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าขมขื่น “ความจริงทูตชะตาสวรรค์จากโลกแปรปุถุชนอย่างพวกเราดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่อันที่จริงกลับเป็นกลุ่มคนที่อยู่ชายขอบที่สุดในเก้าภาคีไท่ชู”
หลินสวินเอ่ยอย่างสนอกสนใจ “นี่หมายความว่าอย่างไร”
“ง่ายมาก ตั้งแต่อดีตถึงถึงปัจจุบัน พวกที่ข้ามทะเลโชคชะตามาถึงโลกแปรปุถุชนแห่งนี้ทุกคน ส่วนมากได้รับคำเชิญจากจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีหรดี สัญญากับทุกคนว่าถ้าอยู่ในกลุ่มเดียวกันก็จะได้รับความคุ้มครองจากราชันไท่ชู ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากกำลังพลทั้งหมดที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของราชันไท่ชูอีกด้วย”
บัณฑิตวัยกลางคนเอ่ย “แต่คิดว่าสหายยุทธ์ก็ย่อมรู้ดีว่าแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้อันตรายยากหยั่งถึง ที่พวกเรามาที่นี่ อย่างแรกก็เพื่อหลบภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ อย่างที่สองก็เพื่อเสาะหาผลมรรคแรกกำเนิด แต่หากเคลื่อนไหวตามลำพัง คนน้อยย่อมไร้กำลัง เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
หลินสวินเอ่ย “ดังนั้นสหายร่วมวิถีที่เข้ามาโลกแปรปุถุชนเหล่านี้จึงเลือกเข้าร่วมกับกลุ่มของราชันไท่ชูหรือ”
“ไม่ผิด”
บัณฑิตวัยกลางคนเอ่ย “แต่เพราะการต่อสู้มหามรรคนี้ สิ่งที่ทดสอบก็คือความสูงต่ำของมรรควิถีที่คนผู้หนึ่งมี ทูตชะตาสวรรค์ที่สังกัดภาคีหรดีอย่างพวกเรา ส่วนมากแทบไม่มีโอกาสเข้าประตูสวรรค์และออกจากโลกแปรปุถุชนแห่งนี้ได้ จึงกลายเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับความสำคัญที่สุดในเก้าภาคีไท่ชู”
หลินสวินถึงได้เข้าใจยามนี้
แดนเทพสรรพวิญญาณมีโลกเก้าชั้น หนึ่งโลกหนึ่งประตู หนึ่งประตูหนึ่งนัยเร้นลับ
โลกแปรปุถุชนก็คือโลกชั้นแรกของแดนเทพสรรพวิญญาณ หากเข้าประตูสวรรค์ไม่ได้ ก็หมายความว่าจะติดอยู่ที่โลกแปรปุถุชนแห่งนี้ไปตลอดเท่านั้น
ขนาดโลกชั้นแรกยังผ่านไปไม่ได้ เห็นชัดว่าภาคีหรดีอย่างพวกบัณฑิตวัยกลางคนเหล่านี้ไม่มีทางได้รับความสำคัญมากมายนัก
และนี่ก็หมายความว่าทูตชะตาสวรรค์ภาคีหรดีอย่างบัณฑิตวัยกลางคน ดูคล้ายมีกำลังคนมาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับทรายที่อยู่กระจัดกระจายกันกระบะหนึ่ง
หลินสวินเอ่ย “เกาะกลุ่มกันเป็นเรื่องดี แต่เลือกผิดฝั่งกลับจะทำร้ายตัวเอง”
บัณฑิตวัยกลางคนสีหน้าอึมครึม เอ่ยว่า “พวกเราฝึกปราณถึงตอนนี้ ผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน ขัดเกลาจากการเห็นความเป็นความตายจนเจนตา ในที่สุดก็มาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้อย่างยากเย็น ใครจะคิดว่าที่นี่กลับไม่ใช่แดนพิสุทธิ์ ถ้าจะโทษก็โทษได้แค่พวกเรามรรควิถีด้อยเกินไป ถ้าไม่เกาะกลุ่มกันเกรงว่าจะไม่มีทางยืนหยัดในโลกนี้ได้”
ในน้ำเสียงมีแต่ความอ้างว้างและผิดหวัง
หากไม่มาแหล่งสถานอัศจรรย์ ก็จะถูกเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพคุกคาม กินไม่ได้นอนไม่หลับ
แต่พอมาแหล่งสถานอัศจรรย์ กลับมีอันตรายรอบด้านเช่นกัน
ถ้าได้รู้ทุกอย่างแต่แรก ยอดบุคคลที่กระจายตัวอยู่ในโลกแปรปุถุชนมากมายนี้อาจจะไม่วาดหวังการมายังแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้แล้ว
“เจ้าไปเถอะ”
หลินสวินโบกมือ
บัณฑิตวัยกลางคนอึ้งไป เดิมเขาเตรียมตัวตายแล้ว จะคิดได้อย่างว่าหลินสวินจะถึงกับปล่อยเขาไป
ครู่หนึ่งเขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กุมมือเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
จากนั้นจึงหันหลังจากไป
แต่ในใจเขายังงุนงงไม่ว่างเว้น ในช่วงหลายร้อยปีนี้เขาเคยได้ยินเรื่องของหลินสวินมากมาย ในเรื่องเหล่านั้นต่างบรรยายหลินสวินว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจ กระหายการฆ่าฟัน
เดิมนึกว่านี่เป็นคนไร้ปรานีประหนึ่งมารร้ายคนหนึ่ง แต่ตอนนี้… เขากลับเอาชีวิตรอดมาได้!
“ทำไมไม่ฆ่า”
ซย่าจื้อยังประหลาดใจอยู่บ้าง
“แค่คนน่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น จะฆ่าไปทำไม”
หลินสวินเอ่ยเบาๆ
พูดกันตามตรงพวกบัณฑิตวัยกลางคนยังไม่ถึงกับเป็นคู่แค้น อย่างมากสุดก็เป็นหมากที่ไม่ได้รับความสำคัญในมือราชันไท่ชู
ที่ปล่อยบัณฑิตวัยกลางคนไปคราวนี้ไม่ใช่เพราะหลินสวินใจอ่อน แต่เป็นเพราะต้องการอาศัยปากของบัณฑิตวัยกลางคนนี้ป่าวประกาศเรื่องในวันนี้ออกไป
เช่นนี้แล้วถ้าพวกภาคีหรดีที่กระจายตัวอยู่ในโลกแปรปุถุชนนี้ยังหมายมาจัดการตน ก็ต้องไตร่ตรองผลลัพธ์ดูให้ดี
แต่ในความคิดของหลินสวิน พวกที่ไม่ได้รับความสำคัญเหล่านี้ก็เหมือนทรายกระบะหนึ่ง หลังจากรู้ข่าวนี้เกรงว่าส่วนมากคงไม่มีทางทุ่มเทให้ราชันไท่ชูอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
และนี่จึงจะเป็นสิ่งที่หลินสวินอยากเห็น
“แปลก ก่อนหน้านี้พวกเราฆ่าคู่ต่อสู้ไปมากมายขนาดนั้น ก็ถือว่าผ่านการต่อสู้มหามรรคครั้งหนึ่ง แต่ทำไมตำราหยกวิชามรรคนี้ถึงไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไร”
ซย่าจื้อนิ่วหน้าเอ่ย ความสนใจของนางเบนไปที่ตำราหยกวิชามรรคของตัวเองแล้ว
หลินสวินอึ้งไป ดูตำราของตัวเองก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเช่นกัน เอ่ยพึมพำอย่างห้ามไม่ได้ว่า “ดูท่าการต่อสู้มหามรรคนี้จะมีความละเอียดอ่อนมาก คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไปไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด”
คิดจะผ่าน ‘ประตูสวรรค์’ ของโลกชั้นแรก ก็ต้องมีผลมรรคแรกกำเนิด และหากอยากได้ผลมรรคแรกกำเนิด ก็ต้องทำให้วิชามรรคของตนเข้าไปอยู่ในระเบียบมรรควัฏจักร
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ก้าวแรกก็ต้องต่อสู้มหามรรค มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะทำให้วิชามรรคของตนไปอยู่ในระเบียบมรรควัฏจักรได้
และสิ่งที่แสดงอยู่ในตำราหยกวิชามรรค เป็นเพียงผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ตามโลกแปรปุถุชนหลักหมื่นคน ถ้าแค่การต่อสู้มหามรรคทั่วไปก็สามารถนำวิชามรรคของตนเข้าไปใน ‘กฎระเบียบวัฏจักร’ ได้ เกรงว่าพวกบัณฑิตวัยกลางคนก็คงไม่ถึงกับถูกขังอยู่จนถึงตอนนี้
พูดกันถึงแก่นแล้ว การต่อสู้มหามรรคก็คือต้องทำให้มรรควิถีของตนแข็งแกร่งมากพอ มิหนำซ้ำคู่ต่อสู้ก็ต้องแข็งแกร่งพอด้วยถึงจะทำได้
ยังดีที่การต่อสู้มหามรรคมีสองวิธี
วิธีหนึ่งคือต่อสู้กับผู้อื่น
ส่วนอีกวิธีคือต่อสู้กับรูปจำลองวิชามรรคของผู้ที่เข้าประตูสวรรค์ไปก่อนแล้ว และเหลือวิชามรรคไว้ในกฎระเบียบวัฏจักรเหล่านั้น
นี่ก็หมายความว่าต่อให้บนโลกนี้ไม่มีศัตรู ก็ไปประลองกับรูปจำลองวิชามรรคได้
อย่างไรก็ยังมีโอกาสอยู่ดี
และในเมืองหลวงอาณาจักรสมโภชแห่งนี้ก็มีรูปจำลองวิชามรรคกระจายอยู่สามชนิด
ได้แก่ลัญจกรหยกที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของวังหลวงชิ้นหนึ่ง เตาทองแดงที่ตั้งอยู่หน้าอารามมรรค รวมถึงต้นไม้เก่าแก่ที่หยั่งรากหน้าประตูตะวันออกของวัง
“ไป พวกเราไปดู ‘ลัญจกร’ ชิ้นนั้นในวังหลวงอาณาจักรสมโภชแห่งนี้หน่อย”
หลินสวินคิดแล้วตัดสินใจ พลันเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศทะยานเข้าไปในส่วนลึกของวังหลวงพร้อมกับซย่าจื้อ
สำหรับคนทั่วไปแล้ว วังหลวงเป็นเขตหวงห้ามสูงสุด โอรสสวรรค์บัญชาการอยู่ในนั้น ปกครองใต้หล้า ควบคุมทุกพื้นที่ ราชสิทธิ์ก็ประหนึ่งสวรรค์
แต่ในสายตาหลินสวินไม่มีค่าให้มองสักนิด
จักรพรรดิแล้วอย่างไร สุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์แห่งเกิดแก่เจ็บตายอยู่ดี!
ณ ตำหนักทองอร่ามแวววาวในส่วนลึกของวังหลวง หลินสวินเห็นลัญจกรที่แปลงจากรูปจำลองวิชามรรคนั้นแล้ว
ลัญจกรนี้มีทรงเหลี่ยม ขนาดเท่ากำปั้น วางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง มีสีม่วงทั้งชิ้น บนนั้นสลักภาพภูผาธารา สุริยันจันทราและหมู่ดาวไว้ กลิ่นอายหนักแน่นไพศาล มีเจตจำนงอันเกรียงไกรไร้ขอบเขต
หลินสวินมองปราดเดียวก็ระบุได้ว่ากลิ่นอายบนลัญจกรนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับพลังกฎระเบียบวัฏจักรสายเดียวที่ปกคลุมอยู่ทั่วราชวังนั้น!
‘ดูท่ารูปจำลองวิชามรรคนี้จะเป็นสิ่งที่ยอดบุคคลผู้หนึ่งทิ้งไว้’
หลินสวินครุ่นคิด
ซย่าจื้อที่อยู่อีกด้านหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น “หลินสวิน ข้าสังหรณ์ว่าถ้าพิชิตลัญจกรนี้ได้ ก็จะนำวิชามรรคของตัวเองไปอยู่ในกฎระเบียบวัฏจักร ชักนำผลมรรคแรกกำเนิด แล้วผ่านประตูสวรรค์ได้”
หลินสวินอึ้งไปก่อน แล้วพลันรีบพูดว่า “อย่าเพิ่งลงมือ”
“ทำไม”
ซย่าจื้อสงสัย
“ถ้าเจ้าจากไปปุบปับแบบนี้แล้วข้าจะทำอย่างไร”
หลินสวินพูดอย่างไม่พอใจ ยายนี่ไม่รู้จักคิดเกินไปแล้ว
ซย่าจื้อร้องอ้อคำหนึ่ง เข้าใจแล้ว แต่ไม่นานก็นิ่วหน้าเอ่ยว่า “แต่พวกเราควรทำอย่างไรถึงออกไปด้วยกันได้”
“เกรงว่าจะออกไปด้วยกันไม่ได้ แต่ก่อนออกไปพวกเราหารือเรื่องการเคลื่อนไหวไว้ก่อนได้”
หลินสวินพูดเสียงขรึม
เมื่อออกจากโลกแปรปุถุชนก็จะเข้าสู่โลกชั้นที่สองของแดนเทพสรรพวิญญาณแห่งนี้ ‘โลกภัยพิบัติ’
แต่ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้สถานการณ์ของโลกภัยพิบัติสักนิด ย่อมต้องทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมล่วงหน้าให้ดี
“เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะทำอย่างไร”
ซย่าจื้อพูด
“สืบข่าวก่อน”
หลินสวินครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ในเมื่อทูตชะตาสวรรค์ภาคีหรดีพวกนั้นสามารถรับคำสั่งที่มาจาก ‘ชิงหยางจื่อ’ ได้ เท่ากับว่าข่าวที่เกี่ยวข้องกับโลกอื่นก็น่าจะกระจายมาถึงโลกแปรปุถุชนนี้เช่นกัน”
“ตอนนี้ข่าวที่ว่าข้าปรากฏตัวในโลกแปรปุถุชนคงกระจายไปแล้ว เชื่อว่าหลังจากนี้ต้องมีคนไม่น้อยมาหาถึงที่”
พูดถึงตรงนี้หลินสวินก็นึกถึงพวกอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมล จักจั่นทองและเฉินหลินคงอย่างอดไม่อยู่ ทั้งยังนึกถึงพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ก่อนหน้าตนหลายปีอย่างพวกสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี
หลังจากคนเหล่านี้รู้ข่าวว่าตนมาถึงโลกแปรปุถุชนแล้ว มีหรือจะนิ่งเฉยได้