ตอนที่ 3153 วาดเส้นโลหิตออกมาเส้นหนึ่ง
ในโรงน้ำชา นักเล่านิทานพูดน้ำไหลไฟดับ
ซย่าจื้อฟังอย่างสนอกสนใจ
อีกด้านหนึ่งหลินสวินกำลังดื่มเหล้าสนทนากับสิงเจี้ยนสยาและฟู่หนานหลี พูดคุยเรื่องของโลกแปรปุถุชนแห่งนี้
ทั้งยังคุยถึงเรื่องของสหายเก่ามากมายเช่นกัน
อย่างพวกจอมมรรคซานเฟิง เซียวเหอ โม่ไป๋เจ๋อ มู่ฉางอวิ๋น ตอนนี้ต่างฝึกปราณอยู่ที่สถานที่ที่มีชื่อว่า ‘อาณาจักรสังฆาราม’
ถึงอย่างไรโลกแปรปุถุชนก็ตั้งอยู่ในแหล่งสถานอัศจรรย์ มีขั้นไร้ขอบเขตกระจายตัวอยู่นับหมื่น แม้ในกลุ่มนั้นส่วนมากจะติดอยู่ที่นี่ แต่ขณะที่นั่งสมาธิฝึกปราณกลับไม่ต้องกลัวภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพแล้ว
สำหรับผู้ฝึกปราณหลายคน ต่อให้อยู่ที่โลกนี้นานๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
หลินสวินยังได้รู้จากปากสิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลีว่าหลังจากยักษ์ใหญ่อย่างอี้อู๋อิ๋น ฉือเชียนจี เทียนซิงจื่อ กว่านเชียนชิวมาถึงโลกแปรปุถุชนได้ไม่นาน ก็ควบรวมผลมรรคแรกกำเนิดผ่านประตูสวรรค์ไป
เรื่องนี้เดิมทีก็สมเหตุสมผล หลินสวินไม่ได้ประหลาดใจ
ถึงอย่างไรพวกอี้อู๋อิ๋น ฉือเชียนจีก็มีโอกาสมาแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้หลายครั้งนานแล้ว สาเหตุที่รั้งอยู่ในทะเลโชคชะตา ย่อมเป็นเพราะพวกเขาสละโอกาสที่ช่วงชิงมาให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นในฝ่ายตน
เช่นเดียวกับหลินสวิน ในฝ่ายที่เขาอยู่ เขาก็เป็นผู้ที่มาแหล่งสถานอัศจรรย์เป็นคนสุดท้าย
“หลินสวิน ตอนที่ข้ามาได้รับการถ่ายทอดข่าวสารจากอาจารย์”
จู่ๆ สิงเจี้ยนสยาก็เอ่ยออกมา “เจ้าอยากรู้ไหมว่าในข่าวสารนั้นกล่าวถึงอะไร”
อาจารย์ของสิงเจี้ยนสยาก็คือบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชู!
“คงเกี่ยวกับข้า” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
สิงเจี้ยนสยาหัวเราะร่า “ถูกต้อง ตามที่อาจารย์ข้าพูด อาจารย์เจ้า เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็รู้แล้วว่าเจ้ามาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้”
ขณะพูดเขาก็เล่าสถานการณ์ในแหล่งสถานอัศจรรย์อย่างหมดเปลือก
เช่นเรื่องราชันไท่ชูถูกโซ่กระบี่ผูกมัด กำลังพลที่เก้าภาคีไท่ชูแต่ละภาคีมี รวมถึงสถานการณ์ของพวกเจ้าแห่งคีรีดวงกมลและจักจั่นทอง
เมื่อฟังจบหลินสวินถึงตระหนักได้ว่าการมาของตนถึงกับกลายเป็น ‘ตัวแปร’ หนึ่ง!
แต่กับการมาถึงของตน ไม่ว่าจะเป็นราชันไท่ชูผู้นั้น หรือพวกอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลต่างก็เลือกนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว
คล้ายว่าพวกเขาคิดจะดูว่า ‘ตัวแปร’ อย่างตนจะก่อคลื่นลมได้ใหญ่โตขนาดไหน
ขณะเดียวกันหลินสวินก็รู้ว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ผู้ที่สามารถก้าวข้ามเก้าประตูสวรรค์ เดินผ่านทางพิฆาตเซียนไปถึงแดนเทพมากเร้นได้จริงๆ มีเพียงแค่หยิบมือ!
ในคนแค่หยิบมือนี้เป็นบุคคลน่ากลัวที่แทบจะอยู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ไม่ก็บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แทบทั้งนั้น
ผู้ที่เข้าใกล้ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ถูกเรียกว่า ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’
ส่วนผู้ที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ถูกเรียกว่า ‘จอมราชันไร้ขอบเขต’
อย่างพวกบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชู บรรพจารย์ลัทธิวิญญาณซวีอิ่น บรรพจารย์ลัทธิพ่อมดเทียนอู บรรพจารย์ลัทธิฌานซื่อ จอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้าคนของเก้าภาคีไท่ชู ล้วนเป็น ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’
ส่วนพวกที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์อย่างจักจั่นทอง เจ้าแห่งคีรีดวงกมล อีกาดำผู้ติดตามอันดับหนึ่งของไท่ชู วานรเฒ่าข้ารับใช้อาวุโสข้างกายไท่ชู ล้วนเรียกได้ว่าเป็น ‘จอมราชันไร้ขอบเขต’!
แล้วเมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินถึงตระหนักได้ถึงปัญหาข้อหนึ่งทันที
ตามคำพูดของฟู่หนานหลีตั้งแต่สมัยอยู่ทะเลโชคชะตา ในแต่ละยุคสมัยแต่ตั้งแต่อดีตถึงบัดนี้ ผู้ที่สามารถบรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์มีเพียงสามคน
ได้แก่มือกระบี่ลึกลับคนนั้น เฉินซี รวมถึงราชันไท่ชู
แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว
หลินสวินถามข้อสงสัยนี้ออกมา
คำตอบของสิงเจี้ยนสยาง่ายดายนัก พวกที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เหล่านั้น หลายคนต่างแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์หลังจากมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์
สาเหตุก็เพราะในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้มีวาสนาใหญ่ที่สามารถทำให้จอมมรรคไร้ขอบเขตก้าวเข้าสู่จอมราชันไร้ขอบเขตได้!
และวาสนาเช่นนี้มักจะเกี่ยวข้องกับผลมรรคแรกกำเนิด
ถึงตอนนี้หลินสวินถึงกระจ่าง ก็จริง ลือกันว่าเดิมทีแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ก็คือแหล่งวาสนาที่ทำให้ขั้นไร้ขอบเขตทะลวงขั้นสำเร็จแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ไม่รู้ เป็นเพราะไม่มีใครมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้!
พูดง่ายๆ
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด คนเพียงหยิบมือที่เข้าสู่แดนเทพมากเร้นได้นั้น หากไม่ใช่จอมมรรคไร้ขอบเขตก็เป็นจอมราชันไร้ขอบเขต
ส่วนขั้นไร้ขอบเขตคนอื่นที่เป็นคนส่วนมาก ต่างติดอยู่ในโลกเก้าชั้นของแดนเทพสรรพวิญญาณแห่งนี้
นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างฉือเชียนจี อี้อู๋อิ๋น เกรงว่าก็เข้าไปในแดนเทพมากเร้นนั้นในเวลาอันสั้นไม่ได้
สิงเจี้ยนสยาเอ่ย “อาจารย์ให้ข้ามาบอกเจ้าว่ากำลังพลหลักของเก้าภาคีไท่ชูกระจายอยู่ใน ‘โลกโลกาสวรรค์’ โลกชั้นที่เก้า เป็นไปได้สูงยิ่งว่าที่นั่นจะเป็นเคราะห์สังหารเทียมฟ้าแห่งหนึ่ง ถ้าภายหน้าเจ้ามีโอกาสไป สามารถไปติดต่อเฒ่าโดดเดี่ยวก่อนได้”
หลินสวินอึ้งงัน เฒ่าโดดเดี่ยวถึงกับอยู่ในโลกโลกาสวรรค์ โลกชั้นที่เก้านั่น เขาไม่ได้พบกับชายชราที่จำศีลอยู่ใน ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ ผู้นี้มานานมากแล้ว
จากนั้นหลินสวินก็ถามเรื่องบางส่วนเกี่ยวกับโลกชั้นที่สอง ‘โลกภัยพิบัติ’
เรื่องพวกนี้สิงเจี้ยนสยาก็รู้ จึงบอกเรื่องที่รู้จนหมดสิ้น
โลกภัยพิบัติที่ว่า ก็คือโลกแห่งมหันตภัยแห่งหนึ่ง
ทุกคนที่เข้าสู่โลกนี้ต่างประสบกับภัยพิบัติสามรอบ คือ ‘ด่านเกิดใหม่’ ‘ด่านก่อมรรค’ และ ‘ด่านเคาะใจ’
มีเพียงผ่านการทดสอบของภัยพิบัติทั้งสามรอบนี้ถึงจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิด ก้าวผ่านประตูสวรรค์บานที่สองได้
กาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ในโลกเก้าชั้นของแดนเทพสรรพวิญญาณก็มียอดบุคคลมากมายเข้าไปโลกภัยพิบัติอยู่ไม่ขาด
แต่บ้างติดอยู่หน้าด่านเกิดใหม่ บ้างติดอยู่หน้าด่านก่อมรรค และบ้างถูกด่านเคาะใจด่านสุดท้ายสกัดเอาไว้ตลอด
เมื่อได้รู้ข้อมูลพวกนี้หลินสวินถึงสบายใจขึ้นไม่น้อย
เขามองดูซย่าจื้อที่อยู่ไม่ไกล ลอบเอ่ยในใจว่า ‘เช่นนี้หากซย่าจื้อล่วงหน้าเข้าไปในโลกภัยพิบัติก่อน แค่ต้องให้นางรอเราอยู่หน้าด่านเกิดใหมก็พอ’
“ศัตรูประชิดเมืองหลวงแล้ว”
จู่ๆ ฟู่หนานหลีก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาจับตามองตำราหยกวิชามรรคของตนอยู่ตลอด ยามนี้พบว่ากลิ่นอายของทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นมาถึงหน้าประตูหลักทิศใต้ของเมืองหลวงอาณาจักรสมโภชแห่งนี้ราวกับเมฆทะมึน
สิงเจี้ยนสยานัยน์ตาหดรัด มองหลินสวิน “จะสู้จริงหรือ”
หลินสวินดื่มเหล้าในการวดเดียวหมด ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งดูเรื่องสนุกที่นี่ก่อนก็พอแล้ว”
ขณะพูดเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากโรงน้ำชาไปแล้ว
ซย่าจื้อที่ฟังการเล่านิทานอยู่ตลอดขยับตัวไปอยู่ข้างๆ หลินสวินแทบจะในเวลาเดียวกัน
ขณะที่มองดูแผ่นหลังของชายหญิงคู่นี้ ฟู่หนานหลีก็สื่อจิตเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า ‘เหล่าสิง เจ้ายังนั่งอยู่ได้หรือ’
‘ก็นั่งอยู่สิ’
บนใบหน้าสิงเจี้ยนสยาเจือแววตั้งตาคอย เอ่ยเนิบๆ ว่า ‘ในทะเลโชคชะตา ใครไม่รู้บ้างว่าสหายน้อยหลินของพวกเราคนนี้เป็นคนร้ายกาจที่แข็งแกร่งขนาดไหน แม้คราวนี้ศัตรูจะมีจำนวนมาก แต่ก็เป็นแค่ฝูงกาฝูงหนึ่งอย่างที่สหายน้อยหลินพูด’
เขาหยุดไป ดวงตาปรากฏแสงวับวาว ‘ข้ากลับตั้งตาคอยนัก อยากใช้ศึกนี้ทำให้เจ้าเฒ่าในโลกแปรปุถุชนพวกนั้นเห็นว่าใครหาเรื่องได้ และใครไม่ควรไปหาเรื่อง!’
เดิมทีฟู่หนานหลีลุกขึ้นแล้ว ได้ยินดังนี้ก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนนั่งลงอีกครั้งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นวันนี้พวกเราดูการต่อสู้ก็พอ”
สิงเจี้ยนสยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อตัวเอง “สมัยอยู่ทะเลโชคชะตา ขอเพียงมีสหายน้อยหลินอยู่ มีครั้งไหนพวกเราไม่เป็นคนชมดูบ้างเล่า”
ฟู่หนานหลีหัวเราะร่าออกมา กล่าวว่า “เฮ้อ ตอนแรกยังรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้ก็ไม่ใส่ใจแล้ว”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน หลินสวินกับซย่าจื้อก็ทะยานฟ้าขึ้นไปแล้ว ยืนอยู่ใต้ก้อนเมฆ สายตามองไปทางใต้
นอกเมืองหลวงฟ้าดินเกิดมหาอสนีบาต เมฆทะมึนมหาศาล กลิ่นอายหนาวยะเยือกโถมคลั่งโหมป่วน!
เมื่อมองดูโดยละเอียด ในห้วงอากาศไกลลิบมีกลิ่นอายน่ากลัวหลายร้อยสายรวมตัว คล้ายปวงเทพเคลื่อนกวาดใต้ท้องนภา
“อีกเดี๋ยวให้ข้าลงมือก่อน”
หลินสวินพูดเบาๆ
เขาเอามือไพล่หลัง ชุดสีขาวพระจันทร์พลิ้วไหวตามลม แผ่วเบาละโลกีย์
ซย่าจื้อคิดๆ แล้วถึงฝืนกล่าวว่า “เช่นนั้นยอมให้เจ้าครั้งหนึ่ง”
หลินสวินหลุดขำ เรื่องนี้มีอะไรน่าแย่งหรือ
ขณะเดียวกันนอกเมืองหลวง
เมื่อเห็นทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นมาเยือน เหล่าผู้ที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ก็ตกตะลึง แต่ละคนหลบออกไปไกล ในใจปั่นป่วนไม่หยุด
กระบวนทัพนี้เกรียงไกรปานไหน!
มองไปทั้งโลกแปรปุถุชน เกรงว่าจะไม่มีใครต้านการสังหารของกระบวนทัพเช่นนี้ได้ น่าตกใจเกินไปแล้ว
‘หลินสวินนั่นจะต้านไว้ได้อย่างไร’
บัดนี้ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจคนไม่รู้เท่าไร
ตูม!
กลางฟ้าดินปั่นป่วน ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนไม่หยุดเท้าแต่อย่างใด เคลื่อนผ่านห้วงอากาศมุ่งหน้ามาเมืองหลวงทันที
เวลานี้ทุกคนที่กระจายอยู่นอกเมืองหลวงต่างทะยานขึ้นฟ้า สังเกตการณ์ไกลๆ
ที่ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อก็คือหลินสวินไม่เพียงไม่หนี ยังยืนอยู่กลางอากาศคล้ายรอให้เหตุการณ์นี้มาเยือนอยู่นานแล้ว
ภาพเช่นนี้ทำให้ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นยังรู้สึกประหลาดใจ ไอสังหารทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินปะทุออกมาจากร่างโดยพลัน บุกโจมตีเข้ามา
ตูม ครืน…
ท้องฟ้าแถบนั้นคล้ายถล่มลงทันใด จมสู่ความปั่นป่วนพังพินาศ แสงเทพกฎระเบียบมหามรรคงดงามตระการส่องสว่างไปทั่ว บาดตายิ่งยวด
ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคน แต่ละคนต่างมีมรรควิถีขั้นไร้ขอบเขต ยามโจมตีพร้อมกัน อานุภาพมหามรรคที่แต่ละคนสำแดงออกมารวมเข้าด้วยกัน ภาพน่าตกตะลึงเช่นนั้นถึงขั้นทำให้คนระดับเดียวกันคนอื่นสิ้นหวังและพังทลายได้!
“ฆ่า!”
ฟ้าถล่มดินทลาย ไอสังหารแผ่ทั่วทุกหย่อมหญ้า
ยอดอภินิหารทั้งปวงคล้ายกับกระแสมหามรรคเบียดแน่นเต็มฟ้าดิน ปะปนไปกับศาสตรามรรคนิรันดร์แน่นขนัด ม้วนตลบออกมาด้วยกัน
เพียงมองดูจากไกลๆ ยังทำให้เหล่าผู้ที่อยู่นอกเมืองหลวงตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัว จิตใจสั่นระรัว
แต่ก็ในตอนนี้เอง…
เสียงกระบี่หนึ่งดังขึ้นฉับพลัน แรกเริ่มต่ำเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ภายหลัก็ทะยานกึกก้อง จนสุดท้ายกลางฟ้าดินมีแต่เสียงกระบี่กังวานนั่น สะเทือนจนเลือดลมปั่นป่วน จิตใจไหวหวั่น
จากนั้นภาพนองเลือดที่ทำให้ยอดบุคคลทุกคนที่อยู่นอกเมืองหลวงยากลืมเลือนไปชั่วชีวิตก็ปรากฏ…
เงาร่างหลินสวินแปลงเป็นปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้าไปรับศึก เพียงพริบตาก็แหวกอภินิหารและศาสตรานิรันดร์ทั้งปวงที่ประดังเข้ามาเหล่านั้นอย่างง่ายดาย แทงทะลวงออกมาด้วยอานุภาพประหนึ่งผ่าลำไผ่
ปังๆๆ!
ยอดอภินิหารไม่รู้เท่าไรสลายไปเหมือนฟองสบู่ อีกทั้งศาสตรามรรคนิรันดร์ไม่รู้เท่าไรถูกโจมตีจนกระเด็นกระจัดกระจาย เสียงระเบิดปะทะถี่ยิบนั้นดังไม่หยุด
เมื่อมองดูปราณกระบี่ที่แปลงจากร่างหลินสวินนั้นอีกครั้ง หลังจากทะลวงไปไม่หยุด แหวกฝ่าพลังโจมตีของศัตรูอย่างแข็งแกร่งเกินต้านทาน ทำลายสิ้นทุกสรรพสิ่งแล้ว ก็ทะลวงเข้าไปในกองทัพศัตรูนั้นตรงๆ เหมือนเหล็กแหลมอันไร้เทียมทาน
ก่อให้เกิดภาพนองเลือดไปตลอดทาง!
เวลานี้ขั้นไร้ขอบเขตที่แข็งแกร่งหาใดเทียบเหล่านั้น กลับถูกบดขยี้อยู่ประหนึ่งกระดาษเปื่อยภายใต้ปราณกระบี่อันเปล่งประกาย ดุดัน และอหังการ แสงเลือดนับไม่ถ้วนพวยพุ่ง
มองจากไกลๆ ปราณกระบี่ที่ทะลวงไปเบื้องหน้าไม่หยุดนั้น ก็เปรียบได้กับพู่กันใหญ่ที่โบกสะบัดเล่มหนึ่ง ทะลวงขึ้นฟ้า วาดเส้นโลหิตยาวสายหนึ่งอยู่กลางทัพศัตรู!