ตอนที่ 3153 วาดเส้นโลหิตออกมาเส้นหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3153 วาดเส้นโลหิตออกมาเส้นหนึ่ง

ในโรงน้ำชา นักเล่านิทานพูดน้ำไหลไฟดับ

ซย่าจื้อฟังอย่างสนอกสนใจ

อีกด้านหนึ่งหลินสวินกำลังดื่มเหล้าสนทนากับสิงเจี้ยนสยาและฟู่หนานหลี พูดคุยเรื่องของโลกแปรปุถุชนแห่งนี้

ทั้งยังคุยถึงเรื่องของสหายเก่ามากมายเช่นกัน

อย่างพวกจอมมรรคซานเฟิง เซียวเหอ โม่ไป๋เจ๋อ มู่ฉางอวิ๋น ตอนนี้ต่างฝึกปราณอยู่ที่สถานที่ที่มีชื่อว่า ‘อาณาจักรสังฆาราม’

ถึงอย่างไรโลกแปรปุถุชนก็ตั้งอยู่ในแหล่งสถานอัศจรรย์ มีขั้นไร้ขอบเขตกระจายตัวอยู่นับหมื่น แม้ในกลุ่มนั้นส่วนมากจะติดอยู่ที่นี่ แต่ขณะที่นั่งสมาธิฝึกปราณกลับไม่ต้องกลัวภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพแล้ว

สำหรับผู้ฝึกปราณหลายคน ต่อให้อยู่ที่โลกนี้นานๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

หลินสวินยังได้รู้จากปากสิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลีว่าหลังจากยักษ์ใหญ่อย่างอี้อู๋อิ๋น ฉือเชียนจี เทียนซิงจื่อ กว่านเชียนชิวมาถึงโลกแปรปุถุชนได้ไม่นาน ก็ควบรวมผลมรรคแรกกำเนิดผ่านประตูสวรรค์ไป

เรื่องนี้เดิมทีก็สมเหตุสมผล หลินสวินไม่ได้ประหลาดใจ

ถึงอย่างไรพวกอี้อู๋อิ๋น ฉือเชียนจีก็มีโอกาสมาแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้หลายครั้งนานแล้ว สาเหตุที่รั้งอยู่ในทะเลโชคชะตา ย่อมเป็นเพราะพวกเขาสละโอกาสที่ช่วงชิงมาให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นในฝ่ายตน

เช่นเดียวกับหลินสวิน ในฝ่ายที่เขาอยู่ เขาก็เป็นผู้ที่มาแหล่งสถานอัศจรรย์เป็นคนสุดท้าย

“หลินสวิน ตอนที่ข้ามาได้รับการถ่ายทอดข่าวสารจากอาจารย์”

จู่ๆ สิงเจี้ยนสยาก็เอ่ยออกมา “เจ้าอยากรู้ไหมว่าในข่าวสารนั้นกล่าวถึงอะไร”

อาจารย์ของสิงเจี้ยนสยาก็คือบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชู!

“คงเกี่ยวกับข้า” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก

สิงเจี้ยนสยาหัวเราะร่า “ถูกต้อง ตามที่อาจารย์ข้าพูด อาจารย์เจ้า เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็รู้แล้วว่าเจ้ามาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้”

ขณะพูดเขาก็เล่าสถานการณ์ในแหล่งสถานอัศจรรย์อย่างหมดเปลือก

เช่นเรื่องราชันไท่ชูถูกโซ่กระบี่ผูกมัด กำลังพลที่เก้าภาคีไท่ชูแต่ละภาคีมี รวมถึงสถานการณ์ของพวกเจ้าแห่งคีรีดวงกมลและจักจั่นทอง

เมื่อฟังจบหลินสวินถึงตระหนักได้ว่าการมาของตนถึงกับกลายเป็น ‘ตัวแปร’ หนึ่ง!

แต่กับการมาถึงของตน ไม่ว่าจะเป็นราชันไท่ชูผู้นั้น หรือพวกอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลต่างก็เลือกนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว

คล้ายว่าพวกเขาคิดจะดูว่า ‘ตัวแปร’ อย่างตนจะก่อคลื่นลมได้ใหญ่โตขนาดไหน

ขณะเดียวกันหลินสวินก็รู้ว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ผู้ที่สามารถก้าวข้ามเก้าประตูสวรรค์ เดินผ่านทางพิฆาตเซียนไปถึงแดนเทพมากเร้นได้จริงๆ มีเพียงแค่หยิบมือ!

ในคนแค่หยิบมือนี้เป็นบุคคลน่ากลัวที่แทบจะอยู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ไม่ก็บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แทบทั้งนั้น

ผู้ที่เข้าใกล้ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ถูกเรียกว่า ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’

ส่วนผู้ที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ถูกเรียกว่า ‘จอมราชันไร้ขอบเขต’

อย่างพวกบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชู บรรพจารย์ลัทธิวิญญาณซวีอิ่น บรรพจารย์ลัทธิพ่อมดเทียนอู บรรพจารย์ลัทธิฌานซื่อ จอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้าคนของเก้าภาคีไท่ชู ล้วนเป็น ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’

ส่วนพวกที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์อย่างจักจั่นทอง เจ้าแห่งคีรีดวงกมล อีกาดำผู้ติดตามอันดับหนึ่งของไท่ชู วานรเฒ่าข้ารับใช้อาวุโสข้างกายไท่ชู ล้วนเรียกได้ว่าเป็น ‘จอมราชันไร้ขอบเขต’!

แล้วเมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินถึงตระหนักได้ถึงปัญหาข้อหนึ่งทันที

ตามคำพูดของฟู่หนานหลีตั้งแต่สมัยอยู่ทะเลโชคชะตา ในแต่ละยุคสมัยแต่ตั้งแต่อดีตถึงบัดนี้ ผู้ที่สามารถบรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์มีเพียงสามคน

ได้แก่มือกระบี่ลึกลับคนนั้น เฉินซี รวมถึงราชันไท่ชู

แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว

หลินสวินถามข้อสงสัยนี้ออกมา

คำตอบของสิงเจี้ยนสยาง่ายดายนัก พวกที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เหล่านั้น หลายคนต่างแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์หลังจากมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์

สาเหตุก็เพราะในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้มีวาสนาใหญ่ที่สามารถทำให้จอมมรรคไร้ขอบเขตก้าวเข้าสู่จอมราชันไร้ขอบเขตได้!

และวาสนาเช่นนี้มักจะเกี่ยวข้องกับผลมรรคแรกกำเนิด

ถึงตอนนี้หลินสวินถึงกระจ่าง ก็จริง ลือกันว่าเดิมทีแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ก็คือแหล่งวาสนาที่ทำให้ขั้นไร้ขอบเขตทะลวงขั้นสำเร็จแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ไม่รู้ เป็นเพราะไม่มีใครมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้!

พูดง่ายๆ

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด คนเพียงหยิบมือที่เข้าสู่แดนเทพมากเร้นได้นั้น หากไม่ใช่จอมมรรคไร้ขอบเขตก็เป็นจอมราชันไร้ขอบเขต

ส่วนขั้นไร้ขอบเขตคนอื่นที่เป็นคนส่วนมาก ต่างติดอยู่ในโลกเก้าชั้นของแดนเทพสรรพวิญญาณแห่งนี้

นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างฉือเชียนจี อี้อู๋อิ๋น เกรงว่าก็เข้าไปในแดนเทพมากเร้นนั้นในเวลาอันสั้นไม่ได้

สิงเจี้ยนสยาเอ่ย “อาจารย์ให้ข้ามาบอกเจ้าว่ากำลังพลหลักของเก้าภาคีไท่ชูกระจายอยู่ใน ‘โลกโลกาสวรรค์’ โลกชั้นที่เก้า เป็นไปได้สูงยิ่งว่าที่นั่นจะเป็นเคราะห์สังหารเทียมฟ้าแห่งหนึ่ง ถ้าภายหน้าเจ้ามีโอกาสไป สามารถไปติดต่อเฒ่าโดดเดี่ยวก่อนได้”

หลินสวินอึ้งงัน เฒ่าโดดเดี่ยวถึงกับอยู่ในโลกโลกาสวรรค์ โลกชั้นที่เก้านั่น เขาไม่ได้พบกับชายชราที่จำศีลอยู่ใน ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ ผู้นี้มานานมากแล้ว

จากนั้นหลินสวินก็ถามเรื่องบางส่วนเกี่ยวกับโลกชั้นที่สอง ‘โลกภัยพิบัติ’

เรื่องพวกนี้สิงเจี้ยนสยาก็รู้ จึงบอกเรื่องที่รู้จนหมดสิ้น

โลกภัยพิบัติที่ว่า ก็คือโลกแห่งมหันตภัยแห่งหนึ่ง

ทุกคนที่เข้าสู่โลกนี้ต่างประสบกับภัยพิบัติสามรอบ คือ ‘ด่านเกิดใหม่’ ‘ด่านก่อมรรค’ และ ‘ด่านเคาะใจ’

มีเพียงผ่านการทดสอบของภัยพิบัติทั้งสามรอบนี้ถึงจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิด ก้าวผ่านประตูสวรรค์บานที่สองได้

กาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ในโลกเก้าชั้นของแดนเทพสรรพวิญญาณก็มียอดบุคคลมากมายเข้าไปโลกภัยพิบัติอยู่ไม่ขาด

แต่บ้างติดอยู่หน้าด่านเกิดใหม่ บ้างติดอยู่หน้าด่านก่อมรรค และบ้างถูกด่านเคาะใจด่านสุดท้ายสกัดเอาไว้ตลอด

เมื่อได้รู้ข้อมูลพวกนี้หลินสวินถึงสบายใจขึ้นไม่น้อย

เขามองดูซย่าจื้อที่อยู่ไม่ไกล ลอบเอ่ยในใจว่า ‘เช่นนี้หากซย่าจื้อล่วงหน้าเข้าไปในโลกภัยพิบัติก่อน แค่ต้องให้นางรอเราอยู่หน้าด่านเกิดใหมก็พอ’

“ศัตรูประชิดเมืองหลวงแล้ว”

จู่ๆ ฟู่หนานหลีก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาจับตามองตำราหยกวิชามรรคของตนอยู่ตลอด ยามนี้พบว่ากลิ่นอายของทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นมาถึงหน้าประตูหลักทิศใต้ของเมืองหลวงอาณาจักรสมโภชแห่งนี้ราวกับเมฆทะมึน

สิงเจี้ยนสยานัยน์ตาหดรัด มองหลินสวิน “จะสู้จริงหรือ”

หลินสวินดื่มเหล้าในการวดเดียวหมด ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งดูเรื่องสนุกที่นี่ก่อนก็พอแล้ว”

ขณะพูดเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากโรงน้ำชาไปแล้ว

ซย่าจื้อที่ฟังการเล่านิทานอยู่ตลอดขยับตัวไปอยู่ข้างๆ หลินสวินแทบจะในเวลาเดียวกัน

ขณะที่มองดูแผ่นหลังของชายหญิงคู่นี้ ฟู่หนานหลีก็สื่อจิตเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า ‘เหล่าสิง เจ้ายังนั่งอยู่ได้หรือ’

‘ก็นั่งอยู่สิ’

บนใบหน้าสิงเจี้ยนสยาเจือแววตั้งตาคอย เอ่ยเนิบๆ ว่า ‘ในทะเลโชคชะตา ใครไม่รู้บ้างว่าสหายน้อยหลินของพวกเราคนนี้เป็นคนร้ายกาจที่แข็งแกร่งขนาดไหน แม้คราวนี้ศัตรูจะมีจำนวนมาก แต่ก็เป็นแค่ฝูงกาฝูงหนึ่งอย่างที่สหายน้อยหลินพูด’

เขาหยุดไป ดวงตาปรากฏแสงวับวาว ‘ข้ากลับตั้งตาคอยนัก อยากใช้ศึกนี้ทำให้เจ้าเฒ่าในโลกแปรปุถุชนพวกนั้นเห็นว่าใครหาเรื่องได้ และใครไม่ควรไปหาเรื่อง!’

เดิมทีฟู่หนานหลีลุกขึ้นแล้ว ได้ยินดังนี้ก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนนั่งลงอีกครั้งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นวันนี้พวกเราดูการต่อสู้ก็พอ”

สิงเจี้ยนสยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้อตัวเอง “สมัยอยู่ทะเลโชคชะตา ขอเพียงมีสหายน้อยหลินอยู่ มีครั้งไหนพวกเราไม่เป็นคนชมดูบ้างเล่า”

ฟู่หนานหลีหัวเราะร่าออกมา กล่าวว่า “เฮ้อ ตอนแรกยังรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้ก็ไม่ใส่ใจแล้ว”

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน หลินสวินกับซย่าจื้อก็ทะยานฟ้าขึ้นไปแล้ว ยืนอยู่ใต้ก้อนเมฆ สายตามองไปทางใต้

นอกเมืองหลวงฟ้าดินเกิดมหาอสนีบาต เมฆทะมึนมหาศาล กลิ่นอายหนาวยะเยือกโถมคลั่งโหมป่วน!

เมื่อมองดูโดยละเอียด ในห้วงอากาศไกลลิบมีกลิ่นอายน่ากลัวหลายร้อยสายรวมตัว คล้ายปวงเทพเคลื่อนกวาดใต้ท้องนภา

“อีกเดี๋ยวให้ข้าลงมือก่อน”

หลินสวินพูดเบาๆ

เขาเอามือไพล่หลัง ชุดสีขาวพระจันทร์พลิ้วไหวตามลม แผ่วเบาละโลกีย์

ซย่าจื้อคิดๆ แล้วถึงฝืนกล่าวว่า “เช่นนั้นยอมให้เจ้าครั้งหนึ่ง”

หลินสวินหลุดขำ เรื่องนี้มีอะไรน่าแย่งหรือ

ขณะเดียวกันนอกเมืองหลวง

เมื่อเห็นทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นมาเยือน เหล่าผู้ที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ก็ตกตะลึง แต่ละคนหลบออกไปไกล ในใจปั่นป่วนไม่หยุด

กระบวนทัพนี้เกรียงไกรปานไหน!

มองไปทั้งโลกแปรปุถุชน เกรงว่าจะไม่มีใครต้านการสังหารของกระบวนทัพเช่นนี้ได้ น่าตกใจเกินไปแล้ว

‘หลินสวินนั่นจะต้านไว้ได้อย่างไร’

บัดนี้ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจคนไม่รู้เท่าไร

ตูม!

กลางฟ้าดินปั่นป่วน ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนไม่หยุดเท้าแต่อย่างใด เคลื่อนผ่านห้วงอากาศมุ่งหน้ามาเมืองหลวงทันที

เวลานี้ทุกคนที่กระจายอยู่นอกเมืองหลวงต่างทะยานขึ้นฟ้า สังเกตการณ์ไกลๆ

ที่ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อก็คือหลินสวินไม่เพียงไม่หนี ยังยืนอยู่กลางอากาศคล้ายรอให้เหตุการณ์นี้มาเยือนอยู่นานแล้ว

ภาพเช่นนี้ทำให้ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคนนั้นยังรู้สึกประหลาดใจ ไอสังหารทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินปะทุออกมาจากร่างโดยพลัน บุกโจมตีเข้ามา

ตูม ครืน…

ท้องฟ้าแถบนั้นคล้ายถล่มลงทันใด จมสู่ความปั่นป่วนพังพินาศ แสงเทพกฎระเบียบมหามรรคงดงามตระการส่องสว่างไปทั่ว บาดตายิ่งยวด

ทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคน แต่ละคนต่างมีมรรควิถีขั้นไร้ขอบเขต ยามโจมตีพร้อมกัน อานุภาพมหามรรคที่แต่ละคนสำแดงออกมารวมเข้าด้วยกัน ภาพน่าตกตะลึงเช่นนั้นถึงขั้นทำให้คนระดับเดียวกันคนอื่นสิ้นหวังและพังทลายได้!

“ฆ่า!”

ฟ้าถล่มดินทลาย ไอสังหารแผ่ทั่วทุกหย่อมหญ้า

ยอดอภินิหารทั้งปวงคล้ายกับกระแสมหามรรคเบียดแน่นเต็มฟ้าดิน ปะปนไปกับศาสตรามรรคนิรันดร์แน่นขนัด ม้วนตลบออกมาด้วยกัน

เพียงมองดูจากไกลๆ ยังทำให้เหล่าผู้ที่อยู่นอกเมืองหลวงตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัว จิตใจสั่นระรัว

แต่ก็ในตอนนี้เอง…

เสียงกระบี่หนึ่งดังขึ้นฉับพลัน แรกเริ่มต่ำเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ภายหลัก็ทะยานกึกก้อง จนสุดท้ายกลางฟ้าดินมีแต่เสียงกระบี่กังวานนั่น สะเทือนจนเลือดลมปั่นป่วน จิตใจไหวหวั่น

จากนั้นภาพนองเลือดที่ทำให้ยอดบุคคลทุกคนที่อยู่นอกเมืองหลวงยากลืมเลือนไปชั่วชีวิตก็ปรากฏ…

เงาร่างหลินสวินแปลงเป็นปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้าไปรับศึก เพียงพริบตาก็แหวกอภินิหารและศาสตรานิรันดร์ทั้งปวงที่ประดังเข้ามาเหล่านั้นอย่างง่ายดาย แทงทะลวงออกมาด้วยอานุภาพประหนึ่งผ่าลำไผ่

ปังๆๆ!

ยอดอภินิหารไม่รู้เท่าไรสลายไปเหมือนฟองสบู่ อีกทั้งศาสตรามรรคนิรันดร์ไม่รู้เท่าไรถูกโจมตีจนกระเด็นกระจัดกระจาย เสียงระเบิดปะทะถี่ยิบนั้นดังไม่หยุด

เมื่อมองดูปราณกระบี่ที่แปลงจากร่างหลินสวินนั้นอีกครั้ง หลังจากทะลวงไปไม่หยุด แหวกฝ่าพลังโจมตีของศัตรูอย่างแข็งแกร่งเกินต้านทาน ทำลายสิ้นทุกสรรพสิ่งแล้ว ก็ทะลวงเข้าไปในกองทัพศัตรูนั้นตรงๆ เหมือนเหล็กแหลมอันไร้เทียมทาน

ก่อให้เกิดภาพนองเลือดไปตลอดทาง!

เวลานี้ขั้นไร้ขอบเขตที่แข็งแกร่งหาใดเทียบเหล่านั้น กลับถูกบดขยี้อยู่ประหนึ่งกระดาษเปื่อยภายใต้ปราณกระบี่อันเปล่งประกาย ดุดัน และอหังการ แสงเลือดนับไม่ถ้วนพวยพุ่ง

มองจากไกลๆ ปราณกระบี่ที่ทะลวงไปเบื้องหน้าไม่หยุดนั้น ก็เปรียบได้กับพู่กันใหญ่ที่โบกสะบัดเล่มหนึ่ง ทะลวงขึ้นฟ้า วาดเส้นโลหิตยาวสายหนึ่งอยู่กลางทัพศัตรู!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท