ตอนที่ 3154 ประตูสวรรค์อุบัติ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3154 ประตูสวรรค์อุบัติ

เส้นโลหิตสายหนึ่งกรีดผ่านกองทัพที่รวมตัวจากทูตชะตาสวรรค์สามร้อยกว่าคน ทั้งยังเอาชีวิตของยอดบุคคลขั้นไร้ขอบเขตไปเกือบสามสิบคน

ร่างกายและพลังจิตของพวกเขาถูกบดขยี้ แหลกสลายเป็นธุลี

การโจมตีนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!

นอกเมืองหลวงเงียบสงัดไปหมด

เงาร่างหลินสวินดั่งปราณกระบี่ แข็งแกร่งเกินต้านทาน ทำลายสิ้นทุกสรรพสิ่ง เมื่อเงาร่างเขายืนนิ่ง กองทัพศัตรูก็ยุ่งเหยิงยิ่งยวดไปแล้ว

ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ตัวสั่นไปหมด ไม่อาจตั้งสติกลับมาจากภาพการตายอันนองเลือดนั้นอยู่นาน

การโจมตีเดียวสะเทือนเหล่าศัตรู เจาะทะลวงเป็นเส้นทางโลหิตสายหนึ่ง!

คนที่ตายไปแต่ละคนล้วนเป็นถึงยอดบุคคลที่บรรลุขั้นไร้ขอบเขต มรรควิถีของทุกคนแข็งแกร่งยิ่งยวด!

แต่ภายใต้น้ำมือหลินสวิน กลับอ่อนแอเหมือนกระดาษเปื่อย

นี่จะให้ใครกล้าเชื่อ

ก่อนหน้านี้ทุกคนยังคิดว่าหลินสวินจะหนีจากเคราะห์สังหารคับฟ้าครั้งนี้ได้อย่างไร ผลลัพธ์กลับปรากฏภาพนี้

แค่คิดก็รู้ว่าจะสร้างความสะท้านสะเทือนยิ่งใหญ่ปานไหน!

ณ โรงน้ำชาในเมืองหลวง สิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลีต่างอึ้งงัน

พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่ามรรควิถีที่หลินสวินมีในตอนนี้แข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าครั้งที่พวกเขาได้พบกันมาก

เผชิญหน้ากับคนระดับขั้นเดียวกันมากมาย ยังมีท่าทางเคลื่อนกวาดไร้ใดเทียบ!

ทั้งสองไม่รู้ว่าหลินสวินแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตขั้นกลางตั้งแต่อยู่ในทะเลโชคชะตา หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หมื่นวิชาคืนสู่หนึ่ง หมื่นสรรพสิ่งคืนสู่หนึ่ง มรรควิถีทั้งตัวเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดินนานแล้ว

เขาในตอนนี้ดูเหมือนมีแต่หมัดเปล่า แต่บนร่างเขาหลอมพลังของห้ากายมรรคไว้ทั้งหมด ทั้งยังแปลงอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทั้งหมดไว้ในร่าง

ดังนั้นอานุภาพของทุกการเคลื่อนไหวจึงไม่ใช่สิ่งที่คนระดับเดียวกันทั่วๆ ไปจะต้านทานได้

ใต้เวิ้งฟ้า

บรรยากาศอึดอัดจนทำให้คนหายใจออก ทูตชะตาสวรรค์เหล่านั้นต่างสีหน้าบิดเบี้ยว ในใจปั่นป่วน ถูกการโจมตีนี้ทำให้หวาดกลัวโดยสิ้นเชิงแล้ว

ตอนที่มุ่งหน้ามา พวกเขาก็รู้แล้วว่าหลินสวินเคยสังหารทูตชะตาสวรรค์สิบกว่าคนในเมืองหลวงอาณาจักรสมโภชแห่งนี้ สิ่งนี้สร้างความกดดันให้พวกเขาเป็นอย่างยิ่ง

เดิมนึกว่าคราวนี้พวกเขารวมสามร้อยกว่าคนร่วมมือกันก็เพียงพอจะเทียบสูงต่ำกับหลินสวินได้

แต่ตอนนี้ดูท่า…

พวกเขายังประเมินความน่ากลัวของหลินสวินต่ำไปอยู่ดี!

คู่ต่อสู้เช่นนี้ไม่ใช่คนที่จะต้านทานได้ด้วย ‘กำลังคนมาก’ สักนิด!

ขณะเดียวกันดวงตาหลินสวินกลับมามองคู่ต่อสู้พวกนั้น เอ่ยว่า “ยังจะสู้ต่อไหม”

ประโยคเดียวทำเอาศัตรูเหล่านั้นสั่นสะท้านในใจอีกครั้ง ต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครพูดจา

เห็นดังนี้หลินสวินจึงเอ่ยว่า “อีกสามลมหายใจ ถ้ายังมีคนเหลืออยู่ที่นี่ก็จะกลายเป็นศัตรูที่ข้าคนแซ่หลินต้องสังหาร”

ว้ม…

เสียงพูดเพิ่งเงียบลง คู่ต่อสู้พวกนั้นเหมือนฝูงสัตว์หนีกระเจิง แต่ละคนต่างหนีไปเร็วยิ่งกว่าอีกคน

ยังไม่ถึงสามลมหายใจ ที่นั่นก็ไม่เหลือคู่ต่อสู้อีกแม้แต่คนเดียวแล้ว

หลินสวินลอบเอ่ยในใจว่าเป็นแค่ฝูงกาฝูงหนึ่งดังคาด

การโจมตีเดียวทำลายปณิธานต่อสู้ก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้!

นอกเมืองหลวง

เมื่อได้เห็นภาพนี้เหล่าผู้ฝึกปราณต่างสะท้านโดยไร้เสียง

หนึ่งกระบี่เคลื่อนกวาด ทะลวงเส้นทางสายโลหิต ทำให้เหล่าศัตรูตกใจถอยหนี!

ท่วงท่าเช่นนี้ประหนึ่งราชันแห่งระดับนี้ ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาได้!

“ทุกท่าน ความคึกคักไม่มีให้ดูแล้ว จากไปเสียเถอะ”

เสียงเรียบๆ นั้นของหลินสวินดังก้องนอกเมืองหลวง

ไม่นานนักผู้ฝึกปราณที่มาจากทั่วทิศเหล่านั้นต่างก็ทยอยจากไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนปั่นป่วน

ข่าวหลินสวินทำให้ศัตรูล่าถอยด้วยหนึ่งกระบี่ก็กระจายออกไปในวันนี้เช่นกัน สะเทือนโลกแปรปุถุชนภายในเวลาอันสั้นยิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นลมใหญ่โตเกรียงไกร

ไม่ว่าใครต่างรู้ว่าตั้งแต่วันนี้ไป เกรงว่าทั่วทั้งโลกแปรปุถุชนจะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับหลินสวินอีก ไปต่อสู้มหามรรคกลับเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง

……

เมืองหลวง ในโรงน้ำชา

ขณะที่มองหลินสวินที่กลับมาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลีต่างทอดถอนใจในใจ

เป็นผู้มีมรรควิถีขั้นไร้ขอบเขตเหมือนกัน แต่ด้วยศึกนี้กลับทำให้พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง ว่าพวกเขาอยู่คนละโลกกับหลินสวินนานแล้ว

ห่างชั้นกันมากเกินไป!

สิงเจี้ยนสยากับฟู่หนานหลีอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวันจึงจากไป

ที่นี่คือโลกแปรปุถุชน พวกเขาก็จำเป็นต้องวางแผนเพื่อการต่อสู้มหามรรคเช่นกัน

ด้านหลินสวินกับซย่าจื้อมาถึงตำหนักที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงนั้นอีกครั้ง

“จำไว้ หลังจากไปถึงโลกภัยพิบัติแล้วจะต้องรอข้าอยู่ที่หน้าด่านเกิดใหม่นั่น”

หลินสวินกำชับอีกครั้งอย่างอดไม่ได้

“หลินสวิน ข้าไม่ใช่เด็กมานานแล้วนะ”

ซย่าจื้อบ่นอย่างหาได้ยากนัก

หลินสวินร้องเอ้อคำหนึ่ง ยิ้มพลางพูดเย้าว่า “ข้าลืมไป มรรควิถีของเจ้าในตอนนี้ไม่ด้อยกว่าจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ในตอนนั้นนานแล้ว ได้ ภายหน้าข้าจะระวัง พยายามปรับปรุง”

ซย่าจื้อกลับส่ายหัว มือนุ่มเรียวบางขาวละมุนคว้ามือหลินสวินไว้ เสียงไพเราะเสนาะหู “ไม่ต้องปรับ ข้าชอบความรู้สึกนี้

นิ้วมือซย่าจื้อนุ่มนวลอบอุ่น หลินสวินบีบมืออย่างอดไม่ได้ สัมผัสถึงอุณหภูมิจากฝ่ามือนาง เสียงก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “รอเรื่องแหล่งสถานอัศจรรย์คลี่คลายแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับแหล่งสถานศุภโชค แต่งเจ้าเข้าบ้านอย่างยิ่งใหญ่”

“นี่เป็นเจ้าพูดเองนะ”

รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏขึ้นบนใบหน้างามล้ำเพริศพริ้งหาใดเทียบของซย่าจื้อ ดวงตาแจ่มกระจ่างทั้งคู่หยีโค้งคล้ายจันทร์เสี้ยว

แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยปิดบังความยินดีปรีดาในใจต่อหน้าหลินสวิน

หลินสวินจุมพิตหน้าผากนางเบาๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ไปเถอะ”

ซย่าจื้อร้องอืม ก่อนหันหลังไปมองลัญจกรชิ้นนั้น

ลัญจกรมีรูปทรงเหลี่ยม ขนาดเท่ากำปั้น หนักแน่นเกรียงไกร บนนั้นสลักหมื่นลักษณ์ภูผาธารา สุริยันจันทราหมู่ดารา กลิ่นอายแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพลังขับเคลื่อนของซย่าจื้อกวาดเข้าไป

ลัญจกรพลันเปล่งแสงสะท้อนเงาร่างหนึ่งออกมา คนผู้นี้เหยียบสุริยันจันทรา ยืนอยู่บนฟ้าดารา ร่างกายปกคลุมไปด้วยเกราะเทพสีเงินหม่น ใบหน้าองอาจดุดัน

ในมือเขาถือทวนศึกสีทองเล่มหนึ่ง ชั่วหนึ่งลมหายใจเข้าออกดึงดูดให้หมื่นดาราสั่นสะท้าน ประหนึ่งเทพนักรบสูงสุดในตำนาน

เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัว ตำราหยกวิชามรรคของหลินสวินพลันสั่นสะเทือน ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ปรากฏออกมา

เหยี่ยนจิ่วเหอ!

โลกขนานนามว่า ‘เทพนักรบคุนซวี’ เมื่อสามแสนเก้าหมื่นปีก่อนชักนำผลมรรคแรกกำเนิดได้ในคราวเดียว ก้าวเข้าประตูสวรรค์บานแรก พลังวิชามรรคของเขาอยู่ในอันดับที่สองร้อยสี่ของกฎระเบียบวัฏจักร

นี่เป็นอันดับที่น่าตื่นตะลึงยิ่งแล้ว

ควรรู้ว่าตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ผู้ที่สามารถทำให้พลังวิชามรรคของตนไปปรากฏในกฎระเบียบวัฏจักรได้ มีเพียงหนึ่งพันหกร้อยสิบสี่คนเท่านั้น

ชิ้ง!

เงาร่างเหยี่ยนจิ่วเหอเพิ่งปรากฏตัวก็โบกทวนศึกสีทองในมือฟันไปที่ซย่าจื้อ ชั่วพริบตานั้นราวกับเหนี่ยวนำดวงดารานับหมื่นล้านในวัฏจักรมาโจมตี ปรากฏภาพประหลาดตะลึงโลกา น่าครั่นคร้ามไม่มีที่สิ้นสุด

แม้เหยี่ยนจิ่วเหอในตอนนี้จะแปลงมาจากวิชามรรค แต่เดิมทีก็เป็นกฎระเบียบวัฏจักรชนิดหนึ่ง อานุภาพเช่นนั้นย่อมไม่ธรรมดา

แทบจะในขณะเดียวกัน ซย่าจื้อก็เคลื่อนไหวแล้ว ทวนศึกกระดูกขาวแทงออกมาจากฝ่ามือเรียวเล็กขาวสะอาด ประหนึ่งสายธารโชคชะตาอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งโถมซัดออกมา

ศึกใหญ่ปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์

หลินสวินยืนสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ผ่านไปพักหนึ่งจึงผ่อนคลายลง

ไม่ต้องสงสัย มรรควิถีของเหยี่ยนจิ่วเหอที่มีฉายาว่า ‘เทพนักรบคุนซวี’ ผู้นี้แข็งแกร่งถึงที่สุด เหนือกว่าบุคคลชั้นยอดอย่างฉือเชียนจี เทียนซิงจื่อเสียด้วยซ้ำ

แต่เทียบกับซย่าจื้อกลับไม่เท่าไร

ไม่ได้แพ้ที่มรรควิถี แต่แพ้ที่กฎระเบียบมหามรรคที่ครอบครอง

ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นโชคชะตา พลังแห่งกฎกรรม หรือพลังแห่งกาลเวลา ต่างก็เป็นสิ่งต้องห้ามและเลิศล้ำ อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาน่ากลัวเกินกว่าจินตนาการได้

ไม่ถึงครึ่งเค่อ…

เปรี้ยง!

ทวนศึกกระดูกขาวในมือซย่าจื้อพลันผ่าลงมาจากฟ้า ทะลวงพลังวิชามรรคของเหยี่ยนจิ่วเหอจนแหลกกระจุย ละอองแสงแตกกระเซ็นเป็นน้ำพุ

จากนั้นพลังกฎระเบียบอันลึกลับคลุมเครือสายหนึ่งก็อุบัติขึ้น ชโลมร่างอรชรของซย่าจื้อไว้ภายใต้สายตาตกตะลึงของหลินสวิน เปล่งประกายตระการตา เจิดจรัสถึงขีดสุด

‘นี่คือพลังผลมรรคแรกกำเนิด!’

หลินสวินใจสั่น

ผลมรรคแรกกำเนิด กฎระเบียบแรกกำเนิดฟ้าประทานที่ถือกำเนิดขึ้นในแหล่งสถานอัศจรรย์ชนิดหนึ่ง แข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้

ร่ำลือกันว่ายิ่งครอบครองกฎระเบียบแรกกำเนิดมากเท่าไร ก็จะแปรสภาพในขั้นไร้ขอบเขตได้มากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังมีหวังว่าจะหลุดพ้นในขั้นไร้ขอบเขตได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้หลินสวินรู้แล้วว่าจอมมรรคไร้ขอบเขตกับจอมราชันไร้ขอบเขตเหล่านั้น แทบจะหลอมผลมรรคแรกกำเนิดมากมายในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ ถึงครอบครองมรรควิถีอย่างในตอนนี้!

ตอนนี้ซย่าจื้อเอาชนะวิชามรรคของเหยี่ยนจิ่วเหอ ทั้งยังชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาผลหนึ่ง นี่เท่ากับได้รับยอดศุภโชคครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

ภายใต้สายตาจับจ้องของหลินสวิน กลิ่นอายบนร่างซย่าจื้อกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างอัศจรรย์ เพิ่มสูงขึ้นราวกับลำธารหลังฝน

ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้นพลังมหามรรคที่อยู่บนตัวนางก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก!

นี่ทำให้หลินสวินยังตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้

ฮูม…

ทันใดนั้นประตูลึกลับบานหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ คล้ายตั้งอยู่กลางท้องนภาสูงลิ่วไร้สิ้นสุด มอบความรู้สึกไกลเกินเอื้อม

ประตูสวรรค์อุบัติ!

จากนั้นเงาร่างอรชรของซย่าจื้อก็แปลงเป็นแสงสายหนึ่งอย่างฉับไว พุ่งเข้าไปในประตูสวรรค์บานนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำเอาหลินสวินยังไม่ทันได้พูดอะไร

วันนั้นท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงอาณาจักรสมโภช กฎระเบียบวัฏจักรที่แปลงจากพลังวิชามรรคของเหยี่ยนจิ่วเหอหายลับไป พลังกฎระเบียบสายใหม่สายหนึ่งแผ่พุ่งออกมา

พลังกฎระเบียบนี้คล้ายกระแสแห่งโชคชะตา ปั่นป่วนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ม้วนขดอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงไม่นาน ก็เริ่มแผ่ขยายออกไปยังบริเวณอื่นของอาณาจักรสมโภช ตลอดทางเหมือนจู่โจมเมืองและป้อมปราการต่างๆ!

ภาพเช่นนี้สร้างความตกตะลึงให้ยอดบุคคลในที่ต่างๆ ของโลกแปรปุถุชน พลังกฎระเบียบวัฏจักรอันลึกลับและแข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนตำราหยกวิชามรรคของพวกเขาแต่ละคน

ส่วนในตำหนักที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงอาณาจักรสมโภชนั้น กลับมีรูปจำลองวิชามรรคอุบัติขึ้นร่างหนึ่ง นั่นเป็นแสงเงาก้อนหนึ่ง ในแสงเงาเป็นมหาสมุทรโชคชะตาเหมือนไร้สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ไพศาลคลุมเครือ ลึกลับเหลือประมาณ

นี่ย่อมเป็นพลังวิชามรรคที่ซย่าจื้อทิ้งไว้!

บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวงอาณาจักรสมโภช

อารามแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่ เพลิงธูปสักการะโชติช่วง ในอดีตมีผู้ศรัทธาทั้งชายหญิงมากหน้าหลายตามาจุดธูปสักการะ ดูครึกครื้นหาใดเทียบ

และบัดนี้เงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าอารามแห่งนี้

สายตาเขาจับจ้องไปที่เตาทองแดงเตาหนึ่ง

เตาทองแดงนี้เก่าแก่ทรงอำนาจ มีขาตั้งสามขา ภายในเตาทองแดงมีเพลิงมรรคถาโถมลุกโชนอยู่ ผนังทั้งสี่ของเตาปรากฏสัญลักษณ์เปลวเพลิงอันลึกลับภาพแล้วภาพเล่า

นี่ก็คือรูปจำลองวิชามรรคชิ้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่ยอดบุคคลที่ออกจากโลกแปรปุถุชนผู้หนึ่งทิ้งเอาไว้ เป็นตัวแทนพลังในกฎระเบียบวัฏจักร

เพียงแต่จากการสังเกตของหลินสวิน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายของเตาทองแดงไม่แข็งแกร่งเท่ากลิ่นอายที่เหยี่ยนจิ่วเหอทิ้งไว้ในลัญจกรชิ้นนั้น

‘ก็ไม่รู้ว่าถ้าเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคนี้ได้ จะทำให้ข้าดึงผลมรรคแรกกำเนิดมาได้หรือไม่…’

หลินสวินคิด สุดท้ายก็ยังตัดสินใจลองดู

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท