ตอนที่ 3155 ในชีวิตที่ใดบ้างไม่ฝึกปราณ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3155 ในชีวิตที่ใดบ้างไม่ฝึกปราณ

เตาทองแดงร้องอึงอล กลายเป็นชายร่างใหญ่เครางอคนหนึ่ง สูงพันจั้งเต็ม ผิวหนังดุจดั่งหล่อจากทองเทพมีเพลิงเทพสีชาดแรงกล้าลุกโชนน่าสะพรึง

ทันทีที่ปรากฏตัวก็ราวกับเทพที่เผาผลาญทั่วหล้ามาเยือน!

เหิงชิว

ถูกเรียกขานว่าเทพเพลิงผลาญโลก ออกจากโลกแปรปุถุชนเมื่อสองแสนหกหมื่นปีก่อน เป็นลำดับที่ห้าร้อยสิบเก้าในระเบียบมรรควัฏจักร

ในตำราหยกวิชามรรคของหลินสวินปรากฏข้อมูลบางส่วนของอีกฝ่าย

‘ดังคาด เจ้าหมอนี่ไม่แข็งแกร่งเท่าเหยี่ยนจิ่วเหอ ทว่าในบรรดาระเบียบมรรควัฏจักรก็เรียกได้ว่าเป็นคนระดับมาตรฐาน’

หลินสวินลอบกล่าวในใจ

“โอม!”

ชายร่างใหญ่เครางอเหิงชิวตะโกนลั่น กำหมัดซัดใส่หลินสวิน

เมื่อสัมผัสถึงถึงพลังของหมัดนี้ ทำให้หลินสวินแยกแยะออกอีกครั้งว่ามรรควิถีของเหิงชิวแข็งแกร่งกว่าจอมเทพหวงหลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่เท่ายักษ์ใหญ่อย่างพวกฉือเชียนจี เทียนซิงจื่อ

หากคาดเดาไปอีกขั้น ก็สามารถเดาออกว่าวิชามรรคของพวกฉือเชียนจี เทียนซิงจื่อน่าจะอยู่ระหว่างลำดับสองร้อยถึงห้าร้อย

ขณะครุ่นคิดการเคลื่อนไหวของหลินสวินก็ไม่ได้ช้า ก้าวเท้าลงไป คลื่นรูปกระบี่ระลอกหนึ่งดุจแสงจันทร์ดั่งฝันมายาปรากฏขึ้นมา

ตูม!

หมัดที่ประหนึ่งผลาญฟ้าดับปฐพีของเหิงชิวถูกฟันละเอียดอย่างง่ายดาย กลายเป็นละอองแสงพร่างพราวสาดกระเซ็น

ไม่รอเหิงชิวเปลี่ยนกระบวน คลื่นรูปกระบี่นั่นแผ่กว้าง ถล่มเงาร่างสูงพันจั้งของเขาเสมือนกระบี่เฉือนภูเขาพันจั้ง

ละอองแสงกระจัดกระจายหายไป

ไม่ผิดจากที่หลินสวินคาดไว้ หลังผ่านการต่อสู้มหามรรคที่ง่ายดายนี้ ผลมรรคแรกกำเนิดก็ไม่ได้ปรากฏขึ้น…

แต่จำนวนพลังวิชามรรคที่กระจายอยู่ในกฎระเบียบวัฏจักรกลับขาดไปหนึ่งสาย กลายเป็นหนึ่งพันหกร้อยสิบสามสาย

ไม่ถึงขั้นผิดหวังอะไร กลับกันหลินสวินเกิดความสนใจขึ้นมาอยู่บ้าง

นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้มากสามารถที่ออกจากโลกแปรปุถุชน วิชามรรคของพวกเขาล้วนรั้งอยู่ในกฎระเบียบวัฏจักรนั่น แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา จำนวนในกฎระเบียบวัฏจักรนี้กลับมีเพียงหนึ่งพันหกร้อยกว่าสายเท่านั้น

แน่นอนว่าที่ผ่านมาย่อมต้องมีพวกที่เอาชนะรูปจำลองวิชามรรค เข้าแทนที่ตำแหน่งเขาเหมือนอย่างซย่าจื้อเช่นกันเป็นแน่

แต่เทียบกับผู้ฝึกปราณนับหมื่นที่กระจายอยู่ในโลกแปรปุถุชน จำนวนของกฎระเบียบวัฏจักรนี้ยังคงน้อยเกินไปอยู่ดี!

จากจุดนี้จะเห็นถึงความยากของการต่อสู้มหามรรค

ทว่าสิ่งที่หลินสวินสนใจไม่ใช่จุดนี้ หากแต่เป็นเขาตระหนักถึงปัญหาหนึ่งกะทันหัน

พวกน่าสะพรึงที่เข้าแดนเทพมากเร้นไปแล้วอย่างพวกอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมล จักจั่นทอง เฉินหลินคง เจ้าลัทธิไท่ชู ตอนนั้นมีหรือจะไม่ทิ้งวิชามรรคของตนไว้ที่โลกแปรปุถุชนแห่งนี้

เช่นนั้นรูปจำลองวิชามรรคของพวกเขาอยู่ที่ไหน และอยู่ลำดับที่เท่าไรในระเบียบมรรควัฏจักรนั่น

‘หากข้าหารูปจำลองวิชามรรคของพวกเขาพบ และเข้าต่อสู้ด้วยทั้งหมด บางทีอาจรู้ว่ามรรควิถียามพวกเขาอยู่โลกแปรปุถุชนแห่งนี้แข็งแกร่งแค่ไหน…’

หลินสวินคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ ในใจก็มีแรงกระตุ้นแรงกล้าผุดขึ้น

ก็ทำเช่นนี้แหละ!

พวกเขาในปีนั้นกับตนในตอนนี้ล้วนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน การต่อสู้กับรูปจำลองวิชามรรคของพวกเขาเท่ากับเป็นการต่อสู้มหามรรคในอีกรูปแบบหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

ยามนี้หลินสวินไม่รีบร้อนออกจากโลกแปรปุถุชนแห่งนี้แล้ว

ครู่หนึ่งให้หลัง

เงาร่างของหลินสวินมาถึงนอกประตูทิศตะวันตกของเมืองหลวง

ที่นี่มีต้นไม้โบราณเสียดฟ้าต้นหนึ่งหยั่งรากอยู่ ผิวเปลือกอ้าออกราวหนังมังกรเฒ่า แข็งทนทานดุจเหล็กเทพ กิ่งก้านราวดาบดุจกระบี่ เจือกลิ่นอายอึมครึมหนาวเหน็บ

นี่ก็คือรูปจำลองวิชามรรครูปหนึ่ง

เมื่อมองต้นไม้โบราณนี้ หลินสวินนึกถึงภาพมากมายที่ได้เห็นตามเมืองต่างๆ ในอาณาจักรสมโภชตลอดทางเมื่อหลายวันก่อน

‘ระเบียบมรรควัฏจักรที่ปกคลุมใต้หล้านี้มากเกินไป หากสามารถใช้พลังกฎระเบียบเดียวควบคุมกฎระเบียบอื่นๆ ก็จะสามารถทำให้สรรพชีวิตมากมายในสี่สิบเก้าอาณาจักรของโลกนี้ทำตามหลักการเดียวกัน เช่นนี้บางทีโลกนี้ก็อาจไม่มีการขัดแย้งนองเลือดที่ซับซ้อนวุ่นวายเหล่านั้นอีก…’

หลินสวินใคร่ครวญ

ระเบียบมรรควัฏจักรมีหนึ่งพันกว่าสาย กระจายทั่วสี่สิบเก้าอาณาจักร ส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิตนับไม่ถ้วน แต่ก็เพราะเหตุนี้ ทำให้ทุกชีวิตในโลกเกิดความขัดแย้งและเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมากมาย

เหมือนกับการปะทะกันระหว่างอารยธรรมต่าง ๆ

แต่หากสามารถมีระเบียบมรรคสายเดียวเป็นผู้นำ ระเบียบมรรคอื่นๆ เป็นตัวเสริม เช่นนั้นไม่ว่าภายหน้าจะมีระเบียบมรรคปรากฏขึ้นมากแค่ไหนในโลกแปรปุถุชนแห่งนี้ ล้วนต้องถูกควบคุมและผูกมัด

เช่นนี้แม้ว่าใต้หล้าจะไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ก็จะไม่แตกต่างกัน!

หรือก็คือการผสมผสาน หมื่นกระแสคืนถิ่น!

หลินสวินคิดถึงตรงนี้สีหน้าก็แปลกพิกลอยู่บ้างอย่างไม่อาจเลี่ยง ‘หากทำได้ถึงขั้นนี้จริง เช่นนั้นผู้ฝึกปราณในโลกนี้ล้วนกำลังกล่อมเกลาสรรพชีวิต ส่วนข้าก็เกรงกว่าจะเป็นผู้กล่อมเกลาผู้ฝึกปราณในโลกหนล้านี้แล้ว…’

เป็นไปได้หรือ

อาจจะ

ดูไปก้าวต่อก้าวก็แล้วกัน

ครู่ต่อมาหลินสวินก็สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ทอดสายตามองต้นไม้โบราณเสียดฟ้าต้นนั้นอีกครั้ง

ฮูม…

ต้นไม้โบราณส่ายไหว กลายเป็นร่างอรชรสีดำสายหนึ่งเงียบๆ สองมือนางกุมกระบองทองแดงเล่มหนึ่ง ผมยาวสีเทาทั่วศีรษะพลิ้วไสว กลิ่นอายเย็นเยียบเร้นลับ

เนี่ยนตงเยวี่ย!

รู้จักกันในนาม ‘จักรพรรดิเทพฮว่าเซิง’ ออกจากโลกแปรปุถุชนเมื่อสามแสนสามหมื่นปีก่อน วิชามรรคของนางอยู่ลำดับที่สี่ร้อยสิบเจ็ดในระเบียบมรรควัฏจักร

ตูม!

การต่อสู้ปะทุ เนี่ยนตงเยวี่ยมือถือกระบองตีกระแทกลงมา ทันใดนั้นมีอสนีสีดำไม่รู้จบพลิกม้วนลงมา แผ่ครอบฟ้าดิน กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจ

หลินสวินยกมือขึ้นกวาด ปราณกระบี่พวยพุ่ง พาดขวางห้วงอากาศแปดพันจั้ง แหวกนภากว้างและกรีดผ่านอสนีสีดำทั่วฟ้านั่น

ปึง!

ร่างอรชรของเนี่ยนตงเยวี่ยเสมือนถูกฉีกกระชาก ขาดเป็นสองท่อนแหลกสลายหายไป

จนถึงตอนนี้โลกแปรปุถุชนขาดกฎระเบียบวัฏจักรลงไปอีกหนึ่งสาย

‘เส้นทางต่อสู้ของข้าเริ่มจากอาณาจักรสมโภชแห่งนี้’

หลินสวินหยิบตำราหยกวิชามรรคออกมา บนนั้นปรากฏตำแหน่งที่รูปจำลองวิชามรรคพันกว่าสายกระจายอยู่ และสิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นเป้าหมายการเดินทางของหลินสวิน

ในเวลาถัดมาหลินสวินเดินทางตามลำพัง ผ่านเมืองต่างๆ ข้ามเขาเป็นลูกๆ ทุกครั้งที่ไปถึงจุดที่มีรูปจำลองวิชามรรคจึงจะหยุดเท้า ต่อสู้ชิงชัยกับมัน

จากนั้นก็จากไปอย่างผ่าเผย

ร่องรอยของเขาดุจเส้นยาวที่ลุกลาม แผ่ขยายไปตามสถานที่ต่างๆ ในโลกแปรปุถุชนอย่างต่อเนื่อง

บางครั้งเขาจะหยุดเท้านั่งขัดสมาธิ ชมภูเขาแม่น้ำ มองดูสรรพชีวิต หยั่งถึงธรรมชาติ

แต่เวลาส่วนมากจะใช้ไปกับการเร่งเดินทางและต่อสู้ประชัน

สิ่งใดคือการฝึกปราณ

ตลอดชีวิตล้วนเป็นการฝึกปราณ!

สัมผัสทางกาย อารมณ์ทางสภาวะจิต ภาพทั้งหมดที่ได้เห็น เรื่องต่างๆ ที่ได้ประสบ ล้วนเป็นการตกตะกอนและเป็นการหยั่งรู้

สำหรับหลินสวินในตอนนี้ กาลเวลาไร้ผูกมัด เรื่องต่างๆ ไร้สิ่งกีดขวาง จิตท่องตามฟ้าดิน มหามรรคตะบึงได้ตามใจ สิ่งที่ไขว่คว้าคือสภาวะฝึกปราณที่อิสรเสรี

ความคิดแล่นแปดทิศ จิตล่องลอยหมื่นลี้ที่เรียกกันอาจจะเป็นเช่นนี้

แน่นอนว่าหลินสวินก็ไม่รู้สักนิดเช่นกัน ว่าระหว่างการเดินทางอย่างต่อเนื่องของเขา ในโลกแปรปุถุชนแห่งนี้เกิดคลื่นลมและความชุลมุนขึ้นไม่รู้เท่าไรแล้ว

หนึ่งเดือนให้หลัง

แดนเทพมากเร้น โลกเมฆโปรย

ที่นี่คือฐานที่มั่นจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าภาคีไท่ชู

ในคฤหาสน์มหึมาที่ตั้งสูงใต้เวิ้งฟ้าหลังหนึ่ง เสียงต่ำลึกเคร่งขรึมสายหนึ่งดังขึ้น

“ทุกท่าน ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากโลกแปรปุถุชน หนึ่งเดือนมานี้หลินสวินเดินทางไปทั่วสิบเก้าอาณาจักรในโลกแปรปุถุชน ทั้งอาณาจักรสมโภช อาณาจักรเมฆา อาณาจักรเว่ย อาณาจักรหรง ตอนนี้เอาชนะรูปจำลองวิชามรรคห้าร้อยสามสิบสามสายแล้ว!”

ผู้พูดคือชายในชุดขนนกสวมเกี้ยวประดับ หน้าตาราวเด็กหนุ่ม ละอองแสงสีม่วงรายล้อมทั่วร่าง รูปลักษณ์น่าตกใจ

ชิงหยางจื่อ!

จอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีหรดี ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’ ที่พลังปราณใกล้ถึงขั้นสัมบูรณ์คนหนึ่ง

ในโถงใหญ่ยังมีเงาร่างแปดสายนั่งอยู่ มีทั้งชายหญิงเด็กชรา กลิ่นอายแต่ละคนล้วนน่าสะพรึงไร้สิ้นสุด เสมือนเทพสูงสุด

แปดคนนี้ล้วนเป็นจอมมรรคชะตาสวรรค์แปดภาคีที่เหลือ แต่ละคนมีมรรควิถีเย้ยฟ้า กุมอำนาจใหญ่

“เจ้านี่แข็งแกร่งเช่นนี้จริงหรือ”

“กล่าวเช่นนี้ มรรควิถีของเขาก็ห่างจากจอมมรรคชะตาสวรรค์อย่างพวกเราไม่ไกลแล้วหรือ”

…จอมมรรคชะตาสวรรค์แปดคนในที่นี้ล้วนตกใจอย่างไม่อาจเลี่ยง ฮือฮาไม่หยุด

“มรรควิถีของเขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่ข้าไม่รู้ ตอนนี้ข้ารู้เพียงว่าในรูปจำลองวิชามรรคห้าร้อยสามสิบสามสายที่ถูกเขาเอาชนะ ลำดับระเบียบมรรควัฏจักรที่แข็งแกร่งที่สุดคือเก้าสิบสาม”

ชิงหยางจื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาหันมองชายชราชุดทองคนหนึ่ง “พี่ขู่เหอ นั่นคงเป็นรูปจำลองวิชามรรคที่ทิ้งไว้ในปีนั้นกระมัง”

ในใจทุกคนล้วนสะท้านสะเทือน

ชายชราชุดทองนามว่าขู่เหอ จอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์ รากฐานพลังลึกล้ำไม่อาจหยั่ง

“วิชามรรคที่ข้าทิ้งไว้ที่โลกแปรปุถุชนในปีนั้น แม้ว่าลำดับจะรั้งท้ายไปบ้าง แต่ข้าในตอนนั้นยังมีระยะห่างมากกว่าจะถึงขั้นจอมมรรคไร้ขอบเขต ต่อให้หลินสวินเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคที่ข้าทิ้งไว้ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้”

ขู่เหอกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย

“ในหมู่พวกเรา ลำดับสูงสุดในกฎระเบียบวัฏจักรในโลกแปรปุถุชนปีนั้น เป็นพี่เพ่ยถูจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีพายัพ อยู่ลำดับที่ยี่สิบเอ็ด ส่วนผู้อยู่ลำดับสุดท้ายคือพี่ขู่เหอ ลำดับที่เก้าสิบสาม”

ชิงหยางจื่อกล่าว “ตอนนี้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เจ้านี่ก็เอาชนะรูปจำลองวิชามรรคห้าร้อยสามสิบสามสายแล้ว แม้แต่รูปจำลองวิชามรรคที่พี่ขู่เหอทิ้งไว้ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เดิมนี่ก็สามารถพิสูจน์ความน่ากลัวในพลังต่อสู้ของเจ้านี่ได้”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นก่อนหน้านี้ ทุกท่านเคยเห็นว่ามีใครกร้าวแกร่งจนสามารถท้าทายรูปจำลองวิชามรรคห้าร้อยกว่าสาย แต่ยังชักนำผลมรรคแรกกำเนิดไม่ได้บ้างหรือ”

ทุกคนนัยน์ตาวาบประกาย สีหน้าเปลี่ยนไปมา

“ชิงหยางจื่อ พูดมากขนาดนี้ เจ้าคิดอย่างไรกันแน่”

มีคนเอ่ยถาม

ชิงหยางจื่อกวาดสายตามองทุกคนแล้วกล่าว “ข้าหวังให้พวกเราไปขอคำสั่งจากคุณหนูด้วยกัน บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหลินสวินนี่ทั้งหมด ให้คุณหนูเป็นผู้ตัดสินใจการเคลื่อนไหวต่อจากนี้”

ทุกคนล้วนลังเลอยู่บ้างอย่างไม่อาจเลี่ยง

แค่หลินสวินคนเดียว คู่ควรให้เคลื่อนไหวเอิกเกริกเช่นนี้หรือ

มีคนกล่าวใคร่ครวญ “ต่อให้เจ้านี่ร้ายกาจแค่ไหน ตอนนี้ก็ยังติดอยู่ในโลกแปรปุถุชนนั่น และกองกำลังของพวกเราล้วนกระจายอยู่ในโลกโลกาสวรรค์ชั้นที่เก้า หนทางยาวไกลยิ่ง ไม่สู้รออีกหน่อย หากภายหน้ายามเจ้านี่มีปัญญาบุกมาถึงโลกโลกาสวรรค์จริง พวกเราค่อยระดมกำลังทั้งหมดใต้ปกครองไปจัดการกับเขาพร้อมกันก็พอ”

หัวคิ้วชิงหยางจื่อขมวดเข้าหากัน อดกล่าวเตือนไม่ได้

“ทุกท่าน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น ยามเจ้าหลินสวินนี่มีโอกาสบุกมาถึงโลกโลกาสวรรค์จริง เท่ากับว่าเขาได้รับผลมรรคแรกกำเนิดแปดครั้ง! หลังหลอมผลมรรคแรกกำเนิดเหล่านี้ มรรควิถีของเขาย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายเท่า ถึงตอนนั้นค่อยจัดการเขา… จะสายไปหน่อยหรือไม่”

กล่าวถึงตรงนี้ชิงหยางจื่อถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “ช่างเถอะ อย่างไรข้าจะไปพบคุณหนูสักหน่อย ให้นางเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน”

ในเวลานี้เองจู่ๆ นอกคฤหาสน์ใหญ่ก็ปรากฏวานรเฒ่าสะพายดาบคู่ตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ของมันล้วนบังประตูใหญ่มิด สร้างความกดดันใหญ่ยิ่งแก่ผู้คน

บรรพจารย์วานร!

ทันใดนั้น จอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคนหยัดตัวขึ้นพร้อมกัน เผยแววเคารพยำเกรงออกมา

“คุณหนูถูกเจ้าลัทธิรั้งตัวไว้ข้างกาย ภายหน้าควรทำอย่างไรให้พวกเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจกันเอง”

บรรพจารย์วานรเอ่ยปากกล่าวด้วยเสียงแก่ชรา

เขาไม่ได้เดินเข้าคฤหาสน์ใหญ่ และไม่มีทีท่าว่าจะรั้งรอ กล่าวประโยคนี้แล้วก็หมุนตัวจากไป

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท