ตอนที่ 3158 ข้ามข้าไม่พ้น พริบตาพลันว่างเปล่า
มหามรรคเรียบง่ายสุดขีด
ในการต่อสู้ สภาวะจิตหลินสวินผ่องแผ้ว ทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวหมื่นมรรคสั่นพ้อง หมื่นลักษณ์ติดตาม แต่กลับหลอมรวมอยู่ในหนึ่งหมัดหนึ่งฝ่ามือตามใจนึก
เลือนรางดั่งความรุ่งโรจน์ร่วงโรย มรรคอัศจรรย์เป็นธรรมชาติ
‘มรรคาของเทียนอูยึดการทำลายล้างเป็นรากฐาน สามารถบรรลุมรรคนิรันดร์ในการทำลายล้าง เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ไร้ใครเทียม หายากในอดีตถึงปัจจุบัน…’
ในระหว่างต่อสู้หลินสวินสามารถสัมผัสถึงพลังมหามรรคของเทียนอูได้ชัดเจน
หากต้องการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมากเกินไปนัก แต่หลินสวินกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขากำลังทำใจให้สงบสัมผัส ‘การประลองมรรค’ นี้
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินต่อไปยาวนานยิ่ง
หนึ่งวันหนึ่งคืนให้หลัง เงาร่างของเทียนอูอันตรธานหายไปเสมือนควันเอื่อยระลอกหนึ่ง
ไม่ใช่ถูกกำราบเอาชนะ หากแต่ถูกผลาญพลังวิชามรรคจนหมดเกลี้ยงและหายไปโดยตรง
กระทั่งการต่อสู้ปิดฉากลง
ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่อาจดึงสติกลับมาได้เนิ่นนาน สีหน้าท่าทางมีแววสะทกสะท้านและท้อแท้
ที่สะท้านคือแม้แต่พลังวิชามรรคแข็งแกร่งอย่างเทียนอูก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินสวิน
ที่ทดท้อก็คือ หลังการต่อสู้นี้หลินสวินกลับไม่อาจชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาได้!
นี่ทำให้คนยากจะเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นรู้สึกงุนงง
เหตุใจจึงเป็นเช่นนี้
ยอดเขาพันวิหค ใต้เวิ้งฟ้า
หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนกลางอากาศ ท่าทีนิ่งงัน เงียบขรึมไม่เอ่ยวาจา
ภายในใจมีความตระหนักอันมหัศจรรย์น่าเหลือเชื่อมากมายพลิกม้วนไม่หยุดเสมือนสายน้ำไหลริน ทำให้สภาวะจิตของเขาจมอยู่กลางการหยั่งรู้อันเร้นลับ
เนิ่นนานกว่าเขาจะเก็บความคิด ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ลอบกล่าวว่า ‘แม้ว่าพลังวิชามรรคของเทียนอูจะแข็งแกร่งยิ่ง แต่เมื่อเทียบมรรคาของเขากับจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีพายัพเพ่ยถู กลับนับได้เพียงว่าไม่เด่นไม่ด้อยกว่ากัน…’
“ยินดีด้วยที่สหายยุทธ์หลินเอาชนะเพิ่มในระหว่างเดินทาง!”
ทันใดนั้นเสียงกึกก้องสายหนึ่งดังขึ้น เผยแววเลื่อมใสจากใจจริง
“ยินดีด้วยสหายยุทธ์หลิน!”
“ยินดีด้วยสหายยุทธ์หลิน!”
…ทันใดนั้นในบริเวณใกล้เคียงมีเสียงแซ่ซ้องยินดีดังขึ้นระลอกหนึ่ง ก้องกังวานกลางฟ้าดิน ยาวนานไม่สิ้นสุด
บรรดาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนติดอยู่ในโลกแปรปุถุชนไม่รู้กี่กาลเวลาแล้ว เดิมเจ้าตัวก็เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าบนมรรคาไร้ขอบเขต
แต่ขณะนี้ยามเผชิญหน้าหลินสวิน กลับมีความรู้สึกเลื่อมใสราวแหงนมองภูเขาสูงชัน
สดับมรรคมีลำดับก่อนหลัง ผู้บรรลุเป็นอาจารย์!
หลินสวินกรำศึกจนบัดนี้เพียงแค่สี่เดือนเศษเท่านั้น มีชัยแปดร้อยกว่าครั้ง นี่เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน!
เมื่อเทียบกัน เหล่าผู้กล้าใต้หล้าใครจะสามารถไม่น้อมกายด้วยความชื่นชมบ้าง
หลินสวินยิ้มพลางประสานหมัดคารวะน้อยๆ “บนเส้นทางมหามรรคล้วนเป็นสหายร่วมวิถี ข้าคนแซ่หลินก็ขออวยพรล่วงหน้าให้ทุกท่านก้าวไปอีกขั้นในวันหน้า”
กล่าวจบก็จากไปอย่างผ่าเผย
“ทุกท่าน จากที่ข้าดูยามการต่อสู้ปิดฉากก่อนหน้านี้ หลินสวินหมดพลังไปมากอย่างเห็นได้ชัด หากเวลานั้นมีคนลงมือจู่โจม…”
จู่ๆ ชายชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบเหล่าผู้ฝึกปราณที่ยืนใกล้ๆ กับชายชุดเทาล้วนหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ถอยออกห่าง ท่าทางขีดเส้นแบ่งกั้นกับคนผู้นี้
ชายชุดเทาหุบปากทันที สีหน้าเปลี่ยนไปมา เห็นชัดว่ารู้สึกผิดยิ่ง กล่าวว่า “ทุกท่าน ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไยต้องเคร่งเครียดเช่นนี้”
แต่ยังคงไม่มีใครสนใจเขา กลับกันยิ่งหนีห่างกว่าเดิม
ภาพเช่นนี้ทำให้ในใจชายชุดเทากระวนกระวายอย่างไม่อาจเลี่ยง พักใหญ่ให้หลังจึงกล่าวพึมพำอย่างขมขื่น “บารมีของหลินสวินถึงกับกร้าวแกร่งเพียงนี้แล้วหรือ”
…
เจ็ดวันให้หลัง
อาณาจักรหลง ทะเลสาบประกายสาด
การต่อสู้มหามรรคกำลังอุบัติขึ้น
ฝ่ายหนึ่งคือรูปจำลองวิชามรรคที่บรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานทิ้งไว้ อยู่ลำดับที่เจ็ดในระเบียบมรรควัฏจักร
อีกฝ่ายคือหลินสวิน
การต่อสู้ดำเนินไปสองชั่วยามแล้ว
ก็เห็นใต้เวิ้งฟ้านั่นแดนพุทธเกรียงไกร สว่างไสวไร้ขอบเขต ทุกหนแห่งล้วนมีดอกบัวเบ่งบานลอยล่อง มีเสียงท่องคัมภีร์ดังราวกระแสน้ำ
ท่ามกลางความเลือนรางยิ่งเห็นเงามายาแดนธรรมมหาศาลปรากฏ มีมุนินทร์ถกมรรค มีโพธิสัตว์ร่ายวิชา เผยภาพเกรียงไกรที่สว่างไสวไร้ขอบเขต สุขาวดีไร้สิ้นสุด
นี่คือมรรคของบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌาน ใช้ ‘จิตฌาน’ เป็นรากฐาน วิเศษอัศจรรย์ยิ่งยวด
หลินสวินที่กำลังต่อสู้นั่งกลางห้วงอากาศ เงาร่างว่างเปล่า ราบเรียบละโลกีย์
ทั้งไร้ภาพอภินิหาริย์มหามรรค และไม่มีอานุภาพสะเทือนฟ้า สงบนิ่งไม่หวือหวา
แต่มุนินทร์ถกมรรคนั่นกลับยากจะสั่นคลอนสภาวะจิตของเขาแม้เศษเสี้ยว โพธิสัตว์ร่ายวิชาก็ไม่อาจทำร้ายเส้นขนบนตัวเขาได้สักเส้น
แม้จะเป็นแดนธรรมนิรันดร์ สว่างไสวไร้ขอบเขตก็ไม่อาจรุกล้ำบริเวณที่หลินสวินนั่งขัดสมาธิได้
เขาราวกับหินก้อนหนึ่ง มั่นคงไม่ขยับ มองดู รับรู้ สัมผัสเช่นนั้น ท่าทีสงบละโลกีย์
เนิ่นนานมุนินทร์ครวญคร่ำก่อนย่อยยับ โพธิสัตว์ส่ายหน้าแล้วสาบสูญ แดนธรรมทั่วฟ้าล้วนเลือนรางลบหาย แม้แต่เสียงสวดแผ่วเบานั่นก็ยังจางหายไปพร้อมกัน
และเงาร่างของซื่อก็มอดไหม้ในเวลานี้เช่นกัน
หลินสวินหยัดตัวขึ้นขยับตัวเล็กน้อย ก่อนหยิบกาสุราออกมาดื่มอย่างเบิกบานอึกหนึ่ง ยิ้มกล่าว “ธรรมก็ดี มารก็ช่าง ข้ามข้าไม่พ้น พริบตาพลันว่างเปล่า!”
สิบวันให้หลัง
อาณาจักรซิงเฉียว ยอดเขาวิหคมังกร
“ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแล้ว”
หลินสวินประสานหมัดคารวะ
การต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งทำให้เขาเอาชนะวิชามรรคที่บรรพจารย์ลัทธิวิญญาณซวีอิ่นทิ้งไว้ พลังกฎระเบียบลำดับที่แปดในระเบียบมรรควัฏจักรนี้ก็อันตรธานหายไปพร้อมกัน
…
ครึ่งเดือนให้หลัง
บนเขาผาวาโยไกลแปดร้อยลี้นอกอาณาจักรซ่ง
หนึ่งกระบี่ขวางฟ้า ปิดครอบเก้าฟ้าธารดารา!
ดวงดาวนับไม่ถ้วนร่วงหล่นพร้อมกัน เฉกเช่นดอกไม้ไฟที่ร่วงโรยเงียบงันเลือนหายไปเช่นนี้
ธารดาราเก้าฟ้านั่นก็คือรูปจำลองวิชามรรคของบรรพจารย์หยวนชูแห่งลัทธิแรกกำเนิด มหามรรคชั้นยอดลำดับที่หกในระเบียบมรรควัฏจักร
“ผู้อาวุโส วันหน้าหากมีโอกาสได้พบกันอีก ข้าต้องเลี้ยงสุราท่านอย่างแน่นอน”
หลินสวินประสานหมัดคารวะ
จนบัดนี้รูปจำลองวิชามรรคที่บรรพจารย์จากสี่หอบรรพจารย์ทิ้งไว้ล้วนพ่ายแพ้ใต้น้ำมือหลินสวินทั้งหมด!
ทันทีที่ข่าวกระจายออกไป โลกแปรปุถุชนอันกว้างขวางก็สะท้านสะเทือนอย่างไร้เสียง
“หรือหลินสวินยังสามารถเป็นเหมือนเฉินหลินคงในปีนั้น กระบี่เลิกวัฏจักร ไต่ทะยานสู่ลำดับหนึ่ง”
มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ไม่อาจสงบอารมณ์ ใจสะท้านไม่หยุด
หลายปีก่อนหน้านี้เฉินหลินคงมาถึงโลกแปรปุถุชน ท่องทั่วหล้า เสมือนกระเรียนป่าท่องเมฆเอื่อย ไม่สู้ไม่แก่งแย่งไม่ลงมือ เที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ตระเวนชมความเป็นไปของสรรพชีวิต
กระทั่งสามสิบสามปีให้หลัง เขาถือกระบี่พาดขวางฟ้า เอาชนะ ‘หงหรูเซียน’ ที่อยู่ลำดับหนึ่งในระเบียบมรรควัฏจักรและเข้าแทนที่!
เรื่องนี้เคยเรียกความแตกตื่นครั้งใหญ่ในโลกแปรปุถุชน เฉินหลินคงที่ทุกคนรู้จักในตอนนั้นมีมรรควิถีใกล้เคียงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ ดังนั้นจึงสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในคราวเดียว และอยู่ลำดับหนึ่งร่วมกับยอดบุคคลอีกสี่คนที่เหลือ
“ผลมรรคแรกกำเนิดของหลินสวินไม่เคยปรากฏ นี่ก็หมายความว่าเขาต้องเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งของใครก็ได้ในห้าคนนั้น บางทีอาจมีโอกาสเรียกผลมรรคแรกกำเนิดและก้าวสู่ประตูสวรรค์”
“แต่หากเขาแพ้ขึ้นมาเล่า”
“เช่นนั้นก็ถูกขังที่นี่เช่นเดียวกับพวกเรา!”
“คนแข็งแกร่งเช่นเขาจะมีโอกาสถูกขังในโลกแปรปุถุชนด้วยหรือ”
…ทั่วหล้าล้วนมีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์
ตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่โลกแปรปุถุชนจนบัดนี้นานเกือบครึ่งปีแล้ว ต่อสู้จนบัดนี้ยังไม่เคยแพ้สักครั้ง
แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป
คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเหลือเพียงรูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งห้าคนในระเบียบมรรควัฏจักร
ได้แก่รูปจำลองที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมล จักจั่นทอง อีกาดำ เฉินหลินคง และบรรพจารย์วานรทิ้งไว้
แต่ละคนล้วนมีอานุภาพลึกล้ำยากหยั่งถึงทั้งสิ้น!
แม้ว่าหลินสวินต่อสู้ทั่วหล้าก่อนหน้านี้จะไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง แม้แต่รูปจำลองวิชามรรคของบรรพจารย์จากสี่หอบรรพจารย์ยังถูกเอาชนะทั้งหมด
แต่ยามคู่ต่อสู้ของหลินสวินเหลือเพียงพวกชั้นยอดห้าคนนั่น กลับไม่มีใครกล้ามั่นใจว่าเขาจะเอาชนะได้
ไม่ใช่ใดอื่น เป็นเพราะห้าคนนี้แข็งแกร่งเกินไป!
ลำดับหนึ่งเคียงกัน ไม่แบ่งสูงต่ำ นี่เดิมก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่ง และสามารถมองออกว่าวิชามรรคที่ห้าคนนั้นทิ้งไว้สูงล้ำปานใด!
และขณะที่ทั่วหล้าโกลาหล หลินสวินก็มาถึงสถานที่นามว่า ‘เมืองหมอกสน’ ในแคว้นเถาแล้ว
ศิลากระบี่ป้ายหนึ่งตั้งอยู่ในป่าสน
ศิลากระบี่สามฉื่อ ดุจกระบี่พาดขวางฟ้า
นี่คือสิ่งที่เฉินหลินคงทิ้งไว้
หลังเพ่งพินิจศิลากระบี่ครู่หนึ่งหลินสวินก็เอ่ยว่า “การต่อสู้นี้ข้าคนแซ่หลินไม่อยากให้คนนอกเห็น ทุกท่านโปรดถอยไปโดยเร็ว”
ประโยคเดียวทำเอาผู้ฝึกปราณมากมายที่กระจายอยู่บริเวณใกล้เคียงเมืองหมอกสนรู้สึกแปลกใจทันที แม้จะงุนงง แต่ยังคงถอยหลีกพร้อมเพรียงอย่างรู้ความ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางจากไปจริงๆ
การต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้ ดีไม่ดีจะเป็นปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดิน ชักนำพลังระเบียบมรรคทั่วทิศ แม้จะมองดูจากไกลๆ ก็ยังทำให้ผู้คนมองเบาะแสบางอย่างออก
ทว่าหลินสวินเดาไว้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดมากความอีก
ชิ้ง!
ครู่ต่อมาเสียงกระบี่ครวญกังวานสายหนึ่งดังขึ้น ปั่นป่วนเหนือเมืองหมอกสน ทำเอาเมฆแปดทิศพังทลาย ฟ้าดินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเสมือนตกอยู่ในแสงคมกล้าที่เจิดจรัสไร้สิ้นสุด กระตุ้นจนสภาวะจิตผู้คนหนาวสะท้าน จิตรับรู้ล้วนมีความรู้สึกเหมือนถูกฟันขาด
ถึงขั้นที่ผู้ฝึกปราณที่ชมอยู่ไกลๆ ไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ จิตวิญญาณถูกกระเทือนอย่างน่าสะพรึง สีหน้าล้วนเปลี่ยนไป
และเป็นเวลานี้พวกเขาถึงตระหนักว่าไม่ใช่หลินสวินไม่ให้พวกเขาชมการต่อสู้ หากแต่การชมการต่อสู้ด้วยมรรควิถีของพวกเขา ต้องถูกพลังสะท้อนกลับเป็นแน่!
ชั่วขณะเดียวผู้ฝึกปราณเหล่านี้ล้วนจิตใจปั่นป่วน สีหน้าสะทกสะท้าน
การต่อสู้แก่งครั้งหนึ่ง กลับทำให้ขั้นไร้ขอบเขตอย่างพวกเขาแม้แต่ชมดูยังต้องจ่ายค่าตอบแทน นี่น่ากลัวปานใด
ชิ้ง!
ไม่รอให้ตอบสนอง หนึ่งกระบี่มรรคครวญก้องอีกครั้ง ความเกรียงไกรในอานุภาพไม่ด้อยกว่าก่อนหน้านี้สักนิด
จากนั้นในเมืองหมอกสนปราณกระบี่แผ่ทั่ว เจตกระบี่สะเทือนชั้นฟ้า
ไม่ว่าใครต่างรู้ดี การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว
ทว่ารายละเอียดและนัยเร้นลับในนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถสอดส่องได้
เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิด
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นได้แต่รอคอยท่ามกลางความทรมาน
รอถึงยามตัดสินแพ้ชนะ
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้นี้จะยืดเยื้อเช่นนั้น ตั้งแต่รุ่งสางยันสายัณห์ ตั้งแต่ทุกชีวิตบนโลกยุ่งง่วนกับงานจนกลับบ้านนอนหลับ…
วันแล้ววันเล่าผ่านไป เสียงกระบี่ครวญดังชิ้งๆ นั่นเดี๋ยวดังเดี๋ยวหาย แต่เวลาส่วนใหญ่ล้วนจมสู่ความเงียบสงัด ยามผู้คนคิดว่าการต่อสู้ปิดฉากลง กลับมีเสียงกระบี่ครวญดังขึ้นเป็นครั้งคราวอีก
เมืองหมอกสนอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยแสงคมกล้าเวียนวนไม่สร่าง
กระทั่งเจ็ดวันให้หลัง
แดนเทพมากเร้น โลกหงหลิง
เฉินหลินคงนั่งในกระท่อมไกลออกไปอย่างสบายๆ ถือลำไม้ไผ่หย่อนเบ็ดอยู่หน้าลำธาร ท่าทางสบายใจ
ลำธารใสกระจ่าง ไม่มีปลาสักนิด
แต่เฉินหลินคงกลับเพลิดเพลินไปกับมัน
ทันใดนั้นเขาเลิกคิ้วน้อยๆ โยนลำไผ่ในมือลงแล้วเหยียดกายลุกขึ้น นัยน์ตาเผยแววตกใจที่ไม่ปกปิดสักเสี้ยว
“เจ้าหมอนี่ถึงกับมีความสำเร็จเช่นนี้บนมรรคาไร้ขอบเขตแล้วหรือ”
เฉินหลินคงอึ้งอยู่ตรงนั้น สภาพจิตใจเกิดระลอกคลื่น
“ถูกคนแซงหน้า สภาวะจิตยากจะสงบหรือ” เสียงหัวเราะสายหนึ่งดังขึ้นในกระท่อม
“ท่านปู่ ท่านก็รู้เช่นกันหรือ”
เฉินหลินคงหมุนตัว สีหน้าผิดแปลก ดูคล้ายยินดีและคล้ายเศร้าสลดอยู่บ้าง
“ระเบียบมรรควัฏจักรนี้เดิมก็แปลงมาจากต้นกำเนิดแหล่งสถานอัศจรรย์ รองรับมรรคกระบี่ของเจ้าได้ กลับไม่อาจรองรับมหามรรคของเขา”
ในกระท่อมเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “นี่ก็คือตัวแปร”
เฉินหลินคงถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ใส่ใจหากถูกเขาแซงหน้า ถึงอย่างไรสุดท้ายนั่นก็เป็นวิชามรรคที่ทิ้งไว้ในปีนั้น หากหลินสวินยังไม่อาจแม้แต่จะแซงหน้าข้าได้ เกรงว่าคงทำให้คนไม่น้อยผิดหวัง”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้ รอดูไปก่อนเถอะ”
ในกระท่อมฟาง เสียงนั้นดังขึ้นเนิบนาบ เจือแววตั้งตาคอยที่นานทีจะได้เห็น