ตอนที่ 3163 เสี้ยวจันทร์สามดารา แท่นวิญญาณดวงกมล

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3163 เสี้ยวจันทร์สามดารา แท่นวิญญาณดวงกมล

ท่าเรือใบเฟิง

ยามผู้ฝึกปราณทั้งหมดสะดุ้งตื่นจากความสะท้านสะเทือนถึงพบว่าหลินสวินจากไปไม่รู้เมื่อไรนานแล้ว

“ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าปีนั้นราชันไท่ชูออกจากโลกแปรปุถุชนแห่งนี้อย่างไร”

จู่ๆ มีคนเอ่ยปากขึ้น

“ข่าวลือเล่าว่ายามราชันไท่ชูมาถึงโลกแปรปุถุชน ในระเบียบมรรควัฏจักรมีพลังวิชามรรคเพียงไม่กี่สิบอย่างเท่านั้น ราชันไท่ชูต่อสู้ด้วยทั้งหมด ล้วนคว้าชัยมาได้ง่ายดาย ตอนนั้นผลมรรคแรกกำเนิดไม่เคยปรากฏเช่นเดียวกัน เป็นผลให้ราชันไท่ชูถูกขังที่โลกแปรปุถุชนแห่งนี้เป็นร้อยปี”

“ต่อมาลือกันว่าราชันไท่ชูมองทะลุนัยเร้นลับยิ่งยวดของระเบียบมรรควัฏจักรในโลกแปรปุถุชน และก้าวพ้นออกมา ประตูสวรรค์เปิดออกเอง ไปจากโลกแปรปุถุชนเช่นนี้”

มีคนเอ่ยเสียงเบา

“นี่เป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือเท็จ”

“แต่อย่าลืมสิ รูปจำลองวิชามรรคของราชันไท่ชูไม่อยู่ในระเบียบมรรควัฏจักร หากไม่ใช่เพราะหยั่งถึงนัยเร้นลับของระเบียบมรรควัฏจักรจะทำได้ถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”

“ทุกคนไม่ต้องเถียงกันเพราะเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าสถานการณ์ของหลินสวินในตอนนี้คล้ายคลึงกับราชันไท่ชูในปีนั้นอยู่บ้างหรือ”

ทันใดนั้นในที่นี้เงียบลงอย่างมากทันที คนไม่น้อยล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปมา

ยกหลินสวินในตอนนี้มาเปรียบกับราชันไท่ชูในปีนั้นหรือ

“นับแต่อดีตจนปัจจุบัน ราชันไท่ชูถูกมองเป็นหนึ่งในพวกที่ก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์กลุ่มแรกสุด เขาแจ้งมรรคจนบัดนี้ไม่รู้ว่ากี่ยุคสมัยแล้ว ในแหล่งสถานอัศจรรย์ก็แทบไม่มีใครสามารถทัดเทียมเขาได้”

“นั่นก็ไม่เสมอไป อย่างมือกระบี่คนนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนมรรควิถีในตัวเป็นโซ่กระบี่ จองจำราชันไท่ชูจนบัดนี้หรือ”

“ทุกท่าน ราชันไท่ชูในตอนนี้หลินสวินย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว แต่หลินสวินในตอนนี้กลับครอบครองรากฐานพลังที่เทียบเคียงได้กับราชันไท่ชูในปีนั้น!”

ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมาทั่วลานก็เงียบกริบอีกครั้ง

ด้วยรากฐานพลังและผลงานในปัจจุบันของหลินสวิน สามารถไปเทียบรัศมีกับราชันไท่ชูในโลกแปรปุถุชนเมื่อปีนั้นได้จริงๆ นี่เป็นความจริงที่เถียงไม่ออก ใครก็ไม่อาจโต้แย้ง!

เนิ่นนานกว่าจะมีคนกล่าวเสียงเบา “ตอนนี้ต้องดูกันว่าหลินสวินและวิชามรรคของอาจารย์เขาเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอกันแน่ หากหลินสวินชนะและผลมรรคแรกกำเนิดนั่นยังคงไม่ปรากฏ เช่นนั้นสถานการณ์ที่หลินสวินพบเจอก็จะเหมือนกับราชันไท่ชูในปีนั้น”

“เช่นเดียวกันหากหลินสวินแพ้… ทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีอะไรให้พูดถึง”

กลางฟ้าดินหลินสวินขี่ลมกลางห้วงอากาศ เยื้องย่างกลางภูผาธาราเวิ้งว้าง

หลังจากต่อสู้กับจักจั่นทอง จู่ๆ ในใจเขาก็เกิดการหยั่งรู้ที่ไม่อาจควบคุม เสมือนทุบทำลายกำแพงกีดขวางชั้นหนึ่ง ทั่วร่างมีการเปลี่ยนแปลงที่ ‘ปริ่มจนล้น’

นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าพลังปราณของตนทะลวงขั้นอีกแล้ว น่าจะเปลี่ยนจากขั้นไร้ขอบเขตขั้นกลางสัมบูรณ์ก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตขั้นปลาย

เวลานี้เขาก้าวเท้ากลางฟ้าดินอย่างสบายๆ สัมผัสการเปลี่ยนแปลงทั้งมวลของมรรควิถีในตัว ภายในใจมีความรู้สึกชื่นมื่นเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก

ราวกับกระแสน้ำทะลักเขื่อน และเหมือนฝนตกหนักติดต่อกันเก้าวัน การเปลี่ยนแปลงบนมรรควิถีเช่นนั้นเป็นการดื่มด่ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเส้นทางฝึกปราณ

วันแล้ววันเล่าผ่านไป เงาร่างของหลินสวินไม่เคยหยุดนิ่งตลอด ก้าวข้ามภูเขาแม่น้ำ ทะยานผ่านโลกกว้าง มองเห็นความเป็นไปของสรรพชีวิตในโลก…

ครึ่งเดือนให้หลัง

หลินสวินหยุดเท้าทันควัน กลางฟ้าดินไกลออกไปมีทะเลมรกตปรากฏ ระลอกคลื่นโหมซัด

บนทะเลมรกตนกนางนวลโผบินเป็นกลุ่ม ฝูงปลากระโจนขึ้นจากผิวน้ำเป็นครั้งคราว เรียกฟองคลื่นขึ้นเป็นระลอกๆ และห้วงอากาศเหนือผืนน้ำมีศิลาป้ายหนึ่งลอยอยู่

บนป้ายศิลาสลักภาพจันทร์เสี้ยวสามดารา

ยามหลินสวินมาถึง รอบบริเวณทะเลมรกตนี้มีผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรรวมตัวกันนานแล้ว เสมือนผู้ฝึกปราณใต้หล้าในโลกแปรปุถุชนล้วนมากันทั้งหมด เงาร่างคลาคล่ำ

การต่อสู้นี้ดึงดูดสายตาทั่วหล้าอย่างไม่ต้องสงสัย!

ถึงอย่างไรหลินสวินตระเวนต่อสู้จนบัดนี้เป็นเวลาเก้าเดือน ในระเบียบมรรควัฏจักรตอนนี้ก็เหลือรูปจำลองวิชามรรคเพียงหนึ่งเดียวที่คู่ควรต่อการท้าสู้แล้ว

หนำซ้ำรูปจำลองวิชามรรคนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับหลินสวินค่อนข้างมาก

หากหลินสวินแพ้ ชัยชนะก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนจะสูญเปล่า

แต่หากเขาชนะ สำหรับทั้งโลกแปรปุถุชนก็เท่ากับเกิดเรื่องที่สามารถเล่าต่อหมื่นกาลเพิ่มขึ้นอีก!

หลินสวินเองก็เห็นภาพนี้เช่นกัน เขาถึงขั้นจับเงาร่างของสหายเก่าอย่างสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีได้ในปราดเดียว

หลังจากพยักหน้าทักทายพวกเขาจากไกลๆ หลินสวินตรงดิ่งไปเหนือทะเลมรกต ทะยานไปทางป้ายศิลานั้น

ตลอดทางดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไร

‘เสี้ยวจันทร์สามดาราหมายถึง ‘จิต’ กลางแท่นวิญญาณดวงกมลก็คือ ‘จิต’ อาจารย์ ศิษย์รู้นานแล้วว่ารากฐานคีรีดวงกมลของพวกเราก็อยู่ที่สภาวะจิต’

หลินสวินยืนนิ่งหน้าป้ายศิลากลางอากาศแล้วพึมพำในใจ ‘และท่านเคยกล่าวกับเหล่าศิษย์พี่ ว่าศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าอาจารย์ วันนี้ศิษย์ก็มาขอคำชี้แนะวิชามรรคที่ท่านทิ้งไว้ในปีนั้นสักหน่อย’

เขาประสานหมัดคารวะจากไกลๆ ค้อมตัวคำนับ

วู้ม…

ป้ายศิลาส่งเสียงอึงอลระลอกหนึ่ง กลายเป็นเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่ง เสมือนนั่งสูงเหนือเก้าชั้นฟ้า ผมเคราขาวหิมะ มีสง่าราศี มีอานุภาพแห่งปราชญ์เทพทำนองธรรม ทั้วมีอานุภาพแห่งมารปีศาจ แต่กลับไม่ใช่เทพไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ปราชญ์ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มารไม่ใช่ปีศาจ

กลิ่นอายระดับนั้นเร้นลึก ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูด

เงาร่างนี้ย่อมเป็นรูปจำลองวิชามรรคที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลทิ้งไว้!

ยามเขาปรากฏตัว ผู้ฝึกปราณทุกคนบริเวณใกล้เคียงทะเลมรกตล้วนเกิดการรับรู้ในใจ เสมือนพบอาจารย์แห่งหมื่นมรรค เจ้าแห่งปวงหล้า เกิดความรู้สึกยำเกรงจากใจเหมือนแหงนมองภูเขาสูงชัน

นั่นคืออานุภาพไร้รูปอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้คนที่เผชิญหน้ากับเขาล้วนไม่อาจผุดความคิดลบหลู่ ไม่เคารพ หรือต่อต้าน!

หลินสวินก็รู้สึกถึงอานุภาพที่ลอยปะทะเข้ามานี้เช่นกัน

ต่อให้ก่อนหน้านี้นานมาแล้วหลินสวินเคยเห็นรูปจำลองเจตจำนงที่อาจารย์ทิ้งไว้ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง แต่เทียบกับรูปจำลองวิชามรรคเบื้องหน้ากลับต่างกันราวฟ้ากับเหวโดยสิ้นเชิง!

ทันใดนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลลงมือแล้ว หนึ่งฝ่ามือตบออกมาส่งๆ

ตูม!

ยามฝ่ามือนี้ปรากฏ เหล่าผู้ฝึกปราณที่กำลังดูอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงรู้สึกเพียงสภาวะจิตได้รับบาดเจ็บรุนแรง ท่ามกลางความเลือนรางรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นมดปลวกตัวจ้อย ส่วนมือข้างนั้นก็ใหญ่จนบดบังท้องฟ้าได้ กดกำราบลงมา!

ทุกคนล้วนเหลือเพียงความคิดเดียว ฝ่ามือนี้เปรียบเหมือนมรรคสวรรค์ไพศาลกดข่ม ต้านไม่อยู่สักนิด!

ความสิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูกสายหนึ่งแทรกซึมเข้ามาในสภาวะจิตอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่พวกเขาใกล้ยืนหยัดไม่อยู่ เสียงมรรคกระจ่างกังวานสายหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน

“โอม!”

ตูม!

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นรู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด สภาวะจิตที่แต่เดิมใกล้ปยืนหยัดไม่อยู่พลันหลุดพ้นจากความสิ้นหวังไร้ทางช่วยโดยพลัน

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้พวกเขายังคงถูกพลังสะท้อนกลับ คนไม่น้อยหน้าซีดขาว ร่างซวนเซ เกือบร่วงจากห้วงอากาศ

สีหน้าท่าทางของแต่ละคนเต็มไปด้วยแววหวาดผวาอย่างห้ามไม่อยู่

พลังฝ่ามือน่าสะพรึงนัก!

เล่นงานสภาวะจิตโดยตรง แม้จะมองดูอยู่ไกลๆ ยังทำให้ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างพวกเขาไม่อาจต้าน หากลงมือกับพวกเขาตรงๆ…

เช่นนั้นผลที่ตามมาก็ไม่อาจจินตนาการ!

ยามพวกเขามองออกไปอีกครา หลินสวินและเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ต่อสู้กันแล้ว

วิชาการต่อสู้ของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเรียบง่ายผิดธรรมดา โบกมือไม่หยุด ตบลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เรียบง่ายแผ่วเบา และไม่มีอานุภาพมหามรรคใดๆ ให้เอ่ยถึง

แต่ยามแต่ละฝ่ามือนั่นตบออกมากลับโจมตีสภาวะจิตของผู้คนตรงๆ!

นี่น่าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด เดิมสภาวะจิตก็เป็นพลังที่เร้นลับละเอียดอ่อนถึงขีดสุด แต่ในเวลานี้กลับไม่อาจหลบพลังโจมตีจากฝ่ามือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล

พรูด!

มีผู้ชมการต่อสู้กระอักเลือดตรงๆ หมุนตัวจากไป ไม่กล้ามองเพิ่มอีกสักนิด

ผู้ชมคนอื่นๆ ต่างก็ยากรับไหวเช่นกัน พวกเขาเพียงแค่มองจากไกลๆ เท่านั้นยังถูกลูกหลง สภาวะจิตเหมือนโดนโจมตีหนักหน่วงอยู่ตลอด

เหล่าผู้ชมที่เลือกจากไปยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

และมีคนพยายามฝืนยืนหยัด แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็กระอักเลือดร้องเสียงดัง สภาวะจิตเกือบพังทลาย ไม่กล้าอยู่ต่ออีก รีบถอยหนีอุตลุด

เพียงครู่เดียวเท่านั้น บนทะเลมรกตนี้ถึงกับไม่มีผู้ชมอยู่อีกแม้แต่คนเดียว!

ตูม! ตูม! ตูม!

หลินสวินรู้สึกเพียงว่าสภาวะจิตเหมือนเตาหลอมใบหนึ่ง เมื่อพลังฝ่ามือเป็นสายๆ ของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลตบลงมา ผนังเตาหลอมส่งเสียงสะเทือน พลิกม้วนรุนแรง ทำให้เขายังเกือบรู้สึกพังทลาย

นี่คือการโจมตีทางสภาวะจิต เร้นลับหาใดเปรียบ ต่างจากการต่อสู้มหามรรคอื่นๆ โดยสิ้นเชิง

เมื่อแรกสุดหลินสวินยังสามารถต้านทานได้

แต่ผ่านไปไม่นานก็ทำได้เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น

‘คิดไม่ถึง อาจารย์ถึงกับควบคุมพลังสภาวะจิตได้ถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ด้วยมรรควิถีระดับเขา ยามนั้นเหตุใดจึงอยู่เพียงลำดับหนึ่งในระเบียบมรรควัฏจักรได้เล่า’

แรงกดดันของหลินสวินเพิ่มเป็นเท่าตัว และไม่เข้าใจยิ่ง

มรรคจริงเท็จไร้รูปของจักจั่นทองเร้นลับและมีเอกลักษณ์มากพอแล้ว ไหนเลยจะคาดคิด พลังแห่งสภาวะจิตของอาจารย์เขากลับกร้าวแกร่งยิ่งกว่า!

เมื่อเทียบกัน รูปจำลองวิชามรรคที่บรรพจารย์วานร อีกาดำ และเฉินหลินคงทิ้งไว้ในปีนั้น เห็นชัดว่ารับมือได้ง่ายกว่าอยู่บ้าง

ตูม!

พลังโจมตีที่เตาหลอมแห่งสภาวะจิตได้รับยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ทำเอาหลินสวินไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีก

เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่าน พลังขับเคลื่อนทั้งร่างรวมอยู่ในสภาวะจิต โคจรมรรควิถีในตัว

ขณะเดียวกันหลินสวินโคจรวิชาอริยะยุทธ์ซึ่งอยู่ในเก้ามรดกพิทักษ์สำนักคีรีดวงกมลตามจิตใต้สำนึก

และพริบตานี้เองภาพน่าเหลือเชื่อพลันปรากฏ

สภาวะจิตที่ดุจดั่งเตาหลอมเสมือนเปลวไฟลุกโชน ปรากฏจิตต่อสู้โหมซัดไร้ทัดเทียมขึ้นมากะทันหัน ทำให้สภาวะจิตเปลี่ยนเป็นมั่นคงขึ้นมาด้วย

ยามพลังฝ่ามือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลตบออกมาอีก แม้ว่ายังคงสะเทือนเตาหลอมสภาวะจิตอย่างน่ากลัวสุดขีด แต่กลับไม่ได้รับมือยากขนาดนั้นแล้ว

นี่ทำให้หลินสวินฮึกเหิม ที่แท้เป็นเช่นนี้ เก้ามรดกคีรีดวงกมลประพันธ์โดยอาจารย์ และก่อนหน้านี้นานมาแล้วตนก็ผสานคัมภีร์มรรคทั้งเก้านี้เข้ามาแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบเจอการต่อสู้ทางสภาวะจิต เป็นผลให้ตนต้องเจอพลังโจมตีอย่างฉุกละหุก…

คิดถึงตรงนี้หลินสวินโคจรมรดกอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน อย่างคัมภีร์ก่อเกิดใจ คัมภีร์ล่องลอย คัมภีร์ใกล้ดุจไร้ช่องว่าง คัมภีร์แปรรู้ตน ท่องอิสระ บำเพ็ญไร้ขอบเขต คัมภีร์ล่วงรู้ ดวงกมลกลายคุก…

มรดกแต่ละอย่างล้วนรวมสรรพสิ่ง สามารถย้อนกลับต้นกำเนิด แต่ล้วนมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งแน่นแฟ้นกับพลังแห่งสภาวะจิต

เวลานี้เมื่อหลินสวินโคจร เตาหลอมสภาวะจิตของเขาก็ปรากฏภาพประหลาดมหัศจรรย์ทั้งปวงออกมา ไม่เพียงทำให้มั่นคงอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ยังเกิดการหยั่งรู้มากมายที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

ที่มหัศจรรย์เป็นพิเศษคือยามพลังฝ่ามือของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลตบลงมาอีกครั้ง หลินสวินไม่เพียงไม่รู้สึกถึงแรงโจมตีใดๆ กลับกันยังเกิดจังหวะแปลกพิสดารที่เหมือนสอดประสานกัน

ก็เหมือนสภาวะจิตเป็นเหล็กแกร่ง กำลังขจัดกากเศษด้วยการหลอมตีครั้งแล้วครั้งเล่า!

‘นี่… คงไม่ใช่ศุภโชคที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ข้ากระมัง…’ และในเวลานี้สมองหลินสวินผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท