ตอนที่ 3168 หนึ่งก้าวทะยานฟ้า ลอยข้ามธาราไป
“สหายยุทธ์ทั้งสอง พวกเจ้าเพิ่งมาถึงไม่สู้มาพูดคุยกันสักหน่อย”
ข้างกายเด็กหนุ่มชุดดำ แม่เฒ่าชุดม่วงที่มีทางชราภาพคนหนึ่งอมยิ้มเอ่ยเชิญชวน
“เคารพนับถือไม่สู้ปฏิบัติตาม”
หลินสวินตอบรับยิ้มๆ
เขาและซย่าจื้อเดินตรงไปแล้วนั่งลงบนพื้น เริ่มพูดคุยกับผู้ฝึกปราณเหล่านี้
ไม่นานต่างฝ่ายล้วนรู้ชื่อและที่มาของฝ่ายตรงข้าม
และยามรู้ว่าหลินสวินเป็นผู้สืบทอดของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล เด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นดูคล้ายกระจ่าง กล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็คือหนึ่งบัวดอกนั้น”
เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องของหลินสวิน
ต่อมาหลินสวินหยิบสุราบางส่วนออกมาร่วมวงกับผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ที่คุยกันล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้
ไม่นานพวกเขาต่างพูดถึงความเข้าใจที่แต่ละคนมีต่อมหามรรค ทำให้ขณะสนทนาหลินสวินได้เปิดมุมมองใหม่
และสำหรับพวกเด็กหนุ่มชุดดำ ความรู้และเข้าใจต่อมหามรรคบางส่วนที่ออกจากปากหลินสวินก็ทำให้พวกเขาตกใจและเลื่อมใสไม่หยุดเช่นกัน
กระทั่งเนิ่นนานหลินสวินจึงยิ้มกล่าว “วันนี้ได้รู้จักกับทุกคน ร่วมวงดื่มสุราพูดคุยกัน สำหรับข้าน่ายินดียิ่งยวด หากวันหน้าได้พบกันอีกย่อมต้องร่วมสังสรรค์กับทุกท่านแน่”
เด็กหนุ่มชุดดำกล่าวอย่างแปลกใจ “สหายยุทธ์หลิน หรือว่าพวกเจ้ามั่นใจว่าจะฝ่าด่านนี้ไปได้”
หลินสวินคิดๆ แล้วกล่าว “ด่านนี้ย่อมไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าและซย่าจื้อ”
“เช่นนั้นพวกข้าก็จะขอเปิดหูเปิดตาหน่อยแล้ว” แม่เฒ่าชุดม่วงกล่าวหัวเราะชอบใจ
คนอื่นๆ ก็เผยแววตั้งตาคอยเช่นกัน
หลินสวินและซย่าจื้อหยัดตัวลุกขึ้น มาหยุดตรงบริเวณที่ว่างเปล่าไร้เงาคน
“ซย่าจื้อ เจ้าก่อน”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา
ซย่าจื้อพยักหน้าน้อยๆ บนเงาร่างอรชรมีพลังขับเคลื่อนไร้รูปแห่ห้อมพลิกม้วน
ครู่ต่อมานางยื่นมือหยกออกไปตวัดวาดกลางห้วงอากาศ
วู้ม!
ในฟ้าดินบริเวณใกล้เคียง พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดเป็นสายๆ ถูกชักนำมาดุจดั่งกระแสน้ำเชี่ยว รวมตัวอยู่ใต้นิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างของซย่าจื้อ
จากนั้นโครงโลกมหามรรคใบหนึ่งค่อยๆ ปรากฏ บุกเบิกฟ้าดิน ตะวันจันทราส่องสะท้อน ภูผาธาราผุดเผยและเปลี่ยนวิวัฒน์…
จนต่อมาหมื่นลักษณ์ทั่วหล้าหลายหลากอุบัติ พลังการแห่งการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวบนโลกโคจร
กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น โลกมหามรรคที่อัศจรรย์ยากหยั่งถึงใบหนึ่งก็ปรากฏถึงขั้นสัมบูรณ์ไร้ที่ติอยู่เบื้องหน้าซย่าจื้อ
ในโลกมหามรรคนั่นมีพลังกฎระเบียบคละคลุ้ง มีมหามรรคทั้งปวงหลอมรวมในต้นไม้ใบหญ้า ถึงขั้นมีกลิ่นอายโชคชะตาไหลเวียนในนั้น
วู้ม…
และก็เป็นเวลานี้ที่ฟ้าดินแรกกำเนิดแถบนี้เกิดแรงสั่นไหวแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง
ในพื้นที่ใกล้เคียง ผู้ฝึกปราณที่กำลังตั้งสมาธิก่อมรรคทั้งหมดล้วนตกใจ พากันหันมองมา
ฟุ่บ!
ก็เห็นเบื้องหน้าซย่าจื้อ โลกมหามรรคใบนั้นกลายเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งทะยานขึ้นชั้นฟ้าฉับพลัน
“รีบมาหน่อย”
ซย่าจื้อเอ่ยทันเพียงประโยคนี้ เงาร่างของนางก็อันตรธานหายไปกลางอากาศแล้ว
“นี่… ข้าจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะเพิ่งมาถึงวันนี้กระมัง”
มีผู้ฝึกปราณสีหน้าอึ้งค้าง
“ไม่ผิด มาถึงสามชั่วยามก่อนก็พูดคุยกับคนพวกนั้นตลอด เพียงแต่… นางถึงกับสร้างโลกมหามรรคและผ่านด่านออกไปในครึ่งชั่วยาม นี่ก็เร็วเกินไปแล้ว…”
มีคนสูดหายใจสะท้าน
ในหมู่พวกเขา บ้างถูกขังที่นี้นับหมื่นปี บ้างก็หนึ่งแสนปี หลายแสนปียิ่งมีไม่หวาดไม่ไหว
เมื่อเทียบกัน การที่ซย่าจื้อใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ผ่านด่านไปได้น่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย พาให้ผู้คนรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
ส่วนพวกเด็กหนุ่มชุดดำ แม่เฒ่าชุดม่วงที่เห็นทุกความเป็นไปในสายตาล้วนอึ้งงันอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ภายในใจได้รับแรงกระทบกระเทือนรุนแรงสุดขีด
พักใหญ่กว่าเด็กหนุ่มชุดดำจะยิ้มกล่าวอย่างอดไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกเราถึงกับได้เห็นปาฏิหาริย์ใหญ่เช่นนี้กับตา!”
คนอื่นๆ ต่างก็ทอดถอนใจไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ยามพูดคุยกัน ซย่าจื้อนิ่งเงียบ เอ่ยวาจาน้อยยิ่ง ความสนใจของทุกคนแทบจะอยู่ที่ตัวหลินสวิน ไม่ว่าใครต่างคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่งดงามราวภาพวาดเช่นนี้กลับประสบผลสำเร็จบนมหามรรคอย่างน่าทึ่งเช่นนี้
“ทุกท่าน ข้าเองก็ขอล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ขอลา”
และเวลานี้หลินสวินที่ยืนไกลออกไปยิ้มพลางประสานหมัดคารวะ
“ฮ่าๆๆ ได้ พวกข้าก็อยากจะดูหน่อยว่าสหายยุทธ์หลินจะก่อมรรคฝ่าด่านอย่างไร”
มีคนเอ่ยปากยิ้มๆ
เวลานี้การเคลื่อนไหวของที่นี่ดึงดูดความสนใจผู้ฝึกปราณมากมายในฟ้าดินแถบนี้แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดนี้ต่างหันมองมาทางหลินสวินอย่างอดไม่ได้
การกระทำก่อนหน้านี้ของซย่าจื้อทำให้พวกเขาสะท้านสะเทือนไม่หยุด จึงอยากเห็นนักว่าหลินสวินจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร
ภายใต้การจับจ้องของสายตาทุกคู่นี้ ก็เห็นหลินสวินใคร่ครวญน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นกดกลางห้วงอากาศง่ายๆ
ตูม!
ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดที่เหมือนเขาถล่มคลื่นโหมซัดราวกับบ้าคลั่ง ถาโถมเข้าใส่บริเวณที่หลินสวินกดลงไป
ความยิ่งใหญ่ของการเคลื่อนไหวนั้นทำเอาทุกคนในที่นี้ล้วนตกใจสะดุ้งโหยง
ก่อมรรคอยู่ที่นี่หลายปี พวกเขาไม่เคยเห็นใครชักนำความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ในยามเพิ่งเริ่มก่อมรรคมาก่อน!
และการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้จะสร้างโลกมหามรรคแบบไหนออกมากันแน่
ทุกคนล้วนอดใคร่รู้ไม่ได้
แต่ยังไม่รอให้มองชัดเจนก็เห็นรุ้งเทพกะพริบวาบ หลินสวินหายไปกลางอากาศแล้ว
ส่วนพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดที่เดิมรวมตัวอยู่บริเวณปลายนิ้วของเขาเหล่านั้นต่างหายไร้ร่องรอยพร้อมกัน
“นี่…”
ทุกคนล้วนอึ้งงั้น นี่มันเรื่องบ้าอะไร
ยื่นมือชี้ไป แรกกำเนิดผุดเผย ยังไม่รอก่อมรรคก็ฝ่าด่านไปแล้วหรือ
พวกเด็กหนุ่มชุดดำ แม่เฒ่าชุดม่วงล้วนนั่งไม่ติด ดีดตัวผึง แต่ละคนมองหน้าสบตากัน
ภาพที่ผิดปกติเช่นนี้พาให้พวกเขายังไม่อาจสงบนิ่ง
เนิ่นนานจนกระทั่งฟ้าดินแถบนี้กลับสู่ความสงบดังเดิม แม่เฒ่าชุดม่วงจึงกล่าวพึมพำ “บอกลาก็ลาทันที ไม่คลุมเครือสักนิด สหายยุทธ์หลินคนนี้ของพวกเราช่างลึกลับซับซ้อนจริงๆ…”
“ลึกลับซับซ้อนอะไร ข้าว่าด่านก่อมรรคนี้ สำหรับเขาก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งสมมติด้วยซ้ำ”
มีคนยิ้มขื่น
“ที่ผ่านมาทุกท่านเคยได้ยินว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่”
มีคนอดถามไม่ได้
“ไม่มี”
ทุกคนล้วนส่ายหน้า
ชั่วขณะหนึ่งสภาพจิตใจของผู้คนยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
นี่น่าตกใจยิ่งกว่าความสำเร็จยิ่งใหญ่ของแม่นางซย่าจื้อผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ล้วนทำลายความเข้าใจของผู้คนไปสิ้น!
…
ไม่ใช่เพียงผู้ฝึกปราณเหล่านั้น แม้แต่ตัวหลินสวินเองยังแปลกใจยิ่ง
เดิมเขาตั้งใจจะก่อมรรค ทั้งในใจมีความมั่นใจยิ่ง แต่หลังจากชักนำพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดเหล่านั้น ฟ้าดินแถบนั้นกลับดูเหมือนยากจะแบกรับมรรควิถีของเขาได้ ส่งผลให้เคลื่อนย้ายเขาออกไปโดยไม่ให้โอกาสเขาก่อมรรคสักนิด…
‘นี่เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบศุภโชคที่ข้าครอบครอง เมื่อก่อมรรคอยู่ที่นี่ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะทำให้โลกมหามรรคหยั่งรากแตกหน่อที่นี่ กลายเป็นโลกฝึกปราณของจริงใบหนึ่ง…’
หลินสวินใคร่ครวญ
จากนั้นหลินสวินก็เห็นว่าตนปรากฏตัวหน้าแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง แม่น้ำใหญ่เสมือนมาจากฟากฟ้า กว้างใหญ่ไพศาล โหมซัดอยู่กลางโลกมายาที่ประหนึ่งไร้สิ้นสุด
และในบริเวณต่างๆ ข้างแม่น้ำใหญ่มีเงาร่างมากมายยืนกระจัดกระจายอยู่
ซย่าจื้อก็อยู่ในนั้นเช่นกัน
หลินสวินเดินเข้าไปหาทันที
“เร็วขนาดนี้เชียว”
ซย่าจื้ออดแปลกใจไม่ได้เช่นกัน นางเพิ่งมาถึงหลินสวินก็ปรากฏตัวตามหลังมาติดๆ แล้ว
หลินสวินยิ้มกล่าว “ก็กังวลว่าเจ้าจะรอนาน”
ขณะพูดสายตาเขามองไปยังแม่น้ำใหญ่ไพศาลสายนั้น
นี่ก็คือด่านที่สามของโลกภัยพิบัติ… ‘ด่านเคาะใจ’
ลือกันว่าสายน้ำที่หลั่งไหลของแม่น้ำใหญ่มีพลังเร้นลับยากหยั่งถึง ยามทะยานตัวบนนั้นจะมีฟองคลื่นปรากฏไม่รู้จบ ตบโจมตีสภาวะจิตของผู้ฝึกปราณ
สภาวะจิตไม่มั่นคงก็จะพบเจอภัยพิบัติสุดหยั่ง เบาหน่อยก็บาดเจ็บสาหัส คว้าน้ำเหลวกลับไป หนักหน่อยก็สภาวะจิตพังทลาย ร่างดับมรรคสลาย
ในสามด่านของโลกภัยพิบัติ ด่านเคาะใจเป็นด่านที่อันตรายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
และคิดจะผ่านด่านนี้ก็ต้องข้ามแม่น้ำใหญ่สายนี้ไปให้ได้
ขณะนี้ในพื้นที่ริมฝั่ง แม้จะมีเงาร่างมากมายยืนอยู่ แต่กลับไม่มีใครไปข้ามด่าน มีบางส่วนเป็นผู้ที่ข้ามด่านล้มเหลว ถูกขังอยู่ที่นี่มาตลอด
และมีบางส่วนที่รู้ตัวว่าสภาวะจิตไม่พร้อม ไม่กล้าลองเสี่ยงบุ่มบ่าม
ยามหลินสวินและซย่าจื้อมาถึงติดๆ กันก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณเหล่านี้เช่นกัน สายตาไม่น้อยหันมาสำรวจทั้งคู่
แต่ส่วนใหญ่เพียงแค่ใคร่รู้เท่านั้น ไม่ได้มีแววเป็นศัตรู
ถึงอย่างไรในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ทุกๆ ระยะเวลายาวนานช่วงหนึ่งจึงจะจะปรากฏผู้ที่สามารถมาถึงด่านเคาะใจแห่งนี้ได้สักครั้ง
แต่วันนี้ถึงกับมีชายหญิงคู่หนึ่งมาถึงต่อเนื่องกัน นี่ย่อมทำให้ผู้คนแปลกใจยิ่ง
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ กล่าวกับซย่าจื้อว่า “ยังคงให้เจ้าไปก่อนดีกว่า จำไว้ว่าต้องใช้พลังเต็มกำลัง มีเพียงทำเช่นนี้จึงจะได้รับผลมรรคแรกกำเนิดที่อัศจรรย์ยิ่งกว่า”
หลังผ่านด่านเคาะใจก็สามารถชักนำผลมรรคแรกกำเนิดผลหนึ่งได้ และออกจากประตูสวรรค์ของโลกภัยพิบัติแห่งนี้เข้าสู่โลกชั้นที่สาม และยิ่งเวลาที่ใช้ข้ามแม่น้ำน้อยเท่าไร ผลมรรคแรกกำเนิดที่ชักนำมาได้ก็ยิ่งอัศจรรย์เท่านั้น
ซย่าจื้อพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเดินตรงไปข้างหน้า เงาร่างปรชรก้าวไปบนห้วงอากาศสูง แผ่วเบาล่องลอยดุจเซียนงดงามไร้ทัดเทียมคนหนึ่ง
“เพิ่งมาถึงก็จะข้ามด่านแล้วหรือ”
คนไม่น้อยตกใจ ถูกการกระทำของซย่าจื้อดึงดูด ไม่รู้ควรบอกว่านางใจกล้าหรือไร้เกรงกลัวกันแน่
ครืน…
ในแม่น้ำใหญ่ระลอกคลื่นดุจหิมะ พุ่งทะยานขึ้นตบโจมตีใส่ซย่าจื้อเต็มๆ ทว่ากลับไม่ได้ซัดใส่ร่างของนาง หากแต่ซัดโจมตีสภาวะจิตของนางตรงๆ
เงาร่างซย่าจื้อนิ่งงันเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนปรับตัวกับการโจมตีเช่นนี้ได้ สองขาเรียวยาวก้าวออกไป เพียงไม่กี่ลมหายใจก็เผชิญหน้ากับเกลียวคลื่นที่หอบม้วนนั้น และไปถึงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำอันกว้างใหญ่แผ่ไพศาลสายนั้น!
บริเวณริมฝั่งฮือฮาทันที เสียงร้องตกใจดังทั่วทิศ
พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ถูกขังหน้าด่านนี้ไม่รู้กี่กาลเวลาเหล่านั้นล้วนสะท้านสะเทือนอย่างไม่อาจเลี่ยง ปากอ้าตาค้าง
หนึ่งก้าวทะยานฟ้า ลอยข้ามธาราไป!
มาดระดับนี้ทำเอาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนรู้สึกละอายในความอ่อนด้อยของตนอย่างไม่อาจเลี่ยง
หลินสวินยังลอบทอดถอนใจกับตัวเอง สภาวะจิตของซย่าจื้อเฉกเช่นคันฉ่องที่ผ่องแผ้วไร้มลทิน และเพราะความบริสุทธิ์หมดจดของมันจึงเห็นชัดว่าแข็งแกร่งปานนั้น
แม้ว่าด่านเคาะใจแห่งนี้จะอันตราย แต่กลับไม่ยากเกินมือซย่าจื้อสักนิด
ริมฝั่งตรงข้ามในเวลานี้ ทันทีที่เงาร่างซย่าจื้อยืนมั่นก็มีละอองแสงแรกกำเนิดที่เร้นลับยากหยั่งถึงเป็นระลอกๆ ไหลหลั่ง อาบชโลมเงาร่างของนางไว้ภายใน
นั่นคือพลังของผลมรรคแรกกำเนิด!
และเหนือศีรษะของซย่าจื้อก็ปรากฏประตูสวรรค์บานหนึ่ง ดุจดั่งสูงไกลไร้สิ้นสุด
ภาพนี้ทำเอาผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนอิจฉาอย่างไม่อาจเลี่ยง ถึงขั้นหมองเศร้าบาดจิตอยู่บ้าง
พวกเขามาถึงที่นี่ไม่รู้กี่ปีแล้ว สิ่งที่เฝ้าปรารถนาก็คือข้ามธาราเข้าประตูสวรรค์ไป แต่จนบัดนี้ไม่เคยทำได้
แต่ซย่าจื้อเพิ่งมาถึงก็ทำสำเร็จอย่างง่ายดาย จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกซับซ้อนได้อย่างไร