ตอนที่ 3170 ทิ้งชีวิตไว้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3170 ทิ้งชีวิตไว้

น้ำพุมืดมน

สถานที่ต้องห้ามที่แทบไม่เป็นที่รู้จักแห่งหนึ่งในโลกมืดมน

ที่นั่นซ่อนของต้องห้ามระดับไหนเอาไว้กันแน่

ชายชราชุดขาวไม่รู้

เขารู้เพียงว่าริมฝั่งของน้ำพุมืดมนมีราชันวิญญาณหมอกที่น่ากลัวถึงขีดสุดตนหนึ่งจำศีลอยู่!

ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้นานมาก ชายชราชุดขาวเคยพาคนมุ่งหน้าไปสำราจ แต่อยู่ไกลๆ ยังไม่ทันเฉียดไปใกล้ก็ถูกราชันวิญญาณหมอกนั่นสังเกตเห็นเข้า

กระทั่งต้องเสียขั้นไร้ขอบเขตไปสามคน พวกชายชราชุดขาวถึงหลบหนีเคราะห์นี้พ้น

นับแต่นั้นพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่อัปมงคลแถบนั้นอีก

“พี่ถูซาน”

ทันใดนั้นนอกโถงใหญ่มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้น

ชายชราชุดขาวที่นั่งบนที่นั่งใจกลางเก็บภาพภูมิลักษณ์หนังสัตว์ในมือลง สายตามองไปยังเงาร่างสายหนึ่งที่เดินเข้าโถงมาอย่างเร่งรีบ

นี่คือชายชุดเทาใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่ง

“เมื่อครู่ชิ่งขุยส่งข่าวมา บอกว่าหลินสวินปรากฏตัวแล้ว!”

ชายชุดเทาดูเหมือนดีใจมาก น้ำเสียงยังเจือแววยินดี

หลินสวิน!

ชายชราชุดขาวนัยน์ตาหดรัด กลับไม่เห็นแววดีใจแม้แต่น้อย ตรงข้ามกลับขมวดคิ้วกล่าว “ตัวปัญหาตึงมือคนนี้มาแล้วจริงๆ…”

“ตึงมือหรือ”

รอยยิ้มชายชุดเทาหุบลง กล่าวว่า “นี่พี่ถูซานคิดว่าพวกพ้องห้าสิบเจ็ดคนจากภาคีอาคเนย์ของพวกเราที่กระจายตัวในโลกมืดมนแห่งนี้ ลงมือพร้อมกันยังจะพบเจอปัญหาอีกหรือ”

“หากจัดการกับคนทั่วไป นายท่านไม่มีทางออกคำสั่งให้พวกเราลงมือเต็มกำลังเด็ดขาด แต่หลินสวินนี่… หาใช่ธรรมดา เขาเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ถูกมองเป็นตัวแปรที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้ข่าวจากโลกแปรปุถุชน บอกว่าหลินสวินนี่กวาดล้างรูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งร่วมทั้งห้าสายไปแล้ว ชักนำผลมรรคแรกกำเนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ ผลงานของเขาล้วนสามารถเทียบรัศมีกับเจ้าลัทธิในปีนั้นได้!”

ชายชราชุดขาวกล่าวเนิบๆ “คนน่ากลัวเช่นนี้มีหรือจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนั้น”

ชายชุดเทายังอึ้งไป สีหน้าวูบไหว เขาเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา

เนิ่นนานเขาเอ่ยเสียงต่ำลึก “พี่ถูซาน เช่นนั้นท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร”

ชายชราชุดขาวหยิบภาพภูมิลักษณ์หนังสัตว์อออกมาแล้วกล่าว “เจ้าลองบอกข้าหน่อยซิ เจ้านี่ปรากฏตัวที่ไหน และมุ่งไปยังทิศทางใด”

ชายชุดเทาก้าวเข้ามาทันที ชี้ไปยังสถานที่ที่กำกับว่า ‘เขาเพลิงเขียว’ บนภาพภูมิลักษณ์หนังสัตว์ กล่าวว่า

“ชิ่งขุยบอกว่าหลินสวินและผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวบริเวณที่ห่างจากเขาเพลิงเขียวหนึ่งพันสามร้อยลี้ พวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยกัน หากไม่เปลี่ยนทิศจะต้องผ่านเทือกเขาซากกระดูก เขาเทพสังหาร ทะเลทรายวิญญาณเพลิงเป็นแน่…”

เขาหยุดไปแล้วค่อยกล่าวต่อ “โลกมืดมนสายหมอกหนาทึบ พวกเขาไม่กล้าใช้วิธีเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศแน่ และหากเป็นการท่องทะยาน ความเร็วของพวกเขาย่อมต้องช้าลงอย่างมาก หากคิดไล่ตามพวกเขาก็หาใช่เรื่องยาก”

ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกปราณภาคีอาคเนย์ของพวกเขาสำรวจและตรวจสอบพื้นที่มากมายในโลกมืดมนแห่งนี้ไปนานแล้ว

ต่อให้สายหมอกหนาทึบ สำหรับพวกเขาก็สามารถระบุพื้นที่แบบเจาะจงได้

“ออกจากบริเวณใกล้เคียงเขาเพลิงเขียว มุ่งหน้าไปทิศตะวันตกเฉียงใต้…”

จู่ๆ ชายชราชุดขาวก็เผยสีหน้าประหลาด “เจ้าว่า หากพวกเราเคลื่อนไหวกองกำลัง ล่อพวกเขาไปบริเวณใกล้ๆ น้ำพุมืดมน อาศัยพลังของราชันวิญญาณหมอกนั่นไปจัดการพวกเขาเป็นอย่างไร หากเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่ต้องต่อสู้กับหลินสวินนี่ ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตาย”

นัยน์ตาชายชุดเทาวาววับ กล่าวว่า “ยืมดาบฆ่าคนเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่พวกเราควรล่อพวกเขาเข้าไปอย่างไร”

ชายชราชุดขาวนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เมื่อตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ให้จบสิ้นในคราวเดียว หาไม่หากโจมตีพลาดกลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”

เขากล่าวพลางหยัดตัวลุกขึ้นจากที่นั่งกล่าวว่า “โหย่วเจียง เจ้าไปกระจายข่าว เรียกรวมพลภาคีอาคเนย์ทุกคนมารวมตัวกันที่หน้าเขาเทพสังหาร”

ในใจชายชุดเทาสั่นสะท้าน กล่าวว่า “ต้องใช้กำลังทั้งหมดจัดการจริงๆ หรือ”

นัยน์ตาขุ่นมัวของชายชราชุดขาวเป็นเปลี่ยนคมกริบดุจกระบี่ทันที “จัดการกับคนอันตรายเช่นนี้ย่อมต้องเดินหน้าเต็มกำลัง ห้ามออมมือใดๆ!”

ชายชุดเทาที่ถูกเรียกว่าโหย่วเจียงพยักหน้าน้อยๆ

พยับหมอกหนาทึบ โบกปัดไม่จางหาย

หนึ่งชั่วยามให้หลัง

ตูม!

พยับหมอกพลิกม้วน วิญญาณหมอกตนหนึ่งเพิ่งเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียงก็ถูกฝ่ามือหลินสวินจับกุมราวกับรู้ล่วงหน้า

พลังฝ่ามือของเขาดุจเหวใหญ่ แม้ว่าพลังของวิญญาณหมอกนี้จะเทียบเท่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ แต่ก็ทนหนึ่งฝ่ามือเช่นนี้ไม่ไหว ถูกกำราบเก็บไปแล้ว

“ข้าก็มีวิญญาณหมอกห้าสายแล้ว”

หลินสวินยิ้มกล่าว

ในหนึ่งชั่วยามนี้เขาและซย่าจื้อเดินทางเลาะไปยังทิศทางหนึ่งไม่หยุด ระหว่างทางพบเจอการโจมตีจากวิญญาณหมอกไม่น้อย แต่ล้วนถูกพวกเขากำราบได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีข้อยกเว้น

ถึงตอนนี้ทั้งคู่ล้วนครอบครองวิญญาณหมอกคนละห้าสายแล้ว

และอิงจากความเร็วเช่นนี้ ไม่พ้นสิบชั่วยามพวกเขาคงรวบรวมวิญญาณหมอกคนละสี่สิบเก้าสาย และมีโอกาสไปจากโลกมืดมนแห่งนี้แล้ว

“ที่นี่นอกจากพยับหมอกปิดขวางพลังสัมผัสแล้วก็ไม่ถึงขั้นอันตรายเกินไป เทียบกับโลกแปรปุถุชนกับโลกภัยพิบัติยังน่าเบื่ออยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด”

ซย่าจื้อกล่าวเสียงเบา

หลินสวินยกยิ้ม สำหรับขั้นไร้ขอบเขตใหญ่คนอื่นๆ ที่นี่ย่อมอันตรายถึงขีดสุด แต่สำหรับเขาและซย่าจื้อกลับไม่ถึงขั้นมีภัยคุกคามเท่าไรจริงๆ

ก็เป็นเวลานี้เอง…

สวบ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางพยับหมอก แสงมรรคกร้าวแกร่งแหวกความมืด เจิดจ้าบาดตา ดุกร้าวไร้ขอบเขต

และพร้อมกับปราณกระบี่ที่ทะยานออกไป บริเวณอื่นๆ ยังมีทวนศึกสีเขียว ทะเลเพลิงสีเงิน เตาหลอมสีดำ อสนีสีทองปรากฏออกมา แต่ละอย่างปลดปล่อยอานุภาพกฎระเบียบไร้ขอบเขตออกมา โถมเข้าใส่หลินสวินและซย่าจื้อพร้อมกัน

ตูม โครม…

ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน พยับหมอกพลิกม้วน แสงมรรคเจิดจรัสบาดตาปะปนกับไอสังหารน่าสะพรึง ระเบิดปะทุพร้อมกันราวกับภูเขาไฟหนึ่งแสนลูก

นี่คือเคราะห์สังหารที่สั่งสมไว้นานแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!

ในฟ้าดินที่พยับหมอกหนาหนัก ตัดขาดการสัมผัสของจิตรับรู้นี้ มักมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต

แต่หลินสวินและซย่าจื้อกลับเยือกเย็นไม่แพ้กัน สีหน้าไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงสักเสี้ยว

ยามเคราะห์สังหารมาเยือน หลินสวินก้าวเท้าออกไป แขนเสื้อโบกสะบัด เจตกระบี่ไร้สิ้นสุดไหลหลั่งออกมาราวดวงดาวนับไม่ถ้วนพร่างพรมฟ้าดารา

ส่วนมือเรียวของซย่าจื้อโบกคราหนึ่ง แม่น้ำกาลเวลาซัดโถมออกไป เวิ้งว้างไพศาล คุ้มครองนางและหลินสวินไว้ภายใน นี่ถึงกับเป็นการใช้ประโยชน์ของ ‘ประทับผนึกเวลา’!

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงระเบิดปะทะแน่นขนัดระลอกหนึ่งดังก้องดุจฟ้าร้อง ก็เห็นปราณกระบี่เจิดจ้านั่นทลายเป็นผุยผง ทะเลเพลิงสีเงินมลายหายไปดุจสายฝน อสนีสีทองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนทวนศึกสีเขียว เตาหลอมสีดำนั่นยิ่งได้รับความเสียหายหนักจนไม่อาจซ่อมได้ ถูกซัดกระเด็นออกไปแรงๆ ท่ามกลางเสียงครวญคร่ำรุนแรง

และเมื่อเจตกระบี่ไร้สิ้นสุดที่หลินสวินโบกแขนเสื้อซัดแผ่กว้างออกไป ในพยับหมอกบริเวณใกล้เคียงเกิดเสียงปั่นป่วน มีเสียงกรีดร้อง มีเสียงตะโกนเดือดดาล มีเสียงร้องอึดอัดในคอ…

เวลานี้พยับหมอกในพื้นที่ใกล้เคียงล้วนถูกบดขยี้หายลับไป ทิวทัศน์ของฟ้าดินก็เปลี่ยนเป็นมองเห็นชัดเจนขึ้นเช่นกัน ก็เห็นเงาร่างหลายสายรวมตัวอยู่ด้วยกัน เผ่นหนีไปไกลๆ

โจมตีพลาดก็รีบหนีทันที!

“เหตุใดคนพวกนี้จึงลงมือกับพวกเรา”

“จับพวกเขามาถามดูก็รู้แล้ว”

ขณะกล่าวหลินสวินออกเคลื่อนไหวแล้ว ซย่าจื้อก็ตามไปติดๆ เช่นกัน

ยามเงาร่างพวกเขาเพิ่งจากไปไม่นาน พื้นที่แถบนี้ก็ถูกพยับหมอกปกคลุมอีกครั้ง

ศัตรูเหล่านั้นหนีเร็วยิ่ง เสมือนไม่กลัวว่าจะถูกวิญญาณหมอกที่กระจายในพยับหมอกนี่หมายหัวสักนิด

นี่ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ จิตรับรู้ใช้การไม่ได้ ทำให้เขาได้รับผลกระทบขณะไล่ตาม

แต่ยังดีที่ยามศัตรูแหวกอากาศเผ่นหนีทำให้เกิดการเคลื่อนไหวมากมาย และมีร่องรอยตกค้างในสายหมอกนี้

ขอเพียงตามร่องรอยเหล่านี้ไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะคลาดกันแล้ว

ขณะไล่ตามหลินสวินระบุได้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามมีทั้งหมดหกคน เห็นชัดว่ามาจากฝ่ายเดียวกัน ทั้งยังคุ้นเคยกับอาณาเขตโลกมืดมนแห่งนี้อย่างที่สุด…

และวิธีต่อสู้ที่เมื่อโจมตีพลาดก็หลบหนีทันทีของอีกฝ่าย ก็ทำให้มองออกว่าพวกเขาน่าจะเคยทำเรื่องทำนองนี้ในโลกมืดมนมาไม่น้อย เจนจัดช่ำชองนานแล้ว

ไม่ถูก!

แต่ไม่นานหลินสวินก็ตระหนักถึงปัญหาบางอย่าง

ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ที่ทำเรื่องเข่นฆ่าเช่นนี้เป็นประจำ จะทิ้งร่องรอยไว้มากมายเช่นนี้ขณะหลบหนีได้อย่างไร

หากเปลี่ยนเป็นคนปกติ ย่อมต้องซัดกวาดหมอกให้ปั่นป่วนขณะหลบหนี ลบร่องรอยการหลบหนีเพื่อให้ศัตรูตามไม่เจอ

‘หรือคนพวกนี้จงใจล่อให้ข้าไล่ตามมา’

นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง

คิดถึงตรงนี้เขาชะงักเท้าโดยพลันแล้วกล่าวกับซย่าจื้อ “สถานการณ์ชอบกลอยู่บ้าง อย่าเพิ่งไล่ตาม”

“เจ้าสงสัยว่าพวกเขาจงใจล่อพวกเราหรือ” ซย่าจื้อกล่าว

“น่าจะเป็นเช่นนั้น”

นัยน์ตาหลินสวินวาววับ “ในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ ศัตรูข้ามีไม่ใช่น้อย แต่ที่กระจายในโลกมืดมนแห่งนี้ ซ้ำยังมาจากฝ่ายเดียวกันกลับน้อยมาก หากข้าเดาไม่ผิด พวกคนเมื่อครู่นั่นต้องเป็นทูตชะตาสวรรค์ใต้บัญชาราชันไท่ชูแน่”

เขาเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “ยามพวกเราเพิ่งมาถึงข้าก็สัมผัสได้ว่าคล้ายจะมีคนสอดแนมพวกเราในมุมมืด ตอนนี้ดูท่าน่าจะเป็นคนจากฝ่ายตรงข้าม เป็นเพราะเจ้าหมอนั่นบอกทิศทางเคลื่อนไหวของพวกเรา ถึงได้เจอการซุ่มโจมตีนั่น”

“เพียงแต่เหตุใดเขาต้องล่อพวกเรา แต่ไม่ต่อสู้กับพวกเราตรงๆ” ซย่าจื้อกล่าว

หลินสวินคิดๆ แล้วกล่าว “หากใช้กลอุบายบางอย่างก็สามารถเอาชนะพวกเราได้ ไยต้องเอาชีวิตมาสู้ตัดสินเป็นตายกับพวกเราเล่า สรุปแล้วศัตรูพวกนี้มีเจตนาแอบแฝง หากพวกเราไล่ตามไป สิ่งที่เจออาจเป็นเคราะห์สังหารที่ไม่อาจคาดเดา”

“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร” ซย่าจื้อถาม

แววตาหลินสวินลุ่มลึกเย็นเยียบ “แผนของศัตรูล้มเหลว ย่อมต้องเคลื่อนไหวอีกแน่ พวกเรารอก่อนก็พอ ห้ามให้พวกเขาจูงจมูกเด็ดขาด”

“เช่นนั้นไปสังหารวิญญาณหมอกต่อหรือ”

“ตรงกับความต้องการของข้าพอดี”

หลินสวินระบายยิ้ม จากนั้นมุ่งหน้าไปกลางพยับหมอกไกลออกไปพร้อมกับซย่าจื้อ

เพียงหนึ่งถ้วยชาให้หลัง

บริเวณที่หลินสวินและซย่าจื้อยืนอยู่ก่อนหน้านี้มีเงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏ พวกเขาล้วนมีบาดแผลตามตัวไม่มากก็น้อย ล้วนเป็นรอยกระบี่

คนเหล่านี้เป็นศัตรูที่ถูกหลินสวินไล่ล่าก่อนหน้านี้

“คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมองออกแล้ว…”

มีคนเอ่ยปากสีหน้าอึมครึม

คนอื่นๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาระลอกหนึ่งเช่นกัน

พักใหญ่มีคนกล่าวเสียงขรึม “ตามความเห็นข้า พวกเราไปเขาเทพสังหารก่อน บอกเรื่องราวให้พี่ถูซานฟัง ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ”

“ก็ดี”

คนอื่นๆ ล้วนตกลง

แต่ก็เป็นเวลานี้ที่เสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้น “อยากไปย่อมได้ ทิ้งชีวิตไว้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท