ราชันวิญญาณหมอก!
พวกถูซานเหลิ่งสูดหายใจหนาวเยือก
เมื่อนานมาแล้วพวกเขาก็เคยเห็นความน่ากลัวของสิ่งมีชีวิตแสนดุร้ายนี้ รู้ดีว่านอกจากจอมมรรคไร้ขอบเขตมาด้วยตัวเอง มิฉะนั้นก็ไม่มีใครกำราบสัตว์ร้ายนี้ได้
พวกเขาหันหลังหนีตามจิตใต้สำนึกทันที ไม่กล้ารั้งอยู่โดยสิ้นเชิง
ขณะกำลังหนีถูซานเหลิ่งพลันสังเกตเห็น หลินสวินกับหญิงสาวข้างกายนั่นกลับไม่จากไป
ภาพต่อมายิ่งทำให้ถูซานเหลิ่งอึ้งงัน
ด้วยตอนนี้หลินสวินทะยานขึ้นฟ้า ถึงกับจู่โจมไปทางราชันวิญญาณหมอก!
“เขา…”
ถูซานเหลิ่งกับทุกคนข้างกายเขาล้วนหยุดเท้า สีหน้าตื่นตะลึงไปพักหนึ่ง
“เขาจะรนหาที่ตายหรือ”
มีคนเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าทุกคนพลันแปรเปลี่ยน
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดล่อหลินสวินมา เดิมก็คิดยืมดาบอย่างราชันวิญญาณหมอกกำจัดหลินสวิน
แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าวิญญาณหมอกนับร้อยนั่นไม่อาจปิดล้อมหลินสวิน แผนการของพวกเขาจบสิ้นเพียงเท่านี้ เตรียมประกาศรับความพ่ายแพ้
เดิมพวกเขาคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินคงเลือกถอยร่น ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับพุ่งเข้าหาราชันวิญญาณหมอกนั่นด้วยตัวเอง!
สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง กระทั่งรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“เคยเจอพวกหาเรื่องใส่ตัว แต่ไม่เคยเจอพวกหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ นี่กลับเป็นว่าช่วยพวกเราได้มาก!”
โหย่วเจียงยิ้มเย็นขึ้นมา
เวลานี้พวกเขาต่างไม่รีบหนีแล้ว
ตูม!
ห่างออกไปหลินสวินต่อสู้ดุเดือดกับราชันวิญญาณหมอก ฟ้าดินแถบนั้นปั่นป่วน แสงมรรคพุ่งสาดเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ลักษณ์ประหลาดชวนตะลึง
ก็เห็นว่าบนตัวหลินสวินมีแสงมรรคอบอวล สง่างามโดดเด่น ยามขยับตัวเหมือนนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่ควบคุมหมื่นมรรคทั่วหล้า อานุภาพน่าหวาดกลัว
ส่วนราชันวิญญาณหมอกนั้นก็ไม่อาจดูถูกได้ง่ายๆ เงาร่างสูงหมื่นจั้งหลั่งชโลมด้วยไอคลุมเครือ วิวัฒน์เป็นพลังกฎระเบียบน่าเหลือเชื่อนานัปการ ปั่นป่วนฟ้าดินแถบนั้น
“ดี!”
ในการต่อสู้นัยน์ตาหลินสวินเป็นประกาย นั่นคือความรู้สึกฮึกเหิมว่าในที่สุดก็เจอคู่ต่อสู้อย่างหนึ่ง
เขาไม่เก็บงำอีก สู้กับราชันวิญญาณหมอกเต็มกำลัง
ตั้งแต่เข้าสู่โลกแปรปุถุชนจนปัจจุบัน มรรควิถีทั้งตัวเขาเลื่อนขั้นมาหลายครั้ง เคยได้รับผลมรรคแรกกำเนิดมาสองครั้ง เคยทำให้สภาวะจิตเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทั่ง ‘จิตท่องหมื่นเร้น ใจท่องหมื่นกาล’ ในการต่อสู้กับวิชามรรคของอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมล ทั้งเคยมองทะลุหยั่งรู้ยอดมรรคาบนตัวคู่ต่อสู้ทุกคนในการต่อสู้มหามรรค…
การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งทำให้พลังต่อสู้ที่หลินสวินมียกระดับหลายครั้งนานแล้ว
กระทั่งตอนนี้ตัวหลินสวินเองยังไม่แน่ใจอยู่บ้างว่าพลังต่อสู้ของตนแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่
ถึงอย่างไรกระทั่งเข้าสู่โลกมืดมนนี้เขาก็ไม่เคยเจอพวกที่พอจะประลองกันได้
ตอนนี้การปรากฏตัวของราชันวิญญาณหมอกย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัย
โดยเฉพาะยามห้ำหั่นต่อสู้กับอีกฝ่าย หลินสวินยิ่งรู้สึกได้ว่าบนตัวอีกฝ่ายมีพลังต้นกำเนิดลึกลับอยู่ ทำให้พลังของราชันวิญญาณหมอกนี้ต่างไปโดยสิ้นเชิง แข็งแกร่งจนเหนือความคาดหมาย
หลินสวินถึงขั้นสงสัย ว่าต่อให้เป็นจอมมรรคไร้ขอบเขตก็คงด้อยกว่าราชันวิญญาณหมอกนี้อยู่บ้าง
เหตุผลนั้นง่ายมาก บุคคลระดับจอมมรรคไร้ขอบเขตแค่ครองอานุภาพ ‘หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค’
เหมือนรูปจำลองวิชามรรคอันดับหนึ่งทั้งห้า ในระเบียบมรรควัฏจักรของโลกแปรปุถุชนที่ครองพลังระดับนี้
แต่ตอนอยู่โลกแปรปุถุชนหลินสวินก็เอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด!
เทียบกันแล้วพลังที่ราชันวิญญาณหมอกเผยออกมายามนี้ กลับเห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าช่วงหนึ่ง
ความแข็งแกร่งนี้ใช่ว่ามาจากตัวราชันวิญญาณหมอก แต่เป็นอานุภาพจากพลังต้นกำเนิดที่ติดตัว
กล่าวอีกนัยคือราชันวิญญาณหมอกนี้กำลังยืมใช้พลังต้นกำเนิดบางอย่าง!
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลินสวินพอใจ
คู่ต่อสู้ทั่วไปไหนเลยจะมีพลังพอจะประลองกันเช่นนี้
ตูม… โครม…
การต่อสู้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิมแล้ว ฟ้าดินแถบนั้นกลายเป็นภาพอลหม่านพลิกตลบ
เมื่อเห็นหลินสวินห้ำหั่นกับราชันวิญญาณหมอกได้ถึงขั้นนี้ ในใจพวกถูซานเหลิ่งพลันหนาวเยือกราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
หากรู้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเขามีหรือจะกล้าบุ่มบ่าม
กระทั่งในใจพวกเขาหลายคนยังมีความรู้สึกว่าโชคดี ด้วยก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปปะทะกับหลินสวิน มิฉะนั้นผลลัพธ์คงเป็นสิ่งที่ใครต่างก็แบกรับไม่อยู่!
“ไป ต้องจากไปโดยเร็ว ถ้ารอจนหลินสวินรู้สึกตัว พวกเราคิดหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว”
ถูซานเหลิ่งอยู่เฉยไม่ได้แล้ว หันหลังจะจากไป ไม่กล้าอยู่ชมการต่อสู้ต่อ
คนอื่นเห็นดังนี้มีหรือจะกล้าลังเลอีก หนีตามไปยังที่ห่างไกล
ซย่าจื้อเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา แต่ไม่ได้ตามไปไล่ล่า เปรียบเทียบกับศัตรูพวกนั้นแล้ว นางสนใจความปลอดภัยของหลินสวินมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นในโลกมืดมนนี้ ภายหน้ายังมีโอกาสจัดการศัตรูพวกนั้นอีก
ตูม!
ผ่านไปครึ่งเค่อราชันวิญญาณหมอกสูงหมื่นจั้งยืนหยัดไม่อยู่ ร่างพังทลาย ไอขุ่นมัวโหมกระหน่ำ
“อย่าตีอีกเลยๆ ข้ายอมแพ้!”
เสียงเด็กอ่อนเยาว์ดังขึ้นกลางพยับหมอกโหมกระหน่ำ
หลินสวินอึ้งงัน เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าตรงบริเวณที่ร่างของราชันวิญญาณหมอกซ่านสลาย มีหยดน้ำขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่ เปล่งประกายพร่างพราว อบอวลด้วยกลิ่นอายลึกลับเป็นริ้วๆ
เสียงเด็กก่อนหน้านี้ก็ดังมาจากหยดน้ำนี่
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า พริบตาก็มาถึงหน้าหยดน้ำนี้ กล่าวอย่างสนอกสนใจ “เจ้าเป็นตัวอะไร”
เขาแปลกใจมากจริงๆ ราชันวิญญาณหมอกถึงกับวิวัฒน์มาจากหยดน้ำ หยดน้ำนี้มีที่มาอย่างไร
“ข้าไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นวิญญาณ”
เสียงเด็กอ่อนเยาว์ชัดกระจ่างดังออกมาจากหยดน้ำ “ก่อเกิดจากบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกนี้ ครอบครอง ‘พลังมืดมน’ ของกฎระเบียบแรกกำเนิดอย่างสมบูรณ์”
“แบบเดียวกับวิญญาณระเบียบหรือ”
หลินสวินแปลกใจ
เขารู้แค่ว่าพลังระเบียบให้กำเนิดร่างวิญญาณตามธรรมชาติได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่บ่อเกิดแรกกำเนิดในแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ยังถึงกับให้กำเนิดวิญญาณกฎระเบียบแรกกำเนิดได้ด้วย!
“เจ้าเข้าใจแบบนั้นก็ได้ แต่ข้าคือบรรพชนของกฎระเบียบสายหนึ่ง สามารถวิวัฒน์เป็นแดนนิรันดร์ ทั้งกลายเป็นบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกใหญ่แห่งหนึ่งได้ กระทั่งวิวัฒน์ออกมาเป็นพลังหมื่นมรรคของโลกนี้ พลังระเบียบพวกนั้นล้วนเกิดมาเพราะข้า สิ่งสำคัญที่สุดคือข้ามีสติปัญญา”
หยดน้ำลอยล่องกลางห้วงอากาศ เสียงชัดกระจ่างเจือท่วงทำนองเฉพาะตัว
หลินสวินตกตะลึงในใจ หากเป็นเช่นนี้พลังที่หยดน้ำตรงหน้านี้ครอบครองก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณระเบียบเทียบได้จริงๆ
“เช่นนั้นเจ้าสร้างมรรคที่ไม่เคยมีบนโลกได้หรือไม่”
หลินสวินอดถามไม่ได้
เสียงจากหยดน้ำกล่าว “ไม่ได้ ข้าเป็นแค่วิญญาณที่เกิดจากบ่อเกิดแรกกำเนิด การสร้างมรรคที่เจ้าพูดถึงมีแค่บ่อเกิดแรกกำเนิดที่ทำได้”
หลินสวินเข้าใจแล้ว หยดน้ำนี้ก็เหมือนผลมรรคแรกกำเนิด ล้วนก่อเกิดออกมาจากบ่อเกิดแรกกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์
ความแตกต่างของทั้งสองคือผลมรรคแรกกำเนิดแฝงกฎระเบียบแรกกำเนิดอันสมบูรณ์สายหนึ่ง ส่วนหยดน้ำนี้ก็เป็นร่างวิญญาณของกฎระเบียบแรกกำเนิดสายหนึ่ง!
ก็เหมือนความแตกต่างของพลังระเบียบกับวิญญาณระเบียบ
“เจ้ามีชื่อหรือไม่”
ซย่าจื้อเดินมาแต่ไกล นัยน์ตาใสกระจ่างจ้องมองหยดน้ำนั้น เอ่ยถามอย่างสงสัย
นางเพิ่งเคยเจอร่างวิญญาณที่โดดเด่นและลึกลับเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“แน่นอนว่ามี เมื่อนานมาแล้วมีมือกระบี่คนหนึ่งเคยมาโลกนี้…”
ขณะกล่าวหยดน้ำพลันกลอกกลิ้งหมุนวน เงาแสงแถบหนึ่งปรากฏออกมา กลายเป็นภาพต่างๆ…
ในภาพมีชายคนหนึ่งนั่งยิ้มอยู่หน้าน้ำพุ ดวงตาจ้องมองหยดน้ำที่นิ่งไม่ขยับราวเครื่องแก้วในนั้น คล้ายพบสิ่งน่าสนใจที่สุดบนโลก ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ชายคนนี้สวมชุดสีน้ำตาลทั้งตัว ใช้ปิ่นกระบี่ไม้สามชุ่นเล่มหนึ่งเกล้ามวยผมยาวไว้ลวกๆ เครื่องหน้าทั้งห้าเกลี้ยงเกลา แววตากระจ่างใส ทั่วร่างมีกลิ่นอายโดดเด่นอิสระสบายๆ
เขานั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ กะพริบตายิ้มมองตาหยี ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหัวเราะพลางกล่าว ‘เจ้าตัวน้อย ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของเจ้ายังไม่ได้ตื่นรู้อย่างแท้จริง แต่เจ้าต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของข้าแน่ หากข้าพูดถูก เจ้าจงกระโดดมาอยู่ในมือข้า’
เขายื่นมือขวาออกมา
หยดน้ำนั้นขยับเล็กน้อย กระโดดไปอยู่กลางฝ่ามือของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ‘น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่หากพาเจ้าไปตอนนี้ย่อมตัดความหวังในการแปรสภาพตื่นรู้ของเจ้า เอาอย่างนี้ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า รอภายหน้าเมื่อเจ้าปลุกจิตวิญญาณ หากพวกเรายังมีโอกาสเจอกันอีก แค่เรียกชื่อข้าก็จำเจ้าได้แล้ว’
หยดน้ำนั้นกลิ้งไปกลิ้งมากลางฝ่ามือชายหนุ่ม ดูเหมือนเฝ้ารอการมีชื่อนัก
‘เช่นนั้น… เรียกเจ้าว่ากุ๋นกุ่นดีไหม’ (*กุ๋นกุ่น ภาษาจีนแปลว่า กลิ้งไปกลิ้งมา)
ชายหนุ่มกล่าวหยอกล้อ
หยดน้ำน้อยสั่นไหวขึ้นมา กระโดดอย่างต่อเนื่อง คล้ายแสดงออกว่าคัดค้าน
นี่ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้กล่าวว่า ‘เจ้ามีจิตวิญญาณเช่นนี้ ทั้งเกิดจากโลกมืดมน วันหน้าหลังตื่นรู้ต้องฉายแววอัศจรรย์แน่ ซ้ำวันนี้ยังทำให้ข้าเจอเจ้าอีก เอาอย่างนี้ เจ้าชื่อว่า… ‘หลิงหยวน’ เกิดมามีจิตวิญญาณ (หลิง) วาสนาฟ้าประทาน (หยวน) หวังว่าภายหน้าพวกเราจะมีวาสนามาเจอกันอีก’
วู้ม…
เจ้าหยดน้ำม้วนตัวกลางฝ่ามือชายหนุ่มอย่างเริงร่า
เห็นชัดว่ายอมรับชื่อนี้
ชายหนุ่มคิดดูครู่หนึ่งแล้วหยิบกระบี่ไม้ที่ปักมวยผมลงมา เมื่อดีดนิ้วคราหนึ่ง กระบี่ไม้พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของน้ำพุนั่น
เขาชี้ไปทางกระบี่ไม้นั้นพลางกล่าว ‘ภายหน้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเก็บกระบี่นี้ได้ เจ้าจงตามเขาไป ให้เขาพาเจ้าออกไปจากแหล่งสถานอัศจรรย์นี้’
ชายหนุ่มพูดจบแล้วประคองเจ้าหยดน้ำขึ้นมา วางกลับเข้าไปในน้ำพุนั่น จากนั้นค่อยหยัดร่างขึ้น ยิ้มพลางโบกมือกล่าว ‘ส่วนข้าจะไปฝึกมหามรรคของข้าใหม่ ค่อยเจอกันอีกสหายน้อย’
พูดจบเขายิ้มพลางจากไปอย่างผ่าเผย ร่างสูงโปร่งก้าวเดินไปกลางฟ้าดิน หายลับจากไปช้าๆ
ภาพทั้งหมดหายไปเพียงเท่านี้
เวลานี้ใจหลินสวินกระเพื่อมไหวแล้ว เขารู้ว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าปีนั้นเขาเคยผูกวาสนากับเจ้าหยดน้ำที่นี่ ทั้งเคยตั้งชื่อให้มันด้วย
‘หล่อจิตดุจหยก ลับจิตดั่งคม ความสง่างามของผู้อาวุโสมือกระบี่ท่านนี้เรียกได้ว่าเป็นเลิศบนโลกจริงๆ…’ หลินสวินพึมพำในใจ
ตอนนั้นยามอยู่กลางอากาศบนเวิ้งฟ้าเหนือโลกแปรปุถุชน เขาเคยเห็นมือกระบี่ผู้ท่วงท่าสง่างาม ร่างสะท้อนวัฏจักร ใต้ฝ่าเท้ามีทะเลกระบี่ไร้ขอบเขตโหมกระหน่ำ!
มือกระบี่นั้นก็คือยอดตำนานคนหนึ่งที่ทัดเทียมไท่ชูกับเฉินซี!
“นี่ เจ้าพาข้าไปด้วยได้ไหม”
เสียงเด็กชัดกระจ่างดังออกมาจากหยดน้ำ “ขอเพียงเจ้าพาข้าไปด้วย ข้าจะบอกความลับสุดยอดในน้ำพุมืดมนนั้นกับเจ้า”
หลินสวินอึ้งงัน “ทำไมเจ้าถึงรีบจากไป”
เสียงเด็กชัดกระจ่างกลางหยดน้ำเอ่ย “ข้าอยากไปหามือกระบี่นั่น ปีนั้นเขามอบชื่อแซ่ให้ข้า ทั้งใช้กระบี่ไม้กำราบพลังต้นกำเนิดของน้ำพุมืดมน ทำให้ข้าตื่นรู้มีจิตวิญญาณอย่างราบรื่น สำหรับข้าก็เหมือนเป็นบุญคุณ แน่นอนว่าข้าต้องไปตอบแทนเขา”