ซู่หวั่นจวินก็สังเกตเห็นสายตาพวกนั้น แต่กลับกล่าวโดยไม่ใส่ใจ “คนพวกนี้น่าจะคิดว่าถูกพวกภาคีบูรพาจับจ้องแล้ว ข้าคงไม่มีทางกล้าเหยียบเข้ามาในเมืองหนานเคออีก”
หลินสวินพลันเข้าใจ ยิ้มกล่าว “พอดีเชียว ข้ากับผู้อาวุโสล้วนมองเก้าภาคีไท่ชูเป็นศัตรู หากพวกเขามาหาถึงที่ ข้ากลับอยากลองดูว่าพวกเขามีความสามารถมากแค่ไหน”
น้ำเสียงราบเรียบสบายๆ
ขณะกล่าวเวิ้งฟ้าที่ห่างไกลพลันสั่นสะเทือน ร่างกำยำเจิดจรัสหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ
นี่คือชายสวมเกราะเงิน รูปงามดั่งเทพยุทธ์ มือถือทวนศึกสีเงินเล่มหนึ่ง ละอองแสงมหามรรคที่ไหลวนทั่วร่างเปล่งประกายเจิดจรัส น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นนางมารอย่างเจ้าดังคาด!”
ชายเกราะเงินนัยน์ตาดุจอสนีจับจ้องซู่หวั่นจวินแต่ไกล สีหน้าเผยไอสังหาร
“เจ้าดู พวกเราเพิ่งมาถึงก็มีคนร้อนใจรนหาที่ตายแล้ว”
มุมปากซู่หวั่นจวินยกยิ้มเย็นชา
ขณะกล่าวนางลงมือโดยไม่ลังเลแล้ว เรียกกระบี่มรรคออกมาฟาดฟันไปทางชายสวมเกราะเงินนั่น ไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด หมดจดชัดเจนถึงขีดสุด
ในสายตาคนนอกการกระทำนี้ของซู่หวั่นจวินดูแข็งกร้าวหาใดเปรียบ!
ชายเกราะเงินนั่นเป็นถึงทูตชะตาสวรรค์ภาคีบูรพา ในโลกย้อนกำเนิดนี้แทบไม่มีใครกล้าไปหาเรื่อง
แต่ซู่หวั่นจวินต่างออกไป นางเหมือนไม่เคยรู้ว่าความกลัวคือสิ่งใด
เคร้ง!
เสียงปะทะอึกทึกสนั่นหูดังก้อง
กระบี่มรรคของซู่หวั่นจวินถูกคทาสมประสงค์สีม่วงเล่มหนึ่งขวางไว้ ผู้ลงมือไม่ใช่ชายเกราะเงินนั่น แต่เป็นชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งที่ปรากฏตัวกะทันหัน
ทันทีที่เขาปรากฏตัว ฟ้าดินแถบนี้ล้วนเงียบสงัด ผู้คนไม่น้อยต่างเผยสีหน้าหวาดกลัว
จอมเทพเสวี่ยเลี่ยน!
โลกย้อนกำเนิดในปัจจุบัน จอมเทพเสวี่ยเลี่ยนคือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
ทั้งเขายังเป็นผู้นำภาคีบูรพาในโลกนี้ด้วย มีทูตชะตาสวรรค์ภาคีบูรพาสามสิบกว่าคนใต้อาณัติ!
“ซู่หวั่นจวิน ข้าขอถามเจ้า พวกพ้องภาคีบูรพาของข้าอยู่ไหน”
จอมเทพเสวี่ยเลี่ยนกล่าวสีหน้าเฉยชา ด้านหลังเขามีบัวเขียวมหามรรคสามดอกโอบล้อมเป็นตัวอักษรผิ่น (品) ร่างสูงโปร่งถูกแสงมรรคระเบียบเจิดจรัสแถบหนึ่งอาบไล้เหมือนเทพเซียน
“พวกเจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง พวกเขาตายไประหว่างทางที่ข้ากลับมาเมืองนี้แล้ว”
ซู่หวั่นจวินกล่าวง่ายๆ
“ตายแล้วหรือ”
จอมเทพเสวี่ยเลี่ยนสีหน้าขรึมลง ไอสังหารในดวงตาพลุ่งพล่าน “ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้ไม่อาจปราณีกันแล้ว!”
ตูม!
บริเวณข้างกายเขาห้วงอากาศพลิกตลบ ทยอยปรากฏเงาร่างน่ากลัวทันที แต่ละคนล้วนเปล่งประกายเจิดจรัส อานุภาพร้ายกาจ
รวมจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนกับชายเกราะเงินนั่นแล้วก็มีถึงยี่สิบเอ็ดคน!
กำลังพลยิ่งใหญ่นั้นทำให้ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสะท้านใจ สังหรณ์ว่าท่าไม่ดี เลือกถอยหลบห่างออกไปทันที เกรงแต่จะถูกม้วนกลืนเข้าไป
“สหายน้อยหลิน เจ้าคิดว่ากำลังพลเช่นนี้เป็นอย่างไร หากเจ้าไม่มั่นใจพวกเราก็ถอยหนีก่อน ภายหน้าค่อยต่อสู้กับพวกเขา”
ซู่หวั่นจวินเอ่ยเสียงเบา “อย่าคิดว่าเสียหน้า การมีชีวิตรอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
นี่คือการพูดความจริง
อย่างน้อยนางก็ไม่มั่นใจว่าจะสู้กับจำนวนคนเช่นนี้ได้
“ถอยหนี วันนี้เจ้ายังหนีพ้นหรือ”
สีหน้าจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนเรียบเฉย
ผู้ฝึกปราณคนอื่นข้างกายเขาต่างเผยรอยยิ้มหยัน พลังขับเคลื่อนทั่วร่างล้วนปลดปล่อยออกมาปกคลุมฟ้าดินแถบนี้ มุ่งเป้ามาตรงจุดที่พวกซู่หวั่นจวินกับหลินสวินยืนอยู่
กลับเห็นหลินสวินไม่สนใจเรื่องพวกนี้สักนิด ยิ้มกล่าวกับซู่หวั่นจวินต่อไป “การมีชีวิตรอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดจริงๆ แต่ข้าห่วงว่าวันนี้พวกเขาคงไม่รอดชีวิตแล้ว”
คำพูดนี้กล่าวอย่างสบายๆ แต่ความหมายในคำพูดกลับเปี่ยมกลิ่นอายหยิ่งผยอง!
พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนล้วนอึ้งงัน คราวนี้จึงเหลือบมองหลินสวินที่อยู่ข้างกายซู่หวั่นจวิน
แต่ไม่รอให้พวกเขาตอบสนอง ซู่หวั่นจวินวาดกระบี่มรรคในมือขึ้น “เจ้าพูดเช่นนี้แล้วยังลังเลอะไร”
ตูม!
นางพุ่งตัวแหวกอากาศ กระบี่มรรคแทงทะลวงนภา
ในที่สุดหลินสวินก็มองออก ซู่หวั่นจวินเป็นผู้มีนิสัยฟังไม่เข้าหูก็อาละวาด คร้านจะพูดมากความ คร้านจะเสียเวลา คร้านจะไปพิจารณาเรื่องมากมาย
ดังนั้นเมื่อนางลงมือจึงหมดจดชัดเจนเช่นนั้น
“ลงมือ!”
จอมเทพเสวี่ยเลี่ยนสะบัดมือ
เหล่าผู้ฝึกปราณข้างกายเขาล้วนเคลื่อนไหวแล้ว ไอสังหารแน่นฟ้าดินราวกับทวยเทพออกศึก
ตูม…
ฟ้าดินหม่นแสง ห้วงอากาศปั่นป่วน
จอมเทพเสวี่ยเลี่ยนกับผู้ฝึกปราณยี่สิบเอ็ดคนลงมือพร้อมกัน ในสายตาเหล่าผู้ชมที่อยู่ห่างไปย่อมเรียกว่าไม่อาจทัดเทียม!
ยอดวิชามรรคมากมายตัดสลับ แทรกด้วยศาสตรามรรคนิรันดร์นานัปการ อานุภาพที่ปล่อยออกมาทำให้มองจากไกลๆ ก็ขนพองสยองเกล้าและรู้สึกสิ้นหวัง
ซู่หวั่นจวินไม่ได้ถอย กลับถือกระบี่บุกเข้าไป
ทันใดนั้นเงาร่างหลินสวินกลับปรากฏอยู่หน้าซู่หวั่นจวินพลางกล่าวง่ายๆ “ผู้อาวุโส ให้ข้าจัดการสวะพวกนี้เถอะ”
เมื่อเสียงดังขึ้นกลางฝ่ามือเขาปรากฏกระบี่มรรคเล่มหนึ่ง
เสียงยังดังก้องกระบี่มรรคในมือเขาก็ฟันออกมาแล้ว
ยามสิ้นเสียงพลังกระบี่ที่เขาฟันออกมาราวกับแสงทรงพลังเกินต้านทาน ทำลายพลังโจมตีของศัตรูพวกนั้นปานทำลายล้าง!
ตูม!
ละอองแสงฟุ้งกระจายทั่วฟ้า ศาสตรามรรคนิรันดร์นานัปการถูกซัดกระเด็นกลางเสียงครวญคร่ำ
พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนถูกกระเทือนจนเงาร่างซวนเซ แต่ละคนเลือดลมตีกลับ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
อานุภาพกระบี่เดียวแข็งแกร่งเช่นนี้เชียวหรือ!?
เหล่าผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างไปไม่ทันตั้งตัว ถูกทำให้ตกตะลึงอ้าปากค้าง แทบไม่กล้าเชื่อตาตัวเอง
นี่… นี่จะดุดันเกินไปแล้วกระมัง
เขาเป็นใคร
ซู่หวั่นจวินไปหาผู้ช่วยฝีมือพลิกฟ้าเช่นนี้มาจากไหน
เวลานี้แม้แต่ซู่หวั่นจวินก็อึ้งงัน นางรู้ว่าหลินสวินเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว!
มีเพียงซย่าจื้อที่อยู่ห่างไปนิ่งสงบเหมือนเดิม ไม่ขยับเขยื้อน
“ข้ารู้แล้ว เขาก็คือหลินสวิน!”
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งข้างกายจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนพลันร้องตะโกนด้วยความตระหนก
หลินสวิน!
พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนใจกระตุกรุนแรง ในหัวหวนนึกถึงทุกเรื่องราวและข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวิน
แต่พวกเขาไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมาเร็วเช่นนี้
จากโลกชั้นแรกโลกแปรปุถุชน ถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปสามเดือนเท่านั้นก็มาถึงโลกชั้นที่สี่โลกย้อนกำเนิดแล้ว
“ในเมื่อทุกท่านรู้จักข้าคนแซ่หลิน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดมากแล้ว”
ขณะกล่าวหลินสวินตวัดกระบี่บุกเข้ามา
“ฆ่า!”
พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนมีหรือจะกล้าประมาท ล้วนลงมือเต็มกำลัง
แต่การขัดขืนทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ พลังแตกต่างกันมากเกินไป แม้แต่จอมมรรคไร้ขอบเขตยังไม่ใช่คู่ต่อสู้หลินสวิน นับประสาอะไรกับพวกเฒ่าชราอย่างจอมเทพเสวี่ยเลี่ยน
ก็เห็นเงาร่างหลินสวินดุจอสนี สะบัดกระบี่พุ่งเข้าไปราวเด็ดผักหั่นแตง ทุกครั้งที่ฟันกระบี่ย่อมเปิดฉากนองเลือดฉากหนึ่ง ต้องมีคู่ต่อสู้สิ้นชีพตามไปด้วย
บ้างถูกกระบี่มรรคแทงทะลุ บ้างถูกฟันกายหยาบและพลังจิต บ้างถูกเจตกระบี่บดขยี้ บ้าง…
เพียงชั่วพริบตาศัตรูกว่าครึ่งในที่นั้นทยอยตายไป
ภาพนองเลือดเหล่านั้นกระตุ้นจนผู้ชมที่อยู่ห่างไปมือเท้าเย็นเยียบ อึ้งงันอยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง
‘สำหรับข้าคนพวกนี้คือศัตรูที่แข็งแกร่งบนมรรคาไร้ขอบเขต สำหรับเขา… เหมือนเชือดไก่ฆ่าลิง…’
ในใจซู่หวั่นจวินรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก
พลังแตกต่างกันเกินไปแล้ว พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนล้วนดูไม่ได้สักนิด ถึงขั้นว่าทันทีที่เริ่มต่อสู้ก็ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว!
“ไป!”
ผู้ฝึกปราณที่เหลืออยู่อย่างจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนตาแทบถลน หันหลังจะหนี
แต่หลินสวินจะให้พวกเขาสมปรารถนาได้อย่างไร
ก็เห็นเขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว กระบี่มรรคในมือสั่นไหว ส่งเสียงกระบี่ครวญกังวาน
จากนั้นปราณกระบี่เหลือคณาทะยานขึ้นไปบนอากาศ แผ่คลุมทั่วผืนฟ้าปฐพี ราวมหาสมุทรกระบี่โหมกระหน่ำออกมาจากกาลเวลาไร้สิ้นสุด ปกคลุมห้วงอากาศอย่างสมบูรณ์
เงาร่างของพวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนถูกฝังกลบ!
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากายมรรคของพวกเขาแตกละเอียดทั้งหมด คล้ายหิมะน้ำแข็งถูกเปลวเพลิงหลอมละลาย แต่ละคนจิตสิ้นวิญญาณสลาย
ใช้เวลาแค่สิบลมหายใจเท่านั้น ทูตชะตาสวรรค์ภาคีบูรพายี่สิบเอ็ดคนล้วนสิ้นชีพ!
ชิ้ง!
เมื่อหลินสวินเก็บกระบี่มรรคลงไป ฟ้าดินเงียบสงัด มีเพียงกลิ่นคาวเลือดอบอวลโดยไร้สุ้มเสียง
ยามนี้ซู่หวั่นจวินเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน มองหลินสวินที่เดินมาพลางกล่าวมึนงง “พลังปราณของเจ้าก้าวสู่ระดับราชันไร้ขอบเขตแล้วหรือ”
นางแปลกใจมากจริงๆ ทั้งกล้ายืนยันว่าแม้แต่บุคคลระดับจอมมรรคไร้ขอบเขตก็คงไม่แข็งแกร่งเท่าหลินสวินแน่ ทำถึงขั้นนี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง!
“ยังไม่ถึง”
หลินสวินส่ายหัว “ยังห่างอยู่ช่วงหนึ่ง”
‘ยังห่างอยู่ช่วงหนึ่ง…’
ซู่หวั่นจวินพลันหมดคำพูดอย่างอดไม่ได้
ไม่ได้แจ้งมรรคถึงระดับราชันไร้ขอบเขต แต่กลับครอบครองพลังแข็งแกร่งกว่าจอมมรรคไร้ขอบเขต เรื่องนี้ล้มล้างความเข้าใจของนางจริงๆ
“ผู้อาวุโส พวกเราออกจากที่นี่ก่อน ค่อยหาสถานที่คุยกัน”
หลินสวินกวาดสายตามองโดยรอบ ก็เห็นว่าจุดที่ห่างออกไปมีกลิ่นอายไม่น้อยกำลังรีบเร่งมา เห็นชัดว่าถูกการเคลื่อนไหวของการต่อสู้เมื่อครู่ทำให้ตกใจ
“ได้”
ซู่หวั่นจวินได้สติสงบลงทันที พาหลินสวินกับซย่าจื้อหันหลังจากบริเวณนั้นไปพร้อมกัน
กระทั่งเงาร่างของพวกเขาหายไป เหล่าผู้ฝึกปราณที่ชมการต่อสู้ก่อนหน้านี้จึงค่อยได้สติกลับมาจากความอึ้งงันสั่นสะท้าน
“น่ากลัวนัก…”
“หลินสวินนั่นไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ จอมมรรคไร้ขอบเขตยังไม่แข็งแกร่งเท่าเขาเลย!”
“พวกจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนเรียกว่าเป็นใหญ่บนโลกนี้มาหลายปี แต่กลับถูกสังหารเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา หากไม่เห็นกับตาตัวเองข้าคงไม่มีทางเชื่อ”
…เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น
เวลานี้ผู้ฝึกปราณมากมายมาถึงแล้ว หลังจากรู้เรื่องศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เหล่าผู้ฝึกปราณใจสะท้าน สูดหายใจเย็นเยียบไม่หยุด
วันนั้นข่าวการต่อสู้นี้แพร่ออกไปทั่วโลกย้อนกำเนิดอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกปราณทุกคนที่รู้ข่าวล้วนรู้สึกตกตะลึงตาค้างอย่างอดไม่ได้
ใครต่างก็รู้ว่าบนโลกย้อนกำเนิดนี้เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับหลินสวินอีก!
ทูตชะตาสวรรค์ภาคีบูรพาอย่างจอมเทพเสวี่ยเลี่ยนตายแล้ว เหล่าทูตชะตาสวรรค์คนอื่นที่กระจายอยู่ในโลกย้อนกำเนิดนี้ หากรู้ข่าวก็คงไม่กล้าไปหาเรื่องหลินสวินอีก
กระทั่งพวกเขายังเป็นห่วงว่าหลินสวินจะมาหาเรื่องพวกเขาหรือไม่!
สรุปคือวันแรกที่หลินสวินเพิ่งมาถึงโลกย้อนกำเนิดก็เปิดฉากโกลาหลด้วยเรื่องนี้ ส่วนตัวเขาก็สร้างชื่อโด่งดังหลังการต่อสู้นี้
สำหรับเรื่องพวกนี้หลินสวินไม่รู้เลย ต่อให้รู้ก็ไม่มีทางสนใจแน่
ภายใต้การนำทางของซู่หวั่นจวิน ตอนนี้เขากับซย่าจื้อพักอยู่ในเรือนเงียบสงบหลังหนึ่งกลางเมืองหนานเคอแล้ว