ในเรือน ซู่หวั่นจวินสวมกระโปรงแดง มือหยกขาวผ่องยกกาสุรารินให้หลินสวินกับซย่าจื้อเต็มจอก กลิ่นสุราอบอวลทั่วเรือนทันที
จากนั้นนางค่อยรินให้ตนจอกหนึ่งพลางกล่าว “สุรานี้นามว่า ‘จิตเขลา’ เป็นสิ่งที่ข้าขอมาจากสหายเก่าคนหนึ่ง ข้าเก็บรักษามานานแล้ว ปกติข้ายังรู้สึกเสียดายหากดื่มสักอึก พวกเจ้าลองชิมดู”
นางพูดพลางกระดกดื่มรวดเดียวหมด ใบหน้างามขาวผ่องแดงก่ำเสริมความงามเด่น
หลินสวินยกจอกลิ้มรส สภาวะจิตเกิดคลื่นอัศจรรย์มากมายทันที การรับรู้ทั้งตัวเลือนรางไปชั่วขณะ คล้ายมีความรู้สึกนับร้อยพันแผ่ซ่านเต็มทรวง
ครู่ใหญ่หลินสวินพยักหน้ากล่าว “สุราดีจริงๆ นี่… คงเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสมือกระบี่นั่นมอบให้กระมัง”
ซู่หวั่นจวินมองหลินสวินอย่างแปลกใจพลางกล่าว “ไม่ผิด แต่เจ้าอย่าสืบเรื่องเกี่ยวกับเขาจากข้ามิฉะนั้น…”
นางชี้ตรงหน้าอกตัวเอง “สภาวะจิตของข้าจะเกิดปัญหา”
หลินสวินผงะในใจ เขารู้ว่าเบื้องหลังคำพูดนี้ซ่อนอันตรายยิ่งใหญ่เพียงใดไว้ มีโอกาสสูงว่าเรื่องเกี่ยวกับมือกระบี่นั่นในใจซู่หวั่นจวินกลายเป็นความยึดติดของนางแล้ว!
ทั้งยังยึดติดจนไม่อยากพูดถึงกับใครก็ตาม
เดิมหลินสวินยังคิดจะเล่าเรื่องกระบี่ไม้สามชุ่นกับหลิงหยวน แต่ตอนนี้กลับล้มเลิกความคิดนี้แล้ว
ต่อจากนั้นพวกเขาร่ำสุราพลางพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับโลกย้อนกำเนิดนี้
นี่ทำให้หลินสวินเข้าใจระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้ขึ้นอีกขั้น
พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกย้อนกำเนิดกลายเป็นระเบียบมรรควัฏจักรซึ่งปกครองโลกทั้งใบแล้ว ถ้าผู้ฝึกปราณอยากออกไปจากโลกนี้ก็ต้องหยั่งถึง ‘หมอนหวงเหลียง’
เช่นนี้ไม่ว่าจะไปย้อนทวนหรือชดเชยความบกพร่องของชีวิตในอดีต ล้วนชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาจนเข้าไปในประตูสวรรค์ได้
หลายปีมานี้ซู่หวั่นจวินมีโอกาสจากไปนานแล้ว แต่นางกลับไม่ยอมจากไป ถึงขั้นตัดสินใจว่าจะอยู่ในโลกย้อนกำเนิดนี้ต่อ
ส่วนจะจากไปเมื่อไหร่ต้องดูจิตใจของนาง
แม้ว่านางไม่ได้บอกเหตุผลของการทำเช่นนี้ แต่หลินสวินยังพอเดาออกอยู่บ้าง
เมื่อใช้หมอนหวงเหลียงย่อมทำให้ซู่หวั่นจวินกลับเข้าไปสู่ธารชีวิตในอดีตได้ ชีวิตในอดีตของนาง การมีอยู่ของมือกระบี่นั่นย่อมครองตำแหน่งสำคัญที่สุดในใจนางโดยไม่ต้องสงสัย
“ผู้อาวุโส ข้ามีประโยคหนึ่งไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดอะไร วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางไปชดเชยข้อบกพร่องในอดีตแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กลับจะทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ตลอดกาล”
สีหน้าซู่หวั่นจวินราบเรียบ คล้ายมองทุกอย่างออกนานแล้ว
นางคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ตอนแรกที่มาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์ เดิมข้าคิดว่าเขาจะรอข้าอยู่ในแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ตลอด แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเขากลับไปฝึกปราณใหม่นานแล้ว…”
“แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะกลับมา เมื่อก่อนเขารอข้าอยู่ที่นี่ ภายหน้าข้าก็จะรอเขาอยู่ที่นี่”
กล่าวถึงตอนท้ายเสียงนางเจือความนิ่งสงบแน่วแน่
หลินสวินฟังจบแล้วทอดถอนใจ
เขาไม่รู้ความสัมพันธ์ของซู่หวั่นจวินกับมือกระบี่นั่น แต่กลับรู้สึกถึง ‘ความงมงาย’ ในใจซู่หวั่นจวิน!
เรื่องแบบนี้เขาย่อมไม่มีทางช่วยอะไรได้
…
คืนวันนั้น
ภายในเรือนซย่าจื้อนั่งขัดสมาธิหลับตา สงบจิตสัมผัสระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้
หลินสวินยืนห่างไปไม่ไกล คอยเฝ้าระวังให้นาง
ภายใต้รัตติกาลเงียบสงบ เวลาล่วงเลยโดยไร้สุ้มเสียง
ไม่ทันไรหลินสวินสังเกตเห็นฉับไว กลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิดลึกลับหลายสายโน้มลงมาจากเวิ้งฟ้า อาบไล้เงาร่างของซย่าจื้อไว้ภายใน
เวลานี้พลังขับเคลื่อนทั้งตัวซย่าจื้อเกิดการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ราวกับจิตวิญญาณปรากฏช่องว่าง นำมรรควิถีทั้งตัวของนางหายลับไปกลางอากาศ
ตรงจุดเดิมมีแค่ร่างงามอรชรของนางอาบไล้ด้วยกลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิด
“นางสัมผัสถึงหมอนหวงเหลียง เข้าสู่ชีวิตในอดีตของนางแล้ว” ซู่หวั่นจวินที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงเบา
แววตาหลินสวินไหววูบพูดว่า “พลังต้นกำเนิดของโลกย้อนกำเนิดนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณย้อนทวนอดีต พลังกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องไม่อัศจรรย์เกินไปหน่อยหรือ”
“อดีต ปัจจุบัน อนาคต สื่อถึงชีวิตคน เมื่อศึกษาโดยละเอียดจะพบว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องภายในนั้นคือพลังโชคชะตา กฎกรรม กาลเวลา การกลับสู่อดีตก็เหมือนการย้อนเวลา การชดเชยข้อบกพร่องก็เท่ากับเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เมื่อโชคชะตาเปลี่ยน กฎกรรมก็เปลี่ยนตาม”
ซู่หวั่นจวินกล่าวง่ายๆ “แต่บ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกย้อนกำเนิดนี้กลับเห็นชัดว่าไม่ง่ายดายเช่นนั้น มันสามารถทำให้พวกเราขั้นไร้ขอบเขตใหญ่กลับสู่อดีต ไปเปลี่ยนแปลงโชคชะตาและกฎกรรม พลังเช่นนี้เกรงว่าคงอยู่เหนือโชคชะตา กฎกรรม กาลเวลา!”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ เขาเคยนึกถึงเรื่องพวกนี้เช่นกัน แต่กลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป “หากพูดว่าอยู่เหนือโชคชะตา กฎกรรม กาลเวลาคงไม่ถึงขั้นนั้น จากมุมมองข้า พลังที่แฝงอยู่ภายในบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกย้อนกำเนิดนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับนัยเร้นลับสูงสุดของยอดมหามรรคสามอย่างนี้แน่”
เขาครอบครองกฎระเบียบโชคชะตาและกาลเวลาไว้เช่นกัน รู้ดีว่ายอดมหามรรคสองอย่างนี้ลึกลับและยากหยั่งถึงเกินจินตนาการ แม้แต่เขาในตอนนี้ก็ทำได้แค่ฝึกยอดมหามรรคสองอย่างนี้ถึงขั้น ‘กฎระเบียบไร้ขอบเขต’ เท่านั้น
ส่วนนัยเร้นลับสูงสุดของยอดมหามรรคสองอย่างนี้ แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัด
กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็อยู่ที่พลังปราณของตน
มรรค ไร้ขอบเขตถึงขีดสุด
ยามอยู่ห้าระดับล่าง สิ่งที่ผู้ฝึกปราณหยั่งถึงคือท่วงทำนองมรรคและเจตจำนงมรรค
ยามอยู่ระดับอมตะเคราะห์ สามารถหยั่งรู้กฎเกณฑ์อมตะเคราะห์
ระดับอริยะครอบครองกฎเกณฑ์อริยมรรค
ระดับจักรพรรดิควบคุมกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ
ระดับอมตะสามารถใช้กฎเกณฑ์อมตะได้
ส่วนระดับนิรันดร์ก็ครอบครองกฎระเบียบนิรันดร์
แต่ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองมรรค เจตจำนงมรรค อริยมรรค มรรคจักรพรรดิ หรือกฎเกณฑ์อมตะและกฎระเบียบนิรันดร์ กล่าวกันถึงที่สุดแล้วล้วนเป็นมหามรรค!
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะระดับปราณของตนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ความเข้าใจของตนที่มีต่อมหามรรคเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งทีละขั้น
เหมือนตอนนี้ แม้มรรควิถีทั้งตัวหลินสวินแข็งแกร่งถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ แต่พลังมหามรรคที่ครอบครองกลับอยู่แค่ขั้นไร้ขอบเขตเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าพลังต้นกำเนิดของโลกย้อนกำเนิดนี้เกี่ยวข้องกับพลังแห่งโชคชะตา กาลเวลา กฎกรรม แต่กลับเกินความรู้ความเข้าใจของหลินสวินตอนนี้
ดังนั้นเขาจึงวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้นไม่ผิด ขั้นไร้ขอบเขตถูกมองเป็นขั้นสูงสุดของมหามรรค ผู้บรรลุถึงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เท่ากับก้าวสู่จุดสูงสุดของระดับนี้ แต่ข้าคิดมาตลอดว่าขั้นไร้ขอบเขตเป็นแค่ขั้นสุดท้ายของมรรคานิรันดร์ เหนือมรรคานิรันดร์นี้ยังมีมรรคาที่สูงกว่าอยู่หรือไม่…”
ซู่หวั่นจวินพึมพำเสียงเบา “นี่ย่อมเป็นปัญหาที่ไม่อาจเข้าใจ ถึงอย่างไรหากมีมรรคาที่สูงกว่าจริง เขา… มีหรือจะเลือกหวนกลับไปฝึกใหม่”
‘เขา’ แน่นอนว่าคือมือกระบี่คนนั้น
หลินสวินกล่าว “ข้าคิดว่าสาเหตุที่ผู้อาวุโสมือกระบี่คนนั้นกลับไปฝึกใหม่ อาจเป็นเพราะเขาเห็นมรรคาที่สูงกว่านั่นแล้ว เป้าหมายที่เขาย้อนกลับไปฝึกใหม่ก็เพื่อหาหนทาง ก้าวสู่มหามรรคที่สูงกว่าสายนั้นอย่างแท้จริง หลุดพ้นจากขั้นไร้ขอบเขตบนมรรคานิรันดร์”
ซู่หวั่นจวินอึ้งงัน เงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว “อาจจะกระมัง”
ความลับซึ่งเกี่ยวข้องกับการหลุดพ้นสูงสุดเช่นนี้ หากกวาดสายตามองทั่วแหล่งสถานอัศจรรย์ ปัจจุบันล้วนไม่มีใครให้คำตอบชัดเจนได้สักคน!
ดังนั้นจึงมีการสันนิษฐานและคาดเดานานัปการ
“เจ้าอยากไปหยั่งรู้ระเบียบมรรควัฏจักรหรือไม่ ข้าช่วยคุ้มครองกายมรรคของเจ้ากับแม่นางซย่าจื้อได้” ซู่หวั่นจวินกล่าว
หลินสวินส่ายหัวกล่าว “รอซย่าจื้อตื่นขึ้นมาเถอะ”
ซู่หวั่นจวินก็ไม่บังคับ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของนางคือผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม ร่างอรชรของซย่าจื้อพลันสะท้าน จากนั้นบนตัวค่อยแผ่พลังขับเคลื่อนและคลื่นชีวิตที่มีแต่เดิมออกมา ก่อนลืมตาขึ้นเงียบๆ
กลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิดที่ปกคลุมตัวนางก็หายไปด้วย
“เร็วขนาดนี้เชียว”
ซู่หวั่นจวินอดกล่าวไม่ได้
ซย่าจื้อหยัดร่างขึ้นกล่าว “ข้าแค่มองตามช่วงชีวิตในอดีต ไม่ได้ล่าช้าอะไร”
“เจ้าไม่คิดไปเปลี่ยนอะไรบ้างหรือ”
ซู่หวั่นจวินถามอีก
“เทียบกับเรื่องอดีตและอนาคตแล้ว ข้าสนใจปัจจุบันมากกว่า”
ซย่าจื้อพูดโดยไม่ต้องคิด
ซู่หวั่นจวินมองซย่าจื้อก่อนหันมองหลินสวิน คล้ายเข้าใจแล้ว ภายในใจอดสะท้านไหวอยู่บ้างไม่ได้ หากสักวันหนึ่งตนเป็นเหมือนนางได้ ไม่ใส่ใจอดีตหรืออนาคต สนใจแค่ปัจจุบัน นั่นจะเป็นสุขเพียงใด
ต่อจากนั้นหลินสวินนั่งขัดสมาธิ เริ่มสงบจิตหยั่งรู้ระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้
เพียงพริบตาจิตรับรู้ของเขาก็สัมผัสถึงพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดลึกลับอัศจรรย์ จิตวิญญาณของเขาล่องลอยเหนือเก้าชั้นฟ้าท่ามกลางความเลือนราง มาถึงห้วงอากาศเวิ้งว้างไร้สิ้นสุดแถบหนึ่ง
ต่อมาหมอนหยกที่วิวัฒน์จากบ่อเกิดแรกกำเนิดปรากฏขึ้นในใจ
บนหมอนหยกนั้นเห็นชัดว่าเปี่ยมกลิ่นอายโชคชะตา กฎกรรม กาลเวลาน่าอัศจรรย์เกินบรรยาย เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนความคิด
พริบตานั้นจิตรับรู้ของเขาพลันเลือนราง คล้ายฝันท่องกาลนิรันดร์ จิตวิญญาณและมรรควิถีออกจากกายมรรคไปเงียบๆ
ซ่า…
กลางอากาศไร้ขอบเขต แม่น้ำใหญ่สายหนึ่งพลิกตลบออกมากลางอากาศอย่างยิ่งใหญ่ทรงพลัง ไหลเข้าไปในส่วนลึกของห้วงอากาศราวไร้สิ้นสุด
เงาร่างของหลินสวินปรากฏบนแม่น้ำใหญ่นี้
นี่ก็คือธารชีวิตในอดีตหรือ
เมื่อหลินสวินเหลือบมองไป ภาพหลายหลากแปลกตานับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากฟองคลื่นของแม่น้ำใหญ่นั้นทันที มีภาพเขาตอนเกิด มีภาพรายละเอียดยามติดตามลู่ป๋อหยาในคุกใต้เหมือง มีวันวานเงียบสงบยามอยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นตอนเด็ก…
ฟองคลื่นม้วนซัดนั้นเหมือนรวมตัวจากช่วงชีวิตในอดีตของแต่ละคน กลายเป็นธารชีวิตเปี่ยมคลื่นโถมโอฬารสายหนึ่ง
ธารชีวิตในอดีตของหลินสวิน!
เมื่อเห็นภาพน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ หลินสวินเกิดความคิดมากมายอย่างควบคุมไม่อยู่
บนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง
แต่ตอนนี้มีโอกาสไปชดเชยความบกพร่องของช่วงชีวิตในอดีต ต่างอะไรกับได้รับยารักษาโรคเสียใจภายหลังที่แท้จริง
หากตอนนี้ตนมีโอกาสเช่นนี้แล้ว ขอแค่ตนต้องการก็ไปเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในอดีตได้!
เผชิญหน้ากับทางเลือกเช่นนี้ บนโลกนี้จะมีคนสักกี่มากน้อยต้านทานสิ่งเร้านั้นได้
แต่ไม่นานหลินสวินก็สงบลง
เขาก็เหมือนซย่าจื้อ ชีวิตในอดีตของเขาไม่ต้องชดเชยและเปลี่ยนแปลง
ต่อให้มีความบกพร่อง คับแค้น จนปัญญา นึกเสียใจมากมาย… แต่สำหรับหลินสวิน เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นประสบการณ์ล้ำค่า ล้วนเป็นฐานหินสร้างหนทางมหามรรคของเขา
ดังนั้นจึงทำให้เขามีวิชามรรคเช่นวันนี้ได้!