ระหว่างนั่งสมาธิ บนตัวหลินสวินปรากฏภาพประหลาดน่าเหลือเชื่อเป็นฉากๆ
และที่สะดุดตาที่สุดในนั้นคือรูปจำลองมหามรรคสี่อย่างที่เกี่ยวข้องกับจตุโบราณสถาน อันได้แก่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แหล่งสถานคุนหลุน แหล่งสถานศุภโชค และแหล่งสถานอัศจรรย์
และในนั้นแหล่งสถานอัศจรรย์เลือนรางมากที่สุด ไม่ชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างสามโบราณสถานอื่นๆ
ทว่าตัวหลินสวินกลับสามารถสัมผัสได้ว่าหลังจากเขาหยั่งรู้และครอบครองนัยเร้นลับบางส่วนของต้นกำเนิดมอบวิญญาณ กลิ่นอายที่เป็นของแหล่งสถานอัศจรรย์ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นช่วงใหญ่!
‘ห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กฎระเบียบศุภโชคของแหล่งสถานศุภโชค กฎระเบียบโชคชะตาของแหล่งสถานคุนหลุน… เช่นนั้นต้นกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์นี่ จะเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบชีวิตหรือไม่’
หลินสวินนั่งสมาธิไปพลางสันนิษฐานไปพลาง ไม่รู้สึกถึงเวลาเคลื่อนคล้อยสักนิด
ผ่านไปครึ่งเดือนเต็ม
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ กลิ่นอายทั้งตัวล้วนปรากฏความรู้สึกของ ‘ความเป็นธรรมชาติเรียบง่าย’ อย่างหนึ่ง ปราศจากประกายคมอย่างสิ้นเชิง
ทั้งแผ่วเบาราวเมฆเอื่อยบนฟากฟ้า และไม่สะดุดตาประดุจฝุ่นธุลีในโลกหล้า
กายผสานมรรค วิชามรรคดั่งธรรมชาติ
ประหนึ่งคำกล่าวใน ‘คัมภีร์แปรรู้ตน’ แปรสภาพอยู่ทุกที่ แปลงทุกสรรพสิ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลินสวินเป็นได้ทั้งสุริยันจันทรา และเป็นได้ทั้งมดปลวกฝุ่นธุลี สรรพสิ่งในโลก มรรคแห่งอดีตปัจจุบัน ล้วนสามารถหลอมรวมอยู่ในกายได้
นี่คือท่วงทำนองมหามรรคที่อัศจรรย์สุดบรรยายอย่างหนึ่ง
คนทั่วไปพบเห็นหลินสวิน จะรู้สึกว่าสามัญธรรมดา เสมือนหนึ่งในผู้คนคลาคล่ำ ไม่มีความพิเศษใดๆ แม้แต่น้อย
แต่หากเปลี่ยนเป็นคนชั้นยอดที่เทียมบ่าเทียมไหล่กับหลินสวินในมรรคา จะสามารถสัมผัสถึงท่วงทำนองอัศจรรย์เช่นนี้ที่แผ่คลุ้งบนตัวหลินสวินได้
‘กายจิตหลอมมรรค มรรคหลอมธรรมชาติ นี่เรียกได้ว่ายอดอิสระ!’
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดขั้นไร้ขอบเขตจึงถูกเรียกว่า ‘ยอดอิสระ’ แล้ว
หลังจากสัมผัสมรรควิถีในร่างตนครู่ใหญ่เขาก็หยัดตัวลุกขึ้น เดินออกจากห้องไป
…
ในลานเรือน ซู่หวั่นจวินในชุดกระโปรงแดงกำลังต้มชา ซย่าจื้อนั่งดื่มชาในเก้าอี้หวายด้านข้าง บรรยากาศเงียบสงบ เป็นภาพงามวิจิตร
การปรากฏตัวของหลินสวินไม่ได้ทำลายบรรยากาศเงียบสงบนี้แต่อย่างใด ผสานรวมเข้ากับฟ้าดินนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ กระทั่งเมื่อมาถึงข้างกายซู่หวั่นจวิน มือหยกที่ถือฝาถ้วยชาของฝ่ายหลังสั่นไหวเบาๆ เพิ่งตระหนักได้ว่าหลินสวินมาแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นางอึ้งไปก่อนเงยมองหลินสวินแล้วกล่าว “มรรควิถีของสหายน้อยทำให้คนมองไม่ออกมากขึ้นทุกทีแล้ว”
หลินสวินยิ้มบางๆ “ฝึกปราณครึ่งเดือน แค่สัมผัสได้นิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากมาย”
“หลินสวิน พวกเราจะไปจากโลกนี้เมื่อไหร่” ซย่าจื้อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“ไปตอนนี้เลยก็ได้” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
เขาและซย่าจื้อต่างหยั่งถึงหมอนหวงเหลียงในระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้นานแล้ว เท่ากับสามารถออกจากโลกนี้ได้แล้ว
“แต่ก่อนไปพวกเรายังต้องไปทำเรื่องบางอย่างด้วย” หลินสวินกล่าว
“เรื่องอะไร” ครั้งนี้เป็นซู่หวั่นจวินแปลกใจแล้ว
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ไปจัดการทูตชะตาสวรรค์ที่กระจายตัวอยู่ในโลกนี้สักรอบ เลี่ยงไม่ให้หลังจากข้ากับซย่าจื้อจากไปแล้ว พวกเขาจะมาก่อกวนการฝึกปราณของผู้อาวุโสอีก”
ซู่หวั่นจวินอบอุ่นในใจ นางไม่ได้รู้สึกถึงการเอาใส่ใจจากมิตรสหายเช่นนี้มานานมากแล้ว
วันนั้นหลินสวินและซย่าจื้อก็เริ่มเคลื่อนไหว
และช่วงสั้นๆ ไม่ถึงเจ็ดวัน เหล่าทูตชะตาสวรรค์สิบกว่าคนของภาคีบูรพาที่เหลืออยู่ต่างพบเจอการกวาดล้างจากหลินสวิน
ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป ทั่วโลกย้อนกำเนิดต่างสะท้านสะเทือน
ส่วนหลินสวินและซย่าจื้อออกเดินทาง ข้ามผ่านประตูสวรรค์ไปจากโลกย้อนกำเนิดแล้ว
ก่อนแยกจากกัน ซู่หวั่นจวินมอบสุรา ‘จิตเขลา’ ที่มือกระบี่คนนั้นหมักให้หลินสวินหนึ่งไห เดิมหลินสวินคิดจะนำหลิงหยวนและกระบี่ไม้สามชุ่นให้ซู่หวั่นจวิน
แต่เมื่อคิดว่าหากทำเช่นนี้เป็นได้ไปสูงว่าอาจส่งผลกระทบต่อจิตมรรคของอีกฝ่าย สุดท้ายจึงล้มเลิกไป
ว่ากันถึงที่สุด ความยึดติดในใจซู่หวั่นจวินรุนแรงเกินไป
ตัวนางเองเกรงว่าคงตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน ถึงได้เลือกอยู่ในโลกย้อนกำเนิดแห่งนี้ รอมือกระบี่ที่กลับมาเกิดใหม่มุ่งหน้ามาหาอย่างเงียบๆ
…
โลกที่ห้าของแดนเทพสรรพวิญญาณนามว่า ‘เหง้าเลวร้าย’
โลกนี้แปลกพิสดารถึงขีดสุด หากผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เข้ามา จะพบเจอเรื่องเลวร้ายทั้งปวงที่เล่นงานเผ่ามนุษย์
หากสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นเข้ามา ก็จะพบเจอกับเรื่องเลวร้ายที่เล่นงานสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างกันออกไป
ต้องการจากไปมีเพียงทางเดียว คือการกำจัดต้นตอของสิ่งเลวร้ายทั้งปวง
ก่อนเข้าสู่โลกนี้ หลินสวินและซย่าจื้อตกลงกันไว้แล้วว่าใครออกจากโลกเหง้าเลวร้ายก่อน ก็ไปรอพบกันใน ‘โลกพันเคราะห์’ โลกชั้นที่หก
สาเหตุก็เพราะหลินสวินเป็นเผ่ามนุษย์ ส่วนซย่าจื้อ ว่ากันถึงที่สุดชาติกำเนิดของนางเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ที่ถือกำเนิดจากโลกมอบวิญญาณ เป็นรูปแบบชีวิตที่พิเศษสุดขีด
ยามเมื่อทั้งสองเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ต่างฝ่ายต่างแยกจากกันโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกัน เรื่องเลวร้ายทั้งปวงที่ทั้งสองพบเจอในโลกเหง้าเลวร้ายก็ต่างกันด้วย
โลกเหง้าเลวร้าย
วู้ม…
ห้วงอากาศเกิดระลอกคลื่น เงาร่างของหลินสวินปรากฏกลางอากาศ
ก็เห็นฟ้าดินมืดทะมึน ไอชั่วร้ายอบอวลกลางภูผาธารา บนผืนดินมีโครงกระดูกขาวโพลนให้เห็นทุกที่ แม้แต่ในห้วงอากาศยังคลุ้งกลิ่นคาวแสบจมูก
หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “โลกนี้นองเลือดอย่างที่ลือกันดังคาด”
เขาเคยทำความเข้าใจก่อนมา รู้ว่าเมื่อผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์เข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ก็จะเห็นโลกที่เผ่ามนุษย์เป็นเป้าหมายของการปล้นชิงตัวไปเป็นทาส
ในโลกนี้อสูรมารเป็นใหญ่ ภูตผีเป็นนาย กลางภูผาธาราเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวที่ทรงพลังในมหามรรค
ประวัติศาสตร์และอารยธรรมของโลกนี้ล้วนเขียนขึ้นจากอสูรมารผีปีศาจ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็บัญญัติขึ้นมาจากพวกเขา
ส่วนเผ่ามนุษย์ที่กระจายตัวอยู่ในโลกนี้ กลับเป็นเป้าหมายที่ประหนึ่งเหยื่อล่าและปศุสัตว์
อสูรมารบางตนมองเผ่ามนุษย์เป็นทาส บังคับควบคุมตามใจ
บ้างก็มองเผ่ามนุษย์เป็นเนื้อปลา กัดกินเนื้อสดๆ ดื่มเลือดสดๆ เคี้ยวกระดูกดูดไขมันเหมือนกับอาหาร
บ้างก็มองเผ่ามนุษย์เป็นยาขนานดี ใช้หลอมชำระและเพิ่มมรรควิถีแห่งตน ยิ่งเป็นผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่งก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบของอสูรมารพวกนี้ มองคนผู้นั้นเป็น ‘ลูกกลอนมนุษย์’
บ้างก็…
สรุปแล้วเผ่ามนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยที่สุดในโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้ ในสายตาอสูรมารภูตผีในโลกนี้ก็คือสัตว์ป่า ทาส ยาชั้นดีเป็นต้น
หลินสวินย่อมรู้ว่านี่คือความทุกข์ทรมานที่โลกเหง้าเลวร้ายมีต่อเผ่ามนุษย์
หากเป็นผู้ฝึกปราณเผ่าอื่นๆ เข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ก็จะพบเจอกับความทุกข์ทรมานที่เล่นงานเผ่าพันธุ์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ทว่ารู้ก็ส่วนรู้ แต่เมื่อปรากฏตัวในโลกนี้ ได้กลิ่นคาวเลือดกลางฟ้าดินนี้ ก็ยังทำให้ในใจหลินสวินเกิดความสะอิดสะเอียนอยู่ดี
ภูผาธาราแถบนี้กว้างขวางยิ่ง แต่ในห้วงอากาศกลับอวลกลิ่นคาวเลือดมากขนาดนี้ แค่คิดก็รู้ว่าการเข่นฆ่าในโลกนี้จะมากมายปานใด
และในโลกนี้ ผู้ที่ตายมากที่สุดย่อมต้องเป็นเผ่ามนุษย์
‘เรื่องเร่งด่วนก็คือต้องรีบหาต้นตอของความเลวร้ายทั้งหมดนี้โดยเร็ว’
หลินสวินใคร่ครวญ อยากออกจากโลกนี้ก็ต้องกำจัดต้นตอความเลวร้ายทั้งปวง เช่นนี้จึงจะสามารถเรียกผลมรรคแรกกำเนิดและผ่านประตูสวรรค์ออกไปได้
สวบ!
ครู่ถัดมาหลินสวินก็สาวเท้าทะยานไปข้างหน้า
หลังจากผู้ฝึกปราณแต่ละคนเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย ทุกสิ่งที่พบเจอล้วนไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์เหมือนกัน ภัยอันตรายที่จะเจอในโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้ก็ไม่เหมือนกัน
และด้วยเหตุนี้ ในโลกเหง้าเลวร้ายนี่จึงไม่ต้องห่วงว่าจะเจอการโจมตีจากผู้ฝึกปราณคนอื่นสักนิด
หืม?
มุ่งหน้าไม่ทันไร จู่ๆ หลินสวินก็ชะงักเท้ากลางอากาศ
ในจิตรับรู้ของเขามองเห็นว่ากลางหมู่เขาแถบหนึ่งไกลๆ มีไอชั่วร้ายพุ่งเสียดฟ้า ย้อมพยับเมฆบนฟ้าให้กลายเป็นสีดำสนิท
กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเสมือนภูเขาไฟปะทุแผ่ออกมาจากหมู่เขาแถบนั้นไม่หยุด ถึงกับกลายเป็นกระแสลมสีเลือด
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเข้าไปใกล้
ก็เห็น…
กลางหมู่เขานั่นกะโหลกดุจเขาสูง โครงกระดูกราวป่า เส้นผมมนุษย์พันม้วนเป็นผืนพรม ผิวมนุษย์เน่าเปื่อยเป็นโคลนเลน เส้นเอ็นพันเกี่ยวบนต้นไม้ แห้งกรังส่องสว่างดุจสีเงิน เป็นภูเขาศพทะเลเลือดอย่างแท้จริง กลิ่นคาวฉุนจมูก
อสูรมารที่จับกลุ่มเป็นฝูงเอาคนเป็นๆ มาแล่เนื้อ ภูตผีตัวแล้วตัวเล่าเอาเนื้อมนุษย์มาปรุงสดๆ
ส่วนลึกของหมู่เขายังมีกรงขังเป็นแห่งๆ กักขังเผ่ามนุษย์หลายพัน ชายหญิงเด็กแก่ล้วนมีหมด ต่างสีหน้าเฉยชา แววตาว่างเปล่า ประดุจสัตว์เลี้ยงในกรงขัง
และบนยอดเขาใหญ่ลูกหนึ่งในนั้นมีตำหนักวังงดงามตระการตาตั้งอยู่ มีผู้ฝึกปราณหญิงที่งดงามอรชรกลายเป็นสาวใช้ ยกสุราดีและอาหารโอชาที่ปรุงเสร็จแล้วมาวางไว้ทีละอย่าง
อาหารเหล่านั้นล้วนเป็นเนื้อมนุษย์ เลือดมนุษย์ทั้งสิ้น
และภายในโถงตำหนัก ผู้นำอสูรมารทั้งกลุ่มกำลังร่วมดื่มกิน พูดคุยสนุกสนาน
เมื่อเห็นภาพเหล่ามารเรืองอำนาจ ฆ่าคนกินคนเป็นฉากๆ นั่น ในใจหลินสวินล้วนเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ทุกชีวิตเท่าเทียมหรือ
สำหรับหลินสวินเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี
อันดับแรก เขาเป็นหนึ่งในเผ่ามนุษย์!
เมื่อเห็นภาพที่มนุษย์ถูกทำเหมือนสัตว์เลี้ยงบริโภค ปล่อยให้เชือดฆ่าเหมือนเนื้อปลา ในใจหลินสวินจะนิ่งดูดายได้อย่างไร
‘โลกเหง้าเลวร้าย…ช่างสมกับเป็นรากเหง้าความเลวร้ายจริงๆ…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ดูจากมุมมองของเขา ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นความชั่วช้าทั้งสิ้น
ไม่ต้องพูดถึงว่าทำไมอนุญาตให้คนกินสัตว์ แต่ไม่อนุญาตให้สัตว์กินคน
หากไล่ย้อนประวัติศาตร์เผ่ามนุษย์ ก็จะพบได้ไม่ยากว่าไม่ว่ายุคสมัยไหน โลกไหน เผ่ามนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มสุดล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด
เป็นเพราะบรรพบุรุษนับไม่ถ้วนของเผ่ามนุษย์พลีชีพหลั่งโลหิต พยายามไม่หยุดในหน้าประวัติศาสตร์ ถึงได้นำพาเผ่ามนุษย์ให้ก้าวทัดเทียมหมื่นเผ่าทั่วหล้า จารึกความรุ่งโรจน์ของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาได้ แต่ในโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้ เผ่ามนุษย์กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงและเครื่องยาชั้นดี
“หืม?”
ทันใดนั้นนัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง
ก็เห็นส่วนลึกของหมู่เขานั่น อสูรมารตนหนึ่งคว้าตัวเด็กชายที่ร้องไห้เสียงดังคนหนึ่งแล้วกดเด็กชายไว้บนโต๊ะ มีดกระดูกในมือฟันเฉือนไม่ยั้ง
ปึง! ปึง! ปึง!
เด็กชายที่ก่อนหน้านี้ยังงดงามราวหยกแกะสลัก พริบตาเดียวก็ถูกอสูรมารนั่นหั่นเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยามเลือดสดหลั่งรินออกมา ยังถูกอสูรมารนั่นยื่นหัวสีแดงฉานออกมาดูดกลืน สีหน้าเผยแววมัวเมาผ่อนคลาย กล่าวชม
“สมกับที่ข้าชุบเลี้ยงเด็กนี่มาห้าปี เลือดเนื้อของเจ้าตัวเล็กนี่เลิศรสที่สุดแล้ว!”
ขณะพูดเขาคัดกรองเนื้อมนุษย์บนเขียงทีละชิ้นอย่างช่ำชอง ปากก็ยังเอ่ยพึมพำ “เครื่องในเอาไปเคี่ยวน้ำแกงได้ แขนขาเอาไปย่างได้ หัวเล็กๆ เป็นของดีเอาไปทำเป็น…”
ในกรงขังที่อยู่ไม่ไกล สามีภรรยาเผ่ามนุษย์วัยหนุ่มสาวคู่หนึ่งนอนพังพาบกับพื้น ร้องไห้โหยหวน เด็กที่ถูกหั่นเละนั่นคือลูกของพวกเขา
คนอื่นๆ ในกรงขังยังสีหน้าเฉยชาดังเดิม ไม่แยแสต่อเรื่องพวกนี้นานแล้ว
ประดุจสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้บริโภค ถูกกักขังมานานปีจนคุ้นชินกับความจริงที่ถูกเชือดตามใจชอบแบบนี้นานแล้ว
ใครใช้ให้…
พวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์กันล่ะ
เกิดมาก็อาภัพ!
………………….