ตอนที่ 3186 จุดชนวนเมล็ดพันธุ์มนุษย์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

แววตาของหลินสวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ

เขาก้าวเท้าไป พลันปรากฏตัวกลางอากาศเหนือภูเขาแถบนั้น สายตามองลงไป

พริบตานั้น…

อสูรมารตัวเล็กตัวน้อยหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยกว่าตนกระจายอยู่ในภูเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกที่กำลังกินดื่มสังสรรค์ หรือพวกที่กำลังต้มตุ๋นเนื้อคน ร่างล้วนกลายเป็นฝุ่นผงอย่างไร้สุ้มเสียง ลอยร่วงเต็มพื้น

กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศล้วนระเหยจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา

“ใคร!”

เสียงตะโกนสายหนึ่งดังจากตำหนักหลังหนึ่งบนยอดเขา จากนั้นเงาร่างอสูรมารสีเลือดที่มีขนาดถึงพันจั้งทะยานอากาศออกมา เขามีศีรษะสิงห์ที่ใหญ่โตราวกับบ้านเก้าหัว ส่วนร่างกายเหมือนร่างมนุษย์ มีขนรุ้งเพลิง ละอองแสงแดงก่ำราวกับน้ำตกไหลลงจากทั่วร่าง กลิ่นอายน่ากลัวอย่างที่สุด

อสูรมารสิงห์เก้าหัวตนนั้นถึงกับไม่ด้อยกว่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่!

“ขั้นไร้ขอบเขตเผ่ามนุษย์!”

อสูรมารเก้าหัวอึ้งงั้นคล้ายยากจะเชื่อ

“นี่เป็นถึงโอสถชั้นเลิศที่ยากจะเห็นเชียว!”

ทันใดนั้นเสียงที่เย็นเยียบดังขึ้น เผยความดีใจ

กลับเห็นเมฆดำแถบหนึ่งเกลือกกลิ้ง งูใหญ่สีเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ ประกายแสงเย็นเยียบโหดร้ายพริบไหวในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น

ร่างใหญ่โตของงูใหญ่สีเขียวราวกับเทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ปกคลุมด้วยพลังกฎระเบียบแปลกประหลาดยากคาดเดา

“สามารถฝึกถึงขั้นไร้ขอบเขต เผ่ามนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดา สหายยุทธ์ทั้งสองระวังหน่อย”

ปักษายักษ์กระดูกขาวตัวหนึ่งทะยานอากาศมา โครงกระดูกใหญ่ยักษ์ยาวถึงหมื่นจั้ง ตำแหน่งของดวงตาทั้งคู่มีเพลิงมันวาวลุกโชน

เมื่ออสูรมารขั้นไร้ขอบเขตสามตนนี้ปรากฏตัว ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมเปลี่ยนแปลง น่ากลัวถึงที่สุด

สายตาพวกเขาล้วนมองไปยังหลินสวิน แฝงความเร่าร้อนรุนแรงยิ่ง

ราวกับเห็นยอดโอสถไร้เทียมทานมาเยือนถึงที่… ล้วนไม่กล้าเชื่อ!

ตอนแรกหลินสวินยังมีคำถามอยากถามอยู่เต็มอก

แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ไม่อยากพูดอะไรแล้ว

ใจยากสงบ รีบสังหารให้สาใจ!

หลินสวินเงยหน้ามองไปยังอสูรมารสิงค์เก้าหัวที่ปรากฏตัวก่อน

ชั่วขณะนั้นในใจอสูรมารเก้าหัวลนลานอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกถึงแรงคุกคามที่อันตรายถึงชีวิต

“โฮก!”

เขาส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ชิงลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด ศีรษะใหญ่ยักษ์ปานบ้านอ้าปาก พ่นกระแสแสงมรรคไพศาลปกคลุมไปทางหลินสวิน

“ไป!”

หลินสวินรวบฝ่ามือ ปราณกระบี่สายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา

ชั่วขณะนั้นราวกับประกายคมที่เจิดจรัสที่สุดปรากฏ ทำให้ฟ้าดินอับแสง หมื่นลักษณ์ไร้สี และทำให้สภาวะจิตของอสูรมารสิงห์เก้าหัวตัวนั้นถูกซัดแหลกละเอียดในพริบตา

พรูดๆๆ!

ศีรษะทั้งเก้าลอยกระเด็น เลือดสาดราวน้ำตก

แต่เพียงพริบตาเท่านั้นร่างและหัวที่กระเด็นออกไปของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปอย่างหมดจด

หนึ่งกระบี่สังหารอสูรมารสิงห์เก้าหัว!

ภาพที่น่ากลัวนั่นทำให้งูใหญ่สีเขียวและปักษายักษ์กระดูกขาวล้วนตกใจ ยังจะกล้าลังเลเสียที่ไหน หมุนตัวหนีไปทันที

ครืน!

พวกเขาต่างพัดกวาดสายลมชั่วร้าย แหวกทะลวงห้วงอากาศหนีเต็มกำลังเต็มกำลัง

ทว่าเพิ่งถึงครึ่งทางร่างปานภูเขาของงูใหญ่สีเขียวก็ขาดเป็นท่อนๆ ถูกดาบคมกริบสับแหลก เสียงโหยหวนดังกึกก้องแล้วพลันหยุดลง

แทบจะในเวลาเดียวกัน ปักษายักษ์กระดูกขาวตนนั้นก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าจับอย่างแรง และถูกบีบแตกทั้งอย่างนั้น เถ้ากระดูกปลิวเต็มฟ้า

อสูรมารขั้นไร้ขอบเขตใหญ่สามตน กลับล้วนราวกับกระดาษเปื่อย ถูกหลินสวินสังหารในชั่วพริบตา!

ในหมู่เขา พวกอสูรมารที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าตกใจจนทื่อทึ่มแล้ว

หลินสวินไม่ได้ปรานี

เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ แสงมรรคนับไม่ถ้วนราวกับฝนกระบี่ฟ้าประทาน ปกคลุมภูเขาแถบนี้แน่นขนัด สังหารอสูรมารทั้งหมดคาที่ ไม่เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว

ทำทั้งหมดนี้เสร็จหลินสวินจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง

แต่ยามสายตาเขามองไปยังเผ่ามนุษย์นับหมื่นคนที่ถูกขังกรงราวกับสัตว์เลี้ยงกลับอดอึ้งงันไม่ได้

คนเหล่านั้นไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ไม่มีใครเผยความดีใจและตื่นเต้นที่รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว กลับตัวสั่นระริก ตื่นตกใจไม่สามารถสงบได้

ถึงขั้นที่ไม่มีใครคิดจะหนีออกจากกรงขังนั่น…

ภาพเหล่านี้ทำให้ในใจหลินสวินหนาวสะท้าน

จู่ๆ เขาพลันตระหนักได้ว่าสำหรับเผ่ามนุษย์ในโลกนี้ เกรงว่าคงยอมรับความจริงว่าตนจะต้องกลายเป็นทาส อาหาร หรือยาชั้นดีตั้งแต่เกิดแล้ว พวกเขาถูกกำราบและเลี้ยงจนเชื่อง นอกจากมีจิตวิญญาณและสติปัญญา ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่ถูกสอนให้เชื่อง

แม้ตอนนี้ตนช่วยคนเหล่านี้ได้ แต่หลังตนจากไป พวกเขาก็ย่อมต้องกลายเป็นอาหารในจานของอสูรมารภูตผีปีศาจเหล่านั้นอีกครั้ง

นอกเสียจาก…

ตนสามารถสังหารอสูรมารทั้งหมดบนโลกได้

แต่นี่เป็นไปได้หรือ

สายตาของหลินสวินมองไปบนท้องฟ้า

นี่คือโลกเหง้าเลวร้าย ระเบียบมรรควัฏจักรที่กระจายอยู่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว ว่าแม้ตนสามารถเปลี่ยนแปลงชั่วขณะ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงทุกภพทุกชาติของคนโลกนี้ได้

หลินสวินพึมพำ “ดูท่าตัวการความชั่วร้ายที่แท้จริงของโลกนี้คือระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้สินะ…”

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป

เขาตระหนักได้ว่าหากวันหนึ่งมหามรรคของตนสามารถแทนที่ระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายได้ ก็เท่ากับสามารถกำจัด ‘ตัวการความเลวร้าย’ ได้

แต่จะทำได้ถึงขั้นนี้ได้ก็ต้องทำความเข้าใจทุกสิ่งของโลกนี้ขึ้นไปอีกขั้น หยั่งรู้ระเบียบมรรควัฏจักรเพื่อหาบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกนี้

เช่นนี้จึงสามารถแทนที่ด้วยมรรคแห่งตนได้อย่างแท้จริง

ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลินสวินทะยานผ่านภูผาธาราเลวร้ายแถบแล้วแถบเล่า เห็นภาพน่าอนาถของเผ่ามนุษย์ที่ประหนึ่งขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น

เขาเองก็เคยเข้าสู่เมืองและแคว้นมากมาย ที่เหล่านั้นมีอารยธรรมอสูรมารต่างๆ ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับ อสูรมารล้วนเป็นผู้ตั้ง

ส่วนเผ่ามนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ไม่สมควรพูดถึงฐานะด้วยซ้ำ ยิ่งกว่าทาส ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน

แต่หลินสวินกลับไม่เห็นการต่อต้านเท่าไร

ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ที่ก้าวสู่เส้นทางฝึกปราณ ยามประสบอันตราย ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทางยอมจำนน

หลินสวินไม่เคยเห็นว่ามีเผ่ามนุษย์คนใดพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้

หลินสวินซึ่งมองเห็นทุกสิ่งนี้ในสายตา มีหลายครั้งที่รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปลงมือ แต่สุดท้ายก็ทนเอาไว้

หนึ่งเดือน

สองเดือน

สามเดือน

…จนกระทั่งครึ่งปีหลังจากนั้น

เงาร่างของหลินสวินปรากฏในห้วงอากาศแห่งหนึ่ง

“ตั้งแต่วันนี้ มีข้าหลินสวินเป็นผู้กำหนดวิถีของโลกนี้”

ในเสียงพึมพำ บนร่างสูงโปร่งของหลินสวินพลันมีพลังขับเคลื่อนทรงพลังหาใดเปรียบพุ่งออกมา ทะยานขึ้นตลอดทางกระทั่งเข้าไปในส่วนลึกของท้องฟ้า

ตูม!

ระเบียบมรรคของโลกนี้ถูกกระแทกรุนแรงทันที เกิดคลื่นสะเทือนยิ่งยวด จากนั้นก็เริ่มพังทลาย

พริบตานี้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในโลกเหง้าเลวร้ายต่างตกใจ ตื่นตระหนก ไม่สามารถสงบได้ ในครรลองสายตาพวกเขา ฟ้าดินสั่นไหว มรรคสวรรค์ถูกทำลาย เสมือนวันสิ้นโลกมาเยือน หมายจะทำลายล้างโลก

แม้แต่เผ่ามนุษย์ที่กระจายอยู่ในโลกนี้ยังตื่นตกใจอย่างที่สุด

ทว่าไม่นานระเบียบมรรควัฏจักรรูปแบบใหม่ก็ปรากฏและแผ่ขยายออกไป แทบจะในไม่กี่ลมหายใจก็ปกคลุมทั้งโลกเหง้าเลวร้ายแล้ว

สิ่งมีชีวิตในโลกจึงเสมือนยกภูเขาออกจากอก ล้วนสงบลง

คล้ายว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกใจเสียเปล่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

แต่เผ่ามนุษย์ไม่รู้เท่าไรที่กระจายอยู่ในโลกนี้กลับรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนทำลายพันธนาการที่ฝังลึกในใจ หลุดพ้นจากประทับอันหนักอึ้งที่กดทับบนร่าง

ในใจทุกคน ล้วนเกิดแสงประกายกลุ่มหนึ่ง

นั่นเป็นเชื้อเพลิงของการต่อต้านและต่อสู้ เป็นความไม่ยอมจำนน ความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์!

ผู้แข็งแกร่ง สามารถเติบโตได้อย่างไร้จำกัด

สักวันหนึ่งเผ่ามนุษย์จะผงาดขึ้นในโลกนี้ ต้านทานโลกหล้า กวาดล้างความเลวร้ายที่เหยียบอยู่เหนือหัว ไม่ต้องรับความอัปยศอดสูของการตกเป็นทาส และความเจ็บปวดจากการถูกเข่นฆ่าอีกต่อไป!

นี่ก็คือมหามรรคที่หลินสวินกำหนด

หากต้องการ เขาสามารถใช้ระเบียบมรรควัฏจักรที่ตนครอบครองกวาดล้างอสูรมารทั้งปวงในโลกเหง้าเลวร้ายได้

ถึงขั้นสามารถลงทัณฑ์สวรรค์ ทำให้อสูรมารบนโลกถูกเหยียบใต้เท้าทั้งหมด

แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนี้

ไม่มีอสูรมาร เผ่ามนุษย์ก็จะเจอเรื่องเลวร้ายอื่นๆ เช่นกัน

เหยียบอสูรมารไว้ใต้เท้า สักวันก็ต้องผงาดขึ้นมาใหม่

ว่ากันถึงที่สุด ความเลวร้ายของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าอสูรมารแข็งแกร่งแค่ไหน และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเผ่ามนุษย์อ่อนแอเพียงใด

แต่อยู่ที่ว่าเผ่ามนุษย์มีความเชื่อที่จะไปต่อต้าน ‘ความเลวร้าย’ ที่ถือกำเนิดในโลกนี้หรือไม่!

มีเพียงการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ทำให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งมากพอ จึงจะไม่ตกเป็นทาสตลอดไป!

สำหรับหลินสวิน ที่เผ่ามนุษย์เป็นเผ่ามนุษย์ก็เพราะมีจิตปณิธานของการต่อต้านยามถูกกดขี่

ถ้าขาดความมุ่งมั่นนี้ยังจะเรียกว่าเผ่ามนุษย์ได้อย่างไร

สิ่งที่หลินสวินทำตอนนี้ก็คือทิ้งเชื้อเพลิงเอาไว้ ในเวลาหลังจากนี้ เมื่อเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมา ก็จะทำให้เผ่ามนุษย์ทุกยุคสมัยไปต่อสู้กับ ‘ความเลวร้าย’ ของโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้โดยไม่เกรงกลัว เช่นนี้ก็จะสามารถคงอยู่ต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรีไม่มีที่สิ้นสุด

ใต้เวิ้งฟ้า

‘เหง้าเลวร้าย รากเหง้าของความเลวร้าย เมื่อรู้ถึงความเลวร้ายจึงจะรู้คุณค่าของความดี’

หลินสวินใคร่ครวญเงียบๆ ผู้ฝึกปราณของเผ่าที่แตกต่างกัน ยามเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย เรื่องเลวร้ายที่พบเจอก็จะแตกต่างกันไป

นี่เป็นผลกระทบของบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกเหง้าเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ทำลาย ‘ต้นกำเนิดของความเลวร้าย’ ที่ว่า ไม่ได้อยู่ที่การทำลายล้างคนชั่วช้าเหล่านั้น แต่อยู่ที่การทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกมีจิตต่อสู้และความมุ่งมาดของการต่อต้านความชั่วร้าย

นี่จึงจะเป็นจุดสำคัญที่ให้สรรพชีวิตคงอยู่ตลอดไป

นี่ยังเป็นเพียงในโลกเหง้าเลวร้าย

หากเป็นโลกภายนอก คำว่า ‘เลวร้าย’ ก็มีอยู่ในทุกที่เหมือนคำว่า ‘ความดี’ ในใจคน

ระหว่างผู้ฝึกปราณ ระหว่างคนธรรมดา ล้วนมีทั้งคนดีและคนชั่ว ยากจะแบ่งแยก

ผู้ฝึกปราณอสูรมารใช่ว่าจะชั่วร้าย ผู้บำเพ็ญธรรมก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป

สรรพชีวิคในโลกนี้ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ก็ถูกกำหนดให้พบเจอกับความดีความชั่ว ความถูก ความผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งอย่างไท่ชูก็ไม่มีทางกวาดล้างความชั่วร้ายทั่วหล้าได้ ไม่มีทางทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นคนดีไปตลอดชีวิต

สรุปแล้วความดีความชั่ว ถูกผิด ขาวดำ ก็อยู่ที่มุมมองและความเข้าใจที่แตกต่างกัน

และที่ทุกชีวิตแตกต่างกัน ก็เพราะความเข้าใจและมุมมองที่มีแตกต่างกัน

ในสายตาผู้ฝึกปราณ ความแตกต่างของความเข้าใจและมุมมอง ก็คือความแตกต่างของมหามรรคที่แสวงหา บ้างสามารถรับความแตกต่าง บ้างกลับไม่อาจผสานเหมือนน้ำกับไฟ…

ใคร่ครวญอยู่ใต้ฟ้าครู่ใหญ่ ความเข้าใจต่อความดีชั่ว ถูกผิด ขาวดำในใจหลินสวินก็ยิ่งลึกซึ้ง

เขาตระหนักได้ว่าระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเลวร้ายเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าพลังมหามรรคเช่นนี้เกี่ยวข้องไปถึงมรรคแห่งความดีชั่ว หลักเหตุผลแห่งความถูกผิด

หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของมันจึงจะสามารถใช้ระเบียบมรรควัฏจักรโลกลงโทษคนชั่ว ชื่นชมคนดี ทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้า เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างแบ่งแยกผิดถูก ขาวดำ!

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท