แววตาของหลินสวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ
เขาก้าวเท้าไป พลันปรากฏตัวกลางอากาศเหนือภูเขาแถบนั้น สายตามองลงไป
พริบตานั้น…
อสูรมารตัวเล็กตัวน้อยหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยกว่าตนกระจายอยู่ในภูเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกที่กำลังกินดื่มสังสรรค์ หรือพวกที่กำลังต้มตุ๋นเนื้อคน ร่างล้วนกลายเป็นฝุ่นผงอย่างไร้สุ้มเสียง ลอยร่วงเต็มพื้น
กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศล้วนระเหยจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา
“ใคร!”
เสียงตะโกนสายหนึ่งดังจากตำหนักหลังหนึ่งบนยอดเขา จากนั้นเงาร่างอสูรมารสีเลือดที่มีขนาดถึงพันจั้งทะยานอากาศออกมา เขามีศีรษะสิงห์ที่ใหญ่โตราวกับบ้านเก้าหัว ส่วนร่างกายเหมือนร่างมนุษย์ มีขนรุ้งเพลิง ละอองแสงแดงก่ำราวกับน้ำตกไหลลงจากทั่วร่าง กลิ่นอายน่ากลัวอย่างที่สุด
อสูรมารสิงห์เก้าหัวตนนั้นถึงกับไม่ด้อยกว่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่!
“ขั้นไร้ขอบเขตเผ่ามนุษย์!”
อสูรมารเก้าหัวอึ้งงั้นคล้ายยากจะเชื่อ
“นี่เป็นถึงโอสถชั้นเลิศที่ยากจะเห็นเชียว!”
ทันใดนั้นเสียงที่เย็นเยียบดังขึ้น เผยความดีใจ
กลับเห็นเมฆดำแถบหนึ่งเกลือกกลิ้ง งูใหญ่สีเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ ประกายแสงเย็นเยียบโหดร้ายพริบไหวในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น
ร่างใหญ่โตของงูใหญ่สีเขียวราวกับเทือกเขาที่ทอดยาวต่อกัน ปกคลุมด้วยพลังกฎระเบียบแปลกประหลาดยากคาดเดา
“สามารถฝึกถึงขั้นไร้ขอบเขต เผ่ามนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดา สหายยุทธ์ทั้งสองระวังหน่อย”
ปักษายักษ์กระดูกขาวตัวหนึ่งทะยานอากาศมา โครงกระดูกใหญ่ยักษ์ยาวถึงหมื่นจั้ง ตำแหน่งของดวงตาทั้งคู่มีเพลิงมันวาวลุกโชน
เมื่ออสูรมารขั้นไร้ขอบเขตสามตนนี้ปรากฏตัว ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมเปลี่ยนแปลง น่ากลัวถึงที่สุด
สายตาพวกเขาล้วนมองไปยังหลินสวิน แฝงความเร่าร้อนรุนแรงยิ่ง
ราวกับเห็นยอดโอสถไร้เทียมทานมาเยือนถึงที่… ล้วนไม่กล้าเชื่อ!
ตอนแรกหลินสวินยังมีคำถามอยากถามอยู่เต็มอก
แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็ไม่อยากพูดอะไรแล้ว
ใจยากสงบ รีบสังหารให้สาใจ!
หลินสวินเงยหน้ามองไปยังอสูรมารสิงค์เก้าหัวที่ปรากฏตัวก่อน
ชั่วขณะนั้นในใจอสูรมารเก้าหัวลนลานอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกถึงแรงคุกคามที่อันตรายถึงชีวิต
“โฮก!”
เขาส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ชิงลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด ศีรษะใหญ่ยักษ์ปานบ้านอ้าปาก พ่นกระแสแสงมรรคไพศาลปกคลุมไปทางหลินสวิน
“ไป!”
หลินสวินรวบฝ่ามือ ปราณกระบี่สายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา
ชั่วขณะนั้นราวกับประกายคมที่เจิดจรัสที่สุดปรากฏ ทำให้ฟ้าดินอับแสง หมื่นลักษณ์ไร้สี และทำให้สภาวะจิตของอสูรมารสิงห์เก้าหัวตัวนั้นถูกซัดแหลกละเอียดในพริบตา
พรูดๆๆ!
ศีรษะทั้งเก้าลอยกระเด็น เลือดสาดราวน้ำตก
แต่เพียงพริบตาเท่านั้นร่างและหัวที่กระเด็นออกไปของเขาก็กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปอย่างหมดจด
หนึ่งกระบี่สังหารอสูรมารสิงห์เก้าหัว!
ภาพที่น่ากลัวนั่นทำให้งูใหญ่สีเขียวและปักษายักษ์กระดูกขาวล้วนตกใจ ยังจะกล้าลังเลเสียที่ไหน หมุนตัวหนีไปทันที
ครืน!
พวกเขาต่างพัดกวาดสายลมชั่วร้าย แหวกทะลวงห้วงอากาศหนีเต็มกำลังเต็มกำลัง
ทว่าเพิ่งถึงครึ่งทางร่างปานภูเขาของงูใหญ่สีเขียวก็ขาดเป็นท่อนๆ ถูกดาบคมกริบสับแหลก เสียงโหยหวนดังกึกก้องแล้วพลันหยุดลง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ปักษายักษ์กระดูกขาวตนนั้นก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าจับอย่างแรง และถูกบีบแตกทั้งอย่างนั้น เถ้ากระดูกปลิวเต็มฟ้า
อสูรมารขั้นไร้ขอบเขตใหญ่สามตน กลับล้วนราวกับกระดาษเปื่อย ถูกหลินสวินสังหารในชั่วพริบตา!
ในหมู่เขา พวกอสูรมารที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าตกใจจนทื่อทึ่มแล้ว
หลินสวินไม่ได้ปรานี
เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ แสงมรรคนับไม่ถ้วนราวกับฝนกระบี่ฟ้าประทาน ปกคลุมภูเขาแถบนี้แน่นขนัด สังหารอสูรมารทั้งหมดคาที่ ไม่เหลือรอดแม้แต่ตนเดียว
ทำทั้งหมดนี้เสร็จหลินสวินจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง
แต่ยามสายตาเขามองไปยังเผ่ามนุษย์นับหมื่นคนที่ถูกขังกรงราวกับสัตว์เลี้ยงกลับอดอึ้งงันไม่ได้
คนเหล่านั้นไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กหรือแก่ ไม่มีใครเผยความดีใจและตื่นเต้นที่รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว กลับตัวสั่นระริก ตื่นตกใจไม่สามารถสงบได้
ถึงขั้นที่ไม่มีใครคิดจะหนีออกจากกรงขังนั่น…
ภาพเหล่านี้ทำให้ในใจหลินสวินหนาวสะท้าน
จู่ๆ เขาพลันตระหนักได้ว่าสำหรับเผ่ามนุษย์ในโลกนี้ เกรงว่าคงยอมรับความจริงว่าตนจะต้องกลายเป็นทาส อาหาร หรือยาชั้นดีตั้งแต่เกิดแล้ว พวกเขาถูกกำราบและเลี้ยงจนเชื่อง นอกจากมีจิตวิญญาณและสติปัญญา ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานที่ถูกสอนให้เชื่อง
แม้ตอนนี้ตนช่วยคนเหล่านี้ได้ แต่หลังตนจากไป พวกเขาก็ย่อมต้องกลายเป็นอาหารในจานของอสูรมารภูตผีปีศาจเหล่านั้นอีกครั้ง
นอกเสียจาก…
ตนสามารถสังหารอสูรมารทั้งหมดบนโลกได้
แต่นี่เป็นไปได้หรือ
สายตาของหลินสวินมองไปบนท้องฟ้า
นี่คือโลกเหง้าเลวร้าย ระเบียบมรรควัฏจักรที่กระจายอยู่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว ว่าแม้ตนสามารถเปลี่ยนแปลงชั่วขณะ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงทุกภพทุกชาติของคนโลกนี้ได้
หลินสวินพึมพำ “ดูท่าตัวการความชั่วร้ายที่แท้จริงของโลกนี้คือระเบียบมรรควัฏจักรของโลกนี้สินะ…”
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
เขาตระหนักได้ว่าหากวันหนึ่งมหามรรคของตนสามารถแทนที่ระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายได้ ก็เท่ากับสามารถกำจัด ‘ตัวการความเลวร้าย’ ได้
แต่จะทำได้ถึงขั้นนี้ได้ก็ต้องทำความเข้าใจทุกสิ่งของโลกนี้ขึ้นไปอีกขั้น หยั่งรู้ระเบียบมรรควัฏจักรเพื่อหาบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกนี้
เช่นนี้จึงสามารถแทนที่ด้วยมรรคแห่งตนได้อย่างแท้จริง
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลินสวินทะยานผ่านภูผาธาราเลวร้ายแถบแล้วแถบเล่า เห็นภาพน่าอนาถของเผ่ามนุษย์ที่ประหนึ่งขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น
เขาเองก็เคยเข้าสู่เมืองและแคว้นมากมาย ที่เหล่านั้นมีอารยธรรมอสูรมารต่างๆ ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับ อสูรมารล้วนเป็นผู้ตั้ง
ส่วนเผ่ามนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ไม่สมควรพูดถึงฐานะด้วยซ้ำ ยิ่งกว่าทาส ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
แต่หลินสวินกลับไม่เห็นการต่อต้านเท่าไร
ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ที่ก้าวสู่เส้นทางฝึกปราณ ยามประสบอันตราย ส่วนใหญ่ล้วนมีท่าทางยอมจำนน
หลินสวินไม่เคยเห็นว่ามีเผ่ามนุษย์คนใดพยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดนี้
หลินสวินซึ่งมองเห็นทุกสิ่งนี้ในสายตา มีหลายครั้งที่รู้สึกอยากพุ่งเข้าไปลงมือ แต่สุดท้ายก็ทนเอาไว้
หนึ่งเดือน
สองเดือน
สามเดือน
…จนกระทั่งครึ่งปีหลังจากนั้น
เงาร่างของหลินสวินปรากฏในห้วงอากาศแห่งหนึ่ง
“ตั้งแต่วันนี้ มีข้าหลินสวินเป็นผู้กำหนดวิถีของโลกนี้”
ในเสียงพึมพำ บนร่างสูงโปร่งของหลินสวินพลันมีพลังขับเคลื่อนทรงพลังหาใดเปรียบพุ่งออกมา ทะยานขึ้นตลอดทางกระทั่งเข้าไปในส่วนลึกของท้องฟ้า
ตูม!
ระเบียบมรรคของโลกนี้ถูกกระแทกรุนแรงทันที เกิดคลื่นสะเทือนยิ่งยวด จากนั้นก็เริ่มพังทลาย
พริบตานี้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในโลกเหง้าเลวร้ายต่างตกใจ ตื่นตระหนก ไม่สามารถสงบได้ ในครรลองสายตาพวกเขา ฟ้าดินสั่นไหว มรรคสวรรค์ถูกทำลาย เสมือนวันสิ้นโลกมาเยือน หมายจะทำลายล้างโลก
แม้แต่เผ่ามนุษย์ที่กระจายอยู่ในโลกนี้ยังตื่นตกใจอย่างที่สุด
ทว่าไม่นานระเบียบมรรควัฏจักรรูปแบบใหม่ก็ปรากฏและแผ่ขยายออกไป แทบจะในไม่กี่ลมหายใจก็ปกคลุมทั้งโลกเหง้าเลวร้ายแล้ว
สิ่งมีชีวิตในโลกจึงเสมือนยกภูเขาออกจากอก ล้วนสงบลง
คล้ายว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกใจเสียเปล่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
แต่เผ่ามนุษย์ไม่รู้เท่าไรที่กระจายอยู่ในโลกนี้กลับรู้สึกถึงพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนทำลายพันธนาการที่ฝังลึกในใจ หลุดพ้นจากประทับอันหนักอึ้งที่กดทับบนร่าง
ในใจทุกคน ล้วนเกิดแสงประกายกลุ่มหนึ่ง
นั่นเป็นเชื้อเพลิงของการต่อต้านและต่อสู้ เป็นความไม่ยอมจำนน ความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์!
ผู้แข็งแกร่ง สามารถเติบโตได้อย่างไร้จำกัด
สักวันหนึ่งเผ่ามนุษย์จะผงาดขึ้นในโลกนี้ ต้านทานโลกหล้า กวาดล้างความเลวร้ายที่เหยียบอยู่เหนือหัว ไม่ต้องรับความอัปยศอดสูของการตกเป็นทาส และความเจ็บปวดจากการถูกเข่นฆ่าอีกต่อไป!
นี่ก็คือมหามรรคที่หลินสวินกำหนด
หากต้องการ เขาสามารถใช้ระเบียบมรรควัฏจักรที่ตนครอบครองกวาดล้างอสูรมารทั้งปวงในโลกเหง้าเลวร้ายได้
ถึงขั้นสามารถลงทัณฑ์สวรรค์ ทำให้อสูรมารบนโลกถูกเหยียบใต้เท้าทั้งหมด
แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนี้
ไม่มีอสูรมาร เผ่ามนุษย์ก็จะเจอเรื่องเลวร้ายอื่นๆ เช่นกัน
เหยียบอสูรมารไว้ใต้เท้า สักวันก็ต้องผงาดขึ้นมาใหม่
ว่ากันถึงที่สุด ความเลวร้ายของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าอสูรมารแข็งแกร่งแค่ไหน และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเผ่ามนุษย์อ่อนแอเพียงใด
แต่อยู่ที่ว่าเผ่ามนุษย์มีความเชื่อที่จะไปต่อต้าน ‘ความเลวร้าย’ ที่ถือกำเนิดในโลกนี้หรือไม่!
มีเพียงการปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเผ่ามนุษย์ขึ้นมาอย่างแท้จริง ทำให้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งมากพอ จึงจะไม่ตกเป็นทาสตลอดไป!
สำหรับหลินสวิน ที่เผ่ามนุษย์เป็นเผ่ามนุษย์ก็เพราะมีจิตปณิธานของการต่อต้านยามถูกกดขี่
ถ้าขาดความมุ่งมั่นนี้ยังจะเรียกว่าเผ่ามนุษย์ได้อย่างไร
สิ่งที่หลินสวินทำตอนนี้ก็คือทิ้งเชื้อเพลิงเอาไว้ ในเวลาหลังจากนี้ เมื่อเผ่ามนุษย์ผงาดขึ้นมา ก็จะทำให้เผ่ามนุษย์ทุกยุคสมัยไปต่อสู้กับ ‘ความเลวร้าย’ ของโลกเหง้าเลวร้ายแห่งนี้โดยไม่เกรงกลัว เช่นนี้ก็จะสามารถคงอยู่ต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรีไม่มีที่สิ้นสุด
ใต้เวิ้งฟ้า
‘เหง้าเลวร้าย รากเหง้าของความเลวร้าย เมื่อรู้ถึงความเลวร้ายจึงจะรู้คุณค่าของความดี’
หลินสวินใคร่ครวญเงียบๆ ผู้ฝึกปราณของเผ่าที่แตกต่างกัน ยามเข้าสู่โลกเหง้าเลวร้าย เรื่องเลวร้ายที่พบเจอก็จะแตกต่างกันไป
นี่เป็นผลกระทบของบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกเหง้าเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทำลาย ‘ต้นกำเนิดของความเลวร้าย’ ที่ว่า ไม่ได้อยู่ที่การทำลายล้างคนชั่วช้าเหล่านั้น แต่อยู่ที่การทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกมีจิตต่อสู้และความมุ่งมาดของการต่อต้านความชั่วร้าย
นี่จึงจะเป็นจุดสำคัญที่ให้สรรพชีวิตคงอยู่ตลอดไป
นี่ยังเป็นเพียงในโลกเหง้าเลวร้าย
หากเป็นโลกภายนอก คำว่า ‘เลวร้าย’ ก็มีอยู่ในทุกที่เหมือนคำว่า ‘ความดี’ ในใจคน
ระหว่างผู้ฝึกปราณ ระหว่างคนธรรมดา ล้วนมีทั้งคนดีและคนชั่ว ยากจะแบ่งแยก
ผู้ฝึกปราณอสูรมารใช่ว่าจะชั่วร้าย ผู้บำเพ็ญธรรมก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป
สรรพชีวิคในโลกนี้ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ก็ถูกกำหนดให้พบเจอกับความดีความชั่ว ความถูก ความผิด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งอย่างไท่ชูก็ไม่มีทางกวาดล้างความชั่วร้ายทั่วหล้าได้ ไม่มีทางทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นคนดีไปตลอดชีวิต
สรุปแล้วความดีความชั่ว ถูกผิด ขาวดำ ก็อยู่ที่มุมมองและความเข้าใจที่แตกต่างกัน
และที่ทุกชีวิตแตกต่างกัน ก็เพราะความเข้าใจและมุมมองที่มีแตกต่างกัน
ในสายตาผู้ฝึกปราณ ความแตกต่างของความเข้าใจและมุมมอง ก็คือความแตกต่างของมหามรรคที่แสวงหา บ้างสามารถรับความแตกต่าง บ้างกลับไม่อาจผสานเหมือนน้ำกับไฟ…
ใคร่ครวญอยู่ใต้ฟ้าครู่ใหญ่ ความเข้าใจต่อความดีชั่ว ถูกผิด ขาวดำในใจหลินสวินก็ยิ่งลึกซึ้ง
เขาตระหนักได้ว่าระเบียบมรรควัฏจักรของโลกเหง้าเลวร้ายไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเลวร้ายเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าพลังมหามรรคเช่นนี้เกี่ยวข้องไปถึงมรรคแห่งความดีชั่ว หลักเหตุผลแห่งความถูกผิด
หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของมันจึงจะสามารถใช้ระเบียบมรรควัฏจักรโลกลงโทษคนชั่ว ชื่นชมคนดี ทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้า เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างแบ่งแยกผิดถูก ขาวดำ!
……………………