ตอนที่ 3203 ทำไมจะไม่ได้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3203 ทำไมจะไม่ได้

หยวนจงคือผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งหอเซียน เดิมก็เป็นผู้แปรมรรคคนหนึ่ง

คำพูดนี้ของเขาทำให้ทัศนคติที่ระดับอมตะพวกนั้นมีต่อหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย สีหน้าล้วนจริงจังขึ้นมาไม่น้อย

เถียนรั่วจิ้งอดกล่าวไม่ได้ “ความหมายของใต้เท้าคือหลินสวินนั่นมีโอกาสสูงว่าจะบุกมายังสำนักเซียนจงอางแดงนี้จริงหรือ”

หยวนจงกล่าวเสียงขรึม “พูดลำบาก แต่เตรียมการพร้อมย่อมไม่ใช่เรื่องร้าย”

ทุกคนล้วนพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

“เลี่ยหย่ง”

หยวนจงเคลื่อนสายตามองชายชุดขาวคนหนึ่ง “จากนี้ไปเจ้ามาดูแลกำลังพลทั้งหมดของที่นี่ หากหลินสวินบุกมาก็จัดการเขาเต็มกำลัง”

ชายชุดขาวนามเลี่ยหย่งคือผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งสำนักเซียนจงอางแดง ระดับอมตะขั้นดับเทพคนหนึ่ง

“ขอรับ”

เลี่ยหย่งรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด

วันนั้นหยวนจงพาเถียนรั่วจิ้งออกจากสำนักเซียนจงอางแดงเพื่อกลับไปหอเซียน

“ใต้เท้า พวกเรากลับไปหอเซียนตอนนี้เพื่ออะไร”

ระหว่างทางเถียนรั่วจิ้งอดถามไม่ได้

“ผู้สูงส่งย่อมถนอมตน สำนักเซียนจงอางแดงนี้กลายเป็นศูนย์รวมปัญหาแล้ว เป็นโชคหรือเคราะห์ล้วนยากคาดเดา เพื่อความปลอดภัยย่อมต้องปลีกตัวจากไป”

แววตาหยวนจงไหววูบ กล่าวง่ายๆ “หากหลินสวินบุกมา ย่อมยืมมือของระดับอมตะอย่างพวกเลี่ยหย่งมาหยั่งเชิงความสามารถของหลินสวินตอนนี้ได้พอดี”

เถียนรั่วจิ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ในใจพลันหนาวเยือกขึ้นมา นางคิดไม่ถึงว่าหยวนจงจะนำชีวิตของระดับอมตะอย่างพวกเลี่ยหย่งไปหยั่งเชิงหลินสวิน!

หากพวกเลี่ยหย่งชนะก็แล้วไปเถอะ

แต่ถ้าแพ้ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก!

หยวนจงเหลือบมองเถียนรั่วจิ้งเล็กน้อยพลางกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าเย็นชาไร้น้ำใจเกินไปใช่หรือไม่”

เถียนรั่วจิ้งสะท้าน เอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าย่อมมีความคิดของใต้เท้า ข้ามีหรือจะกล้าเดาส่งเดช”

หยวนจงยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ หากไม่ใช่ว่าอยู่ในโลกแปรมรรคนี้ ระดับอมตะพวกนั้นล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นหมากของพวกเราด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงเปี่ยมความผงาดผยองและเย่อหยิ่ง

เมื่อคิดดูแล้วผู้แปรมรรคคนไหนไม่ใช่พวกน่ากลัวที่ก้าวสู่มรรคานิรันดร์ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่บ้าง

ในสายตาของพวกเขา ระดับอมตะ… ไม่มีค่าจริงๆ!

แต่เห็นชัดว่าเถียนรั่วจิ้งไม่อาจเข้าใจความนัยในนั้น นางเป็นแค่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง

แต่นางฉลาดมาก ไม่เคยไปคาดเดาเรื่องที่ไม่เข้าใจ

ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกหยวนจงหันมองและนำมาอยู่ข้างกาย

“ข้าแค่หวังว่าพวกเลี่ยหย่งจะทำสำเร็จ มิฉะนั้น… เรื่องราวคงยากจัดการจริงๆ…”

หยวนจงคล้ายกล่าวกับตัวเอง ประกายในดวงตาปรวนแปรไม่หยุด

เขาไม่ได้บอกเถียนรั่วจิ้งว่าสาเหตุที่ออกจากสำนักเซียนจงอางแดงมา เป็นเพราะเขานึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง…

ตอนนี้หลินสวินอาจแปรมรรคาอมตะสมบูรณ์สายหนึ่งแล้ว!

หากเป็นเช่นนี้ ปัจจุบันหลินสวินดูเหมือนมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่ขอแค่ครองพลังเพียงพอ มรรควิถีของเขาก็จะทะลวงระดับต่อเนื่อง ก้าวสู่ระดับอมตะ!

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้หยวนจงออกจากสำนักเซียนจงอางแดง

เขาต้องกลับไปหอเซียน ไปหารือมาตรการรับมือกับจู๋เฉิงและทูตชะตาสวรรค์คนอื่น

‘กล่าวกันถึงที่สุดแล้วเป็นเพราะไม่อาจกำจัดเจ้ายามอ่อนแอ กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในวันนี้…’ หยวนจงทอดถอนใจ

หลายวันต่อมา

บรรยากาศของสำนักเซียนจงอางแดงคุกรุ่นหาใดเปรียบ

ระดับอมตะสามสิบหกคนซึ่งมีเลี่ยหย่งผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งสำนักเซียนจงอางแดงเป็นหัวหน้า สั่งสมกำลังเตรียมการพร้อมสรรพ

แต่ตามเวลาที่ล่วงเลย เมื่อข่าวมากมายลอยมาเหมือนผลึกหิมะ บรรยากาศคุกรุ่นนั่นปกคลุมด้วยเงามืดกดดันคร่ำเคร่งชั้นหนึ่ง

“ถึงตอนนี้มีกำลังพลห้าสิบเจ็ดคนถูกหลินสวินนั่นกำราบ มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่แพ้ด้วยมือเขามีมากถึงห้าสิบสี่คนแล้ว!”

สำนักเซียนจงอางแดง ภายในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ระดับอมตะคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงจริงจัง “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือขอแค่เป็นคู่ต่อสู้ที่ถูกหลินสวินจับจ้อง ไม่มีใครต้านได้สักกระบวนท่า…”

ระดับอมตะคนอื่นสีหน้าปรวนแปรไม่หยุดเช่นกัน

หลายวันนี้ข่าวที่ส่งมาแม้จะมาก แต่เนื้อหากลับคล้ายกันจนน่าตกตะลึง…

หลินสวินกำลังรีบเร่งมาสำนักเซียนจงอางแดง เหล่าผู้ฝึกปราณที่คิดสกัดเขาระหว่างทางล้วนถูกตีพ่ายยับเยินทั้งหมด…!

นี่จะไม่ให้พวกเขาหวาดหวั่นได้อย่างไร

มีคนกล่าวเสียงขรึม “แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ข่าวพวกนี้ล้วนบอกว่าพลังปราณของเขายังอยู่แค่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเท่านั้น”

“อย่าลืมสิ ใต้เท้าหยวนจงเคยบอกว่าผู้แปรมรรคไม่สามารถใช้ความเข้าใจทั่วไปมาคาดคะเน! หลินสวินเอาชนะคนมากขนาดนั้นได้ มีหรือจะไม่รู้เรื่องที่พวกเราคอยอยู่ที่นี่ แต่เขากลับยังบุกมาสำนักเซียนจงอางแดง เกรงว่าเขาคงมีพลังต่อกรกับระดับอมตะแล้วจริงๆ…”

มีคนวิตกกังวล

“กลัวอะไร พวกเราระดับอมตะสามสิบหกคนจะสู้เขาคนเดียวไม่ได้เชียวหรือ” ทั้งมีคนไม่ใส่ใจ

“ไม่ต้องเถียงกัน”

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เลี่ยหย่งเอ่ยเสียงขรึม “หลายวันก่อนยามใต้เท้าหยวนจงจากไปก็บอกแล้วว่าให้พวกเราเตรียมพร้อมอย่างเข้มงวด หากเขากล้าบุกมาจริงแค่กำจัดเขาก็พอ!”

น้ำเสียงเจือไอสังหารโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

ที่นี่คือสำนักเซียนจงอางแดง ส่วนเขาคือผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักเซียนจงอางแดง ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือปกป้องที่นี่

หลายวันนี้ชิงเหิงตกอยู่ในสภาพหมดความรู้สึกโดยสมบูรณ์

ตลอดทางนี้เขาเห็นผู้ฝึกปราณมากมายทะยานมาด้วยท่าทีฮึกเหิม จากนั้นก็กลายเป็นเนื้อบนเขียง ถูกหลินสวินจัดการไปทั้งหมด

ในกลุ่มผู้ฝึกปราณพวกนั้นมีผู้แข็งแกร่งเลื่องชื่อมากมาย ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นบุคคลมากอิทธิพลในโลกแปรมรรค

ถึงขั้นว่าพวกร้ายกาจบางคนยังทำให้ชิงเหิงหวาดกลัวหาใดเปรียบ

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน จุดจบของพวกเขาทุกคนล้วนเหมือนกัน คล้ายแมงเม่าบินเข้ากองไฟ สัตว์ติดกับเอง ไม่มีใครรอดจากการปล้นของหลินสวินได้สักคน

ทั้งไม่มีใครสามารถหนีพ้น

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้มากเข้า ความอกสั่นขวัญแขวนตอนแรกของชิงเหิงเปลี่ยนเป็นชินชาเฉยเมย

เมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นผู้ฝึกปราณพุ่งเข้ามา ในใจเขาจะไม่เกิดคลื่นความรู้สึกใดแล้ว

“ข้างหน้าคงเป็นสำนักเซียนจงอางแดงกระมัง”

ทันใดนั้นเสียงหลินสวินดังขึ้นข้างหูชิงเหิง ฝ่ายหลังอึ้งงันก่อน จากนั้นพลันได้สติจากสภาพชินชา

บนพื้นดินซึ่งห่างไกลออกไปปรากฏหมู่เขาแถบหนึ่ง ยอดเขาซ้อนสลับ เมฆลอยล่องหมอกระยับ บนเวิ้งฟ้ามีแสงเทพนับหมื่นแสนโน้มลงมา ส่องประกายไร้ขอบเขต

เขาผาวาโย!

“ไม่ผิด นั่นคือเขาผาวาโยอาณาเขตของสำนักเซียนจงอางแดง!”

สีหน้าชิงเหิงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ความรู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวายซึ่งไม่ได้สัมผัสมานานเริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง

เขารู้แล้วว่าภายในสำนักเซียนจงอางแดงนี้ ปัจจุบันมีระดับอมตะสามสิบหกคนปกครองอยู่ แต่ละคนล้วนเรียกว่าเป็นยักษ์ใหญ่น่ากลัวที่ทำให้เขาต้องแหงนมอง!

ตอนนี้หลินสวินบุกโจมตีตลอดทาง ต้องการเปิดศึกกับยักษ์ใหญ่น่ากลัวพวกนี้ นี่จะไม่ให้ชิงเหิงประหม่าได้อย่างไร

“สหายยุทธ์ เจ้ารวบรวมพลังพอหรือยัง”

ชิงเหิงอดถามไม่ได้

หลินสวินส่ายหัว “ยังขาดอีกมาก แต่หากจัดการเหล่าระดับอมตะที่นี่แล้วน่าจะเพียงพอ”

‘ยังขาดอีกมาก…’

ชิงเหิงอึ้งงัน ทั้งกังวลทั้งหมดคำพูด ถ้าอย่างนั้นจะเอาอะไรไปสู้กับเหล่าระดับอมตะนั่นเล่า

“เจ้าอยู่ที่นี่อย่าขยับ เดี๋ยวข้ามา”

หลินสวินเหลือบมองชิงเหิงเล็กน้อย ก่อนมุ่งตรงห่างออกไป

ชิงเหิงกำลังจะตามไป แต่กลับพบว่าเงาร่างถูกพลังไร้รูปกักอยู่ตรงนั้น ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีก

“สหายยุทธ์ เจ้าต้องระวังตัวนะ!”

ชิงเหิงกล่าวเตือนอย่างร้อนรน

“ที่ควรระวังตัวคือศัตรูพวกนั้นถึงจะถูก”

หลินสวินกล่าวโดยไม่แม้แต่หันกลับ

ชิงเหิงมุมปากกระตุก เขาสงสัยนักว่าหลินสวินยังมั่นใจในเวลานี้ได้อย่างไร

ศัตรูแข็งแกร่งอยู่เบื้องหน้า ไม่ควรระวังตัวหน่อยหรือ

เมื่อเห็นเงาร่างหลินสวินก้าวไปกลางอากาศคนเดียว เข้าใกล้สำนักเซียนจงอางแดงทีละน้อย ความรู้สึกแรกของชิงเหิงคือความเข้าใจด้านการฝึกปราณที่ผ่านมาของตนถูกโจมตีอย่างหนัก

วู้ๆๆ…

เสียงเป่าเขาสัตว์ก้องกังวานระลอกหนึ่งดังมาจากเขาผาวาโย กลางฟ้าดินอบอวลด้วยกลิ่นอายครัดเคร่งกดดันทันที

เห็นชัดว่าเหล่าบุคคลสำคัญที่อยู่ในสำนักเซียนจงอางแดงนั้นสังเกตเห็นการมาของหลินสวินแล้ว ทำการตอบสนองตั้งแต่แรกทันที

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

กลิ่นอายอมตะน่ากลัวสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาจากเขาผาวาโย คล้ายรุ้งเทพโฉบผ่านอากาศ สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

นั่นคือระดับอมตะสามสิบหกคนอย่างพวกเลี่ยหย่ง

เมื่อพวกเขาปรากฏตัว ฟ้าดินไร้สี ใต้หล้าหม่นแสง อานุภาพกดดันชวนประหวั่นที่มองไม่เห็นแผ่กระจายราวกระแสน้ำ ทำให้ชิงเหิงซึ่งอยู่ห่างไกลหายใจติดขัด ตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี

กำลังพลนั้นทำให้สภาวะจิตของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างเขายังรู้สึกเหมือนจะพังทลาย

“หลินสวิน เจ้ากล้าบังอาจบุกมาจริงหรือ”

เสียงประหลาดใจหนึ่งดังขึ้น

ผู้พูดคือเด็กหนุ่มผมขาวชุดม่วงคนหนึ่ง ที่หลังพาดดาบยักษ์สีทองหนึ่งเล่ม วงแหวนเทพอมตะบนตัวเจิดจ้าดังดวงตะวัน เปล่งประกายเจิดจรัส

“หากข้าไม่มา ทุกท่านจะไม่รอเก้อมาหลายวันหรือ”

หลินสวินยิ้ม ท่าทางผ่อนคลาย

เขายืนกลางอากาศคนเดียว บนตัวไม่มีกลิ่นอายชวนตะลึง แต่ท่าทางสุขุมมั่นใจนั้นกลับทำให้ระดับอมตะพวกนั้นอดหันมองไม่ได้

“พวกเราแค่ทำตามคำสั่ง ขอเพียงเจ้าเลือกยอมจำนน พวกเราย่อมไม่สร้างความลำบากให้เจ้า”

เลี่ยหย่งกล่าวเสียงขรึม

หลินสวินนิ่งสงบเกินไปแล้ว ต่อให้บนตัวอบอวลเพียงกลิ่นอายระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่ายากเข้าใจ

“แน่นอนว่าข้าคนแซ่หลินย่อมรู้ว่าทุกท่านทำตามคำสั่ง ทั้งไม่อยากสร้างความลำบากให้ทุกท่าน เอาอย่างนี้ ขอเพียงพวกเจ้ามอบสมบัติติดตัวมา ข้าคนแซ่หลินจะไปทันที แบบนี้เป็นอย่างไร”

หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก

ระดับอมตะพวกนั้นอึ้งงัน พวกเขาเพิ่งเคยถูกคนข่มขู่เช่นนี้เป็นครั้งแรก กระทั่งสีหน้ายังเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอยู่บ้าง

เจ้าหมอนี่… คิดว่าระดับอมตะอย่างพวกเขาเป็นเครื่องประดับจริงหรือ

“อยากให้พวกเรามอบสมบัติติดตัวนั้นย่อมได้ เอาชนะพวกเราก่อนค่อยว่ากัน!”

เด็กหนุ่มผมขาวชุดม่วงนั่นกล่าวเสียงขรึม

“ทำไมจะไม่ได้”

หลินสวินหัวเราะ จากนั้นค่อยก้าวแหวกอากาศมาข้างหน้า

ตูม!

เวลานี้กลิ่นอายบนตัวเขาพลันปะทุเหมือนภูเขาไฟที่เงียบสงบมานาน

ทุกก้าวย่างกลิ่นอายเขาจะเพิ่มขึ้นช่วงใหญ่ เมื่อฟ้าดินสะเทือนครั้งหนึ่ง อานุภาพน่ากลัวไร้รูปจะแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งส่วน

เมื่อเขาก้าวออกไปเก้าก้าว

ห้วงอากาศใกล้เคียงซึ่งมีเขาเป็นศูนย์กลางพลันทรุดตัวลง เกิดเสียงแหลมสูงกึกก้อง

ห่างออกไประดับอมตะสามสิบหกคนนั้นรู้สึกถึงพลังกดดันราวถาโถมเข้าใส่ ทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน

แค่พริบตาหลินสวินซึ่งเดิมมีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ถึงกับมีอานุภาพไม่ด้อยไปกว่าระดับอมตะขั้นดับเทพ!

นี่ทำให้จิตใจพวกเขาสั่นสะท้านรุนแรงและยากจะเชื่อ

…………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท