ความกระสับกระส่ายเด่นชัดผุดขึ้นในใจของระดับอมตะอย่างพวกเลี่ยหย่ง
“ลงมือ!”
พวกเขาลงมือพร้อมกันโดยไม่ลังเล
ตูม!
แสงมรรคอมตะเจิดจรัสแสบตานานัปการพุ่งขึ้นมา ประสานเป็นกระแสพลังปั่นป่วนกลางฟ้าดิน ศาสตรามรรคอมตะมากมายเคลื่อนผ่านอากาศ มีประทับมรรค แส้หางม้า กระบี่เซียน กระถางโบราณ คทาสมประสงค์… หมอกแสงเจิดจรัสแผ่อานุภาพไร้ใดเปรียบ
กระแสพลังเช่นนี้ล้วนม้วนซัดไปทางหลินสวินคนเดียว
ฟ้าดินพลันคร่ำครวญ สรรพสิ่งล้วนหม่นแสง
ภาพเหตุการณ์นั้นทำให้ชิงเหิงขนพองสยองเกล้า
กลับเห็นหลินสวินส่ายหัวเหมือนผิดหวังอยู่บ้าง
สาเหตุอยู่ที่ภาพเช่นนี้เขาผ่านมาเยอะแล้ว ปีนั้นยามอยู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แค่พลิกฝ่ามือยังกำจัดได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้
“ทะยาน!”
แขนเสื้อเขาพลิกตลบ เสียงกระบี่ครวญดังก้องทันที มีเจตกระบี่ไร้สิ้นสุดปรากฏกลางฟ้าดินแถบนี้
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สายหนึ่งกวาดผ่านอากาศ
การโจมตีที่ระดับอมตะสามสิบหกคนร่วมมือกันถูกแหวกเป็นทางมหึมาโดยง่ายราวผืนผ้าทันที
ฟุ้งกระจายดุจกระแสน้ำ!
ตูม…
จากนั้นเสียงระเบิดน่ากลัวดังก้อง ฟ้าดินพลิกตลบ ตะวันจันทราพลิกคว่ำ เจตกระบี่ไร้ขอบเขตโน้มลงมาดุจธารดาราเก้าฟ้า ปกคลุมทั่วโลกหล้า
เจตกระบี่นั้นยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้ฟ้าดินขาวโพลนทั้งแถบ!
“ไม่…!”
มีเสียงตะโกนตื่นตระหนกดังขึ้น
“สหายยุทธ์โปรดออมมือ พวกเรายอมจำนน!”
มีคนตะโกนยอมแพ้
…ไม่นานฝุ่นควันจางหาย เจตกระบี่ไร้ขอบเขตซึ่งปกคลุมทั่วหล้าหายไป ใต้หล้าฟ้าดินกลับสู่ความสงบดังเดิม ทัศนวิสัยเปลี่ยนเป็นแจ่มชัด
จากนั้นชิงเหิงก็เห็นระดับอมตะสามสิบหกคนนั้นหน้าซีด อกสั่นขวัญหาย สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและมึนงง
ลำคอพวกเขาต่างมีปราณกระบี่กระจ่างแวววาวสายหนึ่งจ่ออยู่!
ชิงเหิงอึ้งงันโดยสมบูรณ์
การโจมตีเดียวพิชิตระดับอมตะสามสิบหกคน?!
นี่ล้มล้างความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง ทำให้กายใจเขาตระหนกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อมองหลินสวินอีกครั้ง ชายเสื้อเขาพลิ้วไหว ยืนสันโดษ ราบเรียบนิ่งสงบเหมือนเคย
แต่ตอนนี้ในสายตาทุกคน หลินสวินราวกับเทพผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเล็กจ้อยไร้กำลังอย่างบอกไม่ถูก
ไม่มีใครเคยจินตนาการว่าคนผู้หนึ่งซึ่งมีมรรควิถีแค่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ทำไมกลับมีอานุภาพน่ากลัวเช่นนั้นในพริบตา
ทุกอย่างนี้ราวกับฝันร้ายไม่ใช่ความจริง…
บรรยากาศกดดัน อากาศราวค้างแข็ง
“ตอนนี้ทุกท่านพอใจหรือยัง”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ เสียงนั้นลอยอยู่กลางฟ้าดิน ทำให้ระดับอมตะอย่างเลี่ยหย่งสั่นไปทั้งตัว ได้สติกลับมาจากความตระหนกเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“พวกเรา… ยอมจำนน”
เลี่ยหย่งกล่าวขมขื่น
คนอื่นต่างหดหู่เช่นกัน
การโจมตีเดียวก็สยบพวกเขาได้ นี่ทำให้พวกเขารู้ซึ้งว่าความแตกต่างและห่างชั้นด้านพลังคืออะไร
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าต่อให้หลินสวินเป็นผู้แปรมรรค แต่ย่อมไม่มีทางต้านทานได้แน่
ทว่าตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งรู้ว่าผู้แปรมรรคอย่างหลินสวินเป็นตัวตนน่ากลัวเพียงใด!
“มอบสมบัติติดตัวมา ข้าคนแซ่หลินจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก”
หลินสวินกล่าว
ปราณกระบี่ยังจ่ออยู่ตรงลำคอ พวกเลี่ยหย่งมีหรือจะกล้าลังเลอีก ล้วนเอาสมบัติติดตัวทั้งหมดออกมา
หลินสวินยื่นมือไปคว้าสมบัติพวกนี้ลงถุงหนัง จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ทำไมไม่เห็นหยวนจงผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งหอเซียน”
“ใต้เท้าหยวนจงจากไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว”
มีคนกล่าวเสียงขมขื่น
หลินสวินอึ้งงัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เข้าใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงหยามเหยียด “เจ้าหมอนี่ถือว่าฉลาด ปลีกตัวถอยล่วงหน้า เหลือแค่พวกเจ้าไว้หยั่งเชิงพลังของข้า”
พวกเลี่ยหย่งได้ยินดังนี้ต่างสบตากัน ในใจพลันกระตุกวูบทันที คล้ายว่าในที่สุดก็ได้สติกลับมา ที่แท้เมื่อหลายวันก่อนหยวนจงก็สังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีแล้ว?
สีหน้าพวกเขาทุกคนไม่น่าดูขึ้นมา หากเป็นเช่นนี้พวกเขาคงเป็นแค่หมากที่ถูกใช้โดยไม่ต้องสงสัย!
“สหายยุทธ์ หลายวันมานี้แม้ว่าเจ้ากำราบคู่ต่อสู้มากมาย ทำไมกลับไม่เคยฆ่าใครสักคน”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินกำลังจะจากไป เลี่ยหย่งอดเอ่ยถามไม่ได้
คนอื่นล้วนเคลื่อนสายตามองไปเช่นกัน
“คู่ต่อสู้ของข้าไม่ใช่พวกเจ้า”
หลินสวินกล่าวประโยคนี้ไว้ ก่อนพาชิงเหิงที่ยังตะลึงไม่อาจควบคุมได้ลอยจากไป
หลังมองพวกหลินสวินจากไป พวกเลี่ยหย่งล้วนสีหน้าซับซ้อน อารมณ์ความรู้สึกพลุ่งพล่าน
สี่สำนักใหญ่ที่พวกเขาถวายชีวิตให้มองพวกเขาเป็นตัวหมาก สามารถละทิ้งพวกเขาได้ตลอดเวลา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ครองความได้เปรียบ คู่ต่อสู้อย่างหลินสวินกลับไม่เคยทำร้ายพวกเขาสักคน
เมื่อเทียบเช่นนี้แล้วยิ่งทำให้ในใจพวกเขารู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก กล่าวได้ว่ารู้สึกสับสน
วันนี้ข่าวว่าหลินสวินกำราบระดับอมตะสามสิบหกคนหน้าเขาผาวาโยแพร่ออกไป ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นในโลกแปรมรรค ผู้ฝึกปราณและขุมอำนาจทุกอาณาเขตล้วนสั่นสะท้านและแตกตื่นไม่หยุด
…
หอเซียน
ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง
เมื่อจู๋เฉิงวางม้วนหยกส่งข่าวที่เพิ่งได้รับลง เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา
“หยวนจงกล่าวไม่ผิด หลินสวินแปรมรรคาอมตะสมบูรณ์สายหนึ่งได้แล้ว”
เขากล่าวเสียงต่ำ
จู๋เฉิงเป็นอันดับหนึ่งบนมรรคาอมตะแห่งหอเซียน ทั้งเป็นผู้นำทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแห่งภาคีอีสานที่อยู่บนโลกนี้ มรรควิถีทั้งตัวลึกล้ำยากหยั่งถึง
ห่างจากจู๋เฉิงไม่ไกลมีทูตชะตาสวรรค์อีกหกคนนั่งอยู่ ได้แก่ผู้อาวุโสชั้นสูงของเรือนเทพ ประตูมาร สำนักอสูรมาร
หลายวันก่อนหลังจากหยวนจงพาเถียนรั่วจิ้งกลับมายังหอเซียนพร้อมทั้งแจ้งข่าวเกี่ยวกับหลินสวิน จู๋เฉิงออกคำสั่งระดมพลเหล่าทูตชะตาสวรรค์ซึ่งกระจายอยู่ในอีกสามสำนักใหญ่มาทันที
“เพิ่งผ่านไปสองปีเท่านั้น เจ้าหนุ่มนี่หยั่งถึงกฎระเบียบวัฏจักรของโลกนี้ แปรยอดมรรคาซึ่งเหมาะกับชิงเฟิงนั่นได้แล้ว ไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ…”
หยวนจงสีหน้าจริงจัง
“หากไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนั้นนายท่านคงไม่ออกคำสั่งให้พวกเราหาหลินสวินให้เจอโดยเร็ว และฉวยโอกาสตอนเขาอ่อนแอกำจัดเขาซะ”
จู๋เฉิงถอนใจยาว “แต่พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ล้วนสายไปอยู่บ้าง”
“มรรควิถีของพวกเราเหนือกว่าระดับอมตะทุกคนบนโลกนี้แล้ว ต่อให้เขาหลินสวินบุกมาก็ไม่ต้องกลัว”
ชายชุดดำร่างผอมบางคนหนึ่งกล่าวเสียงขรึม แววตาเยียบเย็น
“ไม่ผิด ถ้าเจ้าหลินสวินนี่อยากจากโลกนี้ไป ย่อมต้องทิ้งมรรคาของตนไว้บนศิลาเทพแปรมรรคของหอเซียน พวกเราแค่วางแผนและเฝ้ารออยู่ที่นี่ก็พอ”
หญิงสาวแรกแย้มสวมชุดกระโปรงเขียวคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา
จู๋เฉิงกวาดสายตามองคนอื่นพลางกล่าวเสียงขรึม “หลายปีนี้พวกเราบ่มเพาะระดับอมตะภายในสี่สำนักใหญ่ออกมาไม่น้อยเช่นกัน ถึงเวลาส่งลงสนามรบแล้ว หลังจากนี้ให้เรียกระดมพลพวกเขามาทั้งหมด คอยเฝ้าหอเซียนรอหลินสวินมาติดกับเอง!”
ภายในหอหลังหนึ่งในหอเซียน
จิตใจเถียนรั่วจิ้งไม่เป็นสุข อึ้งงันเหม่อลอย
สัญชาตญาณบอกนางว่าหลินสวินไม่มีทางปล่อยนางไปแน่!
ต่อให้นางกับหลินสวินไม่มีความแค้นต่อกัน แต่เพราะมีความสัมพันธ์กับชิงเฟิงจึงทำให้เรื่องราวต่างออกไป
‘ชิงเฟิงหนอชิงเฟิง ชีวิตของสวะอย่างเจ้าช่างดีนัก…’
เถียนรั่วจิ้งลอบกัดฟันกรอด ในดวงตาเปี่ยมความคั่งแค้น
ใครจะคิดว่าผู้แปรมรรคที่น่ากลัวอย่างหลินสวินถึงกับปรากฏตัวในร่างสวะอย่างชิงเฟิง
สิ่งสำคัญที่สุดคือชิงเฟิงยังเป็นปราการใจในการแจ้งมรรคอมตะของนางด้วย!
แต่เห็นชัดว่าหากหลินสวินไม่ตาย ย่อมหมายความว่าชิงเฟิงก็ไม่มีทางประสบเคราะห์ ทั้งหมดนี้ทำให้นางแทบไม่มีความหวังไปแจ้งมรรคอมตะอีก!
‘ถ้ารู้แบบนี้ปีนั้นข้าควรทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเจ้า…’
ใบหน้างามของเถียนรั่วจิ้งปรวนแปรไม่หยุด
นางไม่ได้นึกเสียใจ ต่อให้ปีนั้นชิงเฟิงเคยช่วยชีวิตนาง ต่อให้นางผิดต่อคำพูดของตัวเอง ปฏิเสธการเป็นคู่บำเพ็ญของชิงเฟิง หลายปีนี้นางไม่เคยนึกเสียใจสักนิด
แม้แต่ตอนนี้นางก็ยังแค้นตัวเองว่าทำไมปีนั้นถึงไม่ฆ่าชิงเฟิงซะ!
…
ผ่านไปครึ่งเดือน
กลางภูผาธาราแถบหนึ่ง หลินสวินลืมตาจากการทำสมาธิ
กลิ่นอายบนตัวเขาปรากฏท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของระดับอมตะขั้นหลุดพ้นแล้ว!
‘ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ซย่าจื้ออยู่ที่ไหน การแปรมรรคาของนางบรรลุถึงระดับใดแล้ว…’
หลินสวินนึกถึงซย่าจื้อขึ้นมา
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาส่ายหัวแล้วหยัดร่างขึ้น
ชิงเหิงซึ่งฝึกปราณอยู่ใกล้เคียงตลอดลืมตาขึ้นมาทันที เมื่อลุกขึ้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายระดับอมตะขั้นหลุดพ้นที่แผ่ออกมาจากตัวหลินสวิน ในใจเขาพลันสั่นสะท้าน
ชิงเหิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางกล่าว “ผู้อาวุโสคิดมุ่งหน้าไปหอเซียนหรือ”
แม้แต่คำเรียกหลินสวินของเขายังเปลี่ยนไปด้วย
ความจริงในสายตาของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ บุคคลที่ก้าวสู่ระดับอมตะพวกนั้นล้วนเป็น ‘ผู้อาวุโส’ ซึ่งพวกเขาได้แต่แหงนมองและเลื่อมใส
หลินสวินมองเขาคราหนึ่งพลางกล่าว “เรียกข้าว่าสหายยุทธ์เถอะ”
ชิงเหิงอักอ่วนอยู่บ้าง
“หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้หอเซียนคงเป็นถ้ำพยัคฆ์วังมังกร ไอสังหารรอบด้าน แต่สำหรับข้าเรื่องพวกนี้ไม่ถึงขั้นอันตรายนัก”
หลินสวินกล่าวเสียงขรึม “หลังจากข้าจัดการคู่ต่อสู้พวกนั้นแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็คงจากโลกนี้ไป…”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วเหลือบมองชิงเหิง “เอาอย่างนี้ สหายยุทธ์ไปพร้อมข้า ถึงตอนนั้นค่อยจัดแจงให้สำนักสวรรค์ยุทธ์ฝึกปราณในหอเซียน ถือเป็นการชดเชยและการตอบแทนที่ข้ามีต่อชิงเฟิงและสหายยุทธ์”
ชิงเหิงอึ้งงัน
ยามเขายังกังวลว่าหลินสวินไปหอเซียนแล้วจะเจออันตรายเพียงใด หลินสวินกลับพิจารณาเรื่องให้พวกเขาสำนักสวรรค์ยุทธ์พักอยู่ในหอเซียนแล้ว!
นี่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
ทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนนั้นน่ากลัวระดับใด แต่ยังไม่อาจทำให้หลินสวินใส่ใจได้หรือ
“ไปกันเถอะ”
หลินสวินไม่รู้ว่าชิงเหิงกำลังคิดอะไร
เขาแค่กำลังทำเรื่องบางอย่างที่ควรทำเท่านั้น
สามวันต่อมา
ใต้เวิ้งฟ้าแถบหนึ่งเงาร่างหลินสวินทะยานมาถึง
ชิงเหิงหลบอยู่บนเขาวิญญาณแสงเฟิงแล้ว ส่วนเขาวิญญาณแสงเฟิงก็ถูกหลินสวินเก็บไว้
เวลานี้หลินสวินยืนมือไพล่หลังกลางอากาศ เงยหน้ามองเมฆมงคลขาวหิมะแถบหนึ่งภายใต้เวิ้งฟ้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาพลันยื่นนิ้ววาดออกไป
วู้ม!
เมฆมงคลขาวหิมะแถบนั้นม้วนซัดรุนแรง จากนั้นค่อยปรากฏบานประตูเหมือนว่างเปล่า
นี่ก็คือทางเข้าสู่หอเซียน!
‘ดูท่าว่าศัตรูพวกนั้นคงเตรียมพร้อมนานแล้วกระมัง…’
ยามครุ่นคิดหลินสวินก้าวออกไปก้าวหนึ่ง เงาร่างเขาพุ่งเข้าไปในบานประตูเหมือนว่างเปล่านั่น หายลับไปในชั่วพริบตา
“หลินสวินนั่นถึงกับบุกเข้าไปเช่นนี้!”
หลายวันนี้เมื่อทุกข่าวแพร่สะพัด ในภูผาธาราแถบนี้มีผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันนานแล้ว
เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนล้วนแตกตื่นขึ้นมา แต่ละคนสั่นสะท้านไม่หยุด
……………….