ภายในแดนลับหอเซียน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ภูเขาเซียนแออัดเรียงราย ภาพคล้ายแดนพิสุทธิ์ในอุดมคติ
แต่เมื่อหลินสวินเพิ่งเข้ามาก็ถูกซุ่มโจมตีทันที
ตูม!
กระบวนรบซึ่งรวมตัวจากระดับอมตะขั้นหลุดพ้นถึงสิบคนลงมือพร้อมกัน ใช้ยอดค่ายกลเทพที่เรียกได้ว่ายอดผนึกปิดล้อมหลินสวินไว้ภายใน
ค่ายกลนี้กว้างใหญ่ไพศาล ภายในแฝงลักษณ์ดารานับแสนเชื่อมต่อพลังฟ้าดิน เผยลักษณ์อัศจรรย์อย่างเพลิงปฐพีอสนีวาโย ถ้าติดอยู่ในนั้นจะเหมือนติดอยู่ในนรกอวมงคล
ต่อให้เป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้น เมื่อถูกโจมตีกะทันหันเช่นนี้ ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส!
กลับเห็นหลินสวินคล้ายเดาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ พริบตาที่ถูกล้อมโจมตีเท้าเขาก้าวแหวกอากาศ
ตูม!
เพลิงเทพไร้สิ้นสุดโหมกระหน่ำ กลายเป็นพายุกลืนฟ้า ม้วนพัดทำลายออกไป
ดวงดาวนับแสนในยอดกระบวนผนึกนั้นถูกเปลวเพลิงฝังกลบชั่วพริบตา กลายเป็นเถ้าถ่านหายไป จากนั้นพลังฟ้าดินที่เชื่อมต่อกับกระบวนค่ายกล ลักษณ์อัศจรรย์อย่างเพลิงปฐพีอสนีวาโยล้วนถูกแผดเผา
ถึงตอนท้ายทั้งกระบวนค่ายกลพังทลาย!
เปลวเพลิงไร้สิ้นสุดนั้นแผ่กระจายจนระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสิบคนนั่นถูกบีบจนต้องถอยหลังออกไป แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“เขาแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
เสียงอุทานดังขึ้น
เปลวเพลิงทั่วฟ้าขับเน้นจนเงาร่างหลินสวินดุจเทพซึ่งกำเนิดจากเปลวไฟ อานุภาพไร้ใดเปรียบนั้นทำให้ระดับอมตะขั้นหลุดพ้นเหล่านั้นหนาวเยือกในใจไม่หยุด
“พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าว่าพวกเจ้าหลีกทางจะดีกว่า”
หลินสวินพูดพลางก้าวห่างออกไป
“ฆ่า!”
“ขวางเขาไว้!”
แต่ใครจะคิดว่าระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสิบคนนั้นกลับไม่ถอยร่น ทั้งหมดล้วนพุ่งสังหารเข้ามาอีกครั้ง พยายามสกัดหลินสวิน
หลินสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ลังเลอีกต่อไป
“ไป!”
เขายื่นมือไปกลางอากาศ
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ท่ามกลางเสียงกระบี่ก้องกังวาน ฝนกระบี่ไร้ขอบเขตปรากฏกลางฟ้าดินเต็มแน่นห้วงอากาศ ภายใต้การกวาดล้างของเจตกระบี่น่ากลัวนั้น ในที่นั้นมีเลือดสดบาดตาเกิดขึ้นทันที
ก็เห็นเงาร่างของระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสิบคนนั้นกระจัดกระจายเป็นเสี่ยงเหมือนกระดาษเปื่อย ทั้งหมดล้วนถูกเจตกระบี่ไร้ขอบเขตบดขยี้ จิตสิ้นวิญญาณสลาย!
หากผู้ฝึกปราณคนอื่นในโลกภายนอกเห็นภาพนั้นเกรงว่าคงอึ้งงันแน่นอน
“จู๋เฉิง พวกเจ้าเป็นถึงทูตชะตาสวรรค์แห่งภาคีอีสาน กลับให้ผู้ฝึกปราณของโลกนี้วิ่งมาหาที่ตาย ไม่คิดว่าน่าอายหรือ หน้าตาของไท่ชูเจ้าลัทธิพวกเจ้าล้วนถูกพวกเจ้าย่ำยีไม่เหลือแล้ว!”
หลินสวินกล่าวเสียงดัง
เสียงของเขาดุจกระแสน้ำราวอสนีบาต ดังกระหึ่มกลางโลกลึกลับแห่งนี้
ภูผาธาราสั่นสะเทือน วัฏจักรปั่นป่วนทันที ในแดนลับหอเซียนทุกหนแห่งคือเสียงของหลินสวิน
“เจ้าหมอนี่ช่างอวดดีเสียจริง!”
ส่วนลึกของแดนลับหอเซียนมีภูเขาเทพขาวกระจ่างดุจหิมะลูกหนึ่ง บนยอดเขาเทพทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนอย่างพวกจู๋เฉิง หยวนจงยืนอยู่บนนั้น
ตรงหน้าพวกเขาม่านจอภาพหนึ่งลอยคว้าง เผยเงาร่างหลินสวินที่เพิ่งบุกเข้ามาในแดนลับหอเซียน
ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนถูกพวกเขามองดู แต่ละคนสีหน้าอึมครึมจริงจัง
“แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์อวดดี ไม่เห็นหรือว่ามรรควิถีเขาบรรลุถึงระดับอมตะขั้นหลุดพ้นแล้ว”
จู๋เฉิงสีหน้าจริงจัง
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หว่างคิ้วฉายแววเด็ดขาด “ทำตามแผนก่อนหน้านี้ ให้คนอื่นลงมือเถอะ!”
…
กลางฟ้าดินหลินสวินก้าวไปข้างหน้า จิตรับรู้เขาแผ่กระจายออกไป ตลอดทางแทบไม่ปิดบังสักนิด มุ่งไปข้างหน้าอย่างผ่าเผยเช่นนั้น
ตูม!
ไม่นานระดับอมตะขั้นหลุดพ้นกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวมา ล้วนควบคุมสมบัติลับ ชักนำพลังระเบียบของแดนลับหอเซียนมาโจมตีหลินสวิน
พริบตานี้หลินสวินรู้สึกผิดคาดอย่างอดไม่ได้
ในกฎระเบียบฟ้าดินของแดนลับหอเซียนถึงกับเปี่ยมกลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิดอยู่รางๆ ทั้งยังมีนัยเร้นลับของยอดมรรคานานัปการปรากฏอยู่ภายใน กระทั่งอานุภาพที่แผ่ออกมาน่ากลัวเหนือจินตนาการ
‘พลังระเบียบของแดนลับหอเซียนนี้น่าจะมีบางส่วนมาจากศิลาเทพแปรมรรค!’
หลินสวินเข้าใจได้รางๆ
ตามตำนานศิลาเทพแปรมรรคก็คือสิ่งที่วิวัฒน์มาจากบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกแปรมรรคแห่งนี้ หากผู้แปรมรรคอยากจากโลกนี้ไปก็ต้องประทับมรรคาเทียมฟ้าซึ่งวิวัฒน์ออกมาลงบนศิลาเทพแปรมรรค เมื่อได้การยอมรับและขานรับจากศิลาเทพแล้วจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาจนเปิดประตูสวรรค์จากไป
แต่ปัจจุบันพลังของศิลาเทพแปรมรรคนี้ เห็นชัดว่าหลอมรวมกับกฎระเบียบฟ้าดินของโลกนี้แล้ว กำลังถูกระดับอมตะพวกนั้นยืมใช้!
พูดเหมือนนานแต่กลับเร็วยิ่ง เมื่อระดับอมตะพวกนั้นบุกมา หลินสวินลงมือเต็มกำลังทันที
ตูม!
เขาซัดหมัดออกไป พลังหมัดหนักแน่นไพศาลราวกับทำลายกาลนิรันดร์ นำอานุภาพยิ่งใหญ่พุ่งตรงแน่วแน่ไปอย่างทรงพลัง
ห้วงอากาศใกล้เคียงระเบิดออก ทรุดตัวกระจัดกระจาย
พลังระเบียบซึ่งถูกศัตรูยืมใช้โดนโจมตีอย่างหนักภายใต้หมัดนี้ ถูกสะบั้นแหลกจนสลายไป
พลังหมัดนั้นยังโจมตีระดับอมตะที่บุกเข้ามาจนลอยลิ่วระเนระนาดออกไปด้วย!
เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นโดยรอบทันที ระดับอมตะพวกนั้นล้วนหน้าเปลี่ยนสีและขวัญหนีดีฝ่อ
“สุดท้ายพลังเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของพวกเจ้า อานุภาพของมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าสำแดงออกมาได้เช่นกัน”
หลินสวินส่ายหัวเล็กน้อย
ขณะกล่าวเงาร่างเขาไหววูบ เพียงพริบตาเท่านั้นร่างสายแล้วสายเล่าในที่นั้นถูกกระหน่ำซัด เลือดสีสดสาดกระเซ็น
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ศัตรูพวกนั้นก็ถูกสังหารหมู่จนราบคาบ!
“บัดซบ! แม้แต่พลังของศิลาเทพแปรมรรคก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร”
บนยอดเขาเทพขาวหิมะตรงส่วนลึกสุดของแดนลับหอเซียน เมื่อเห็นภาพนี้หยวนจงอดโมโหไม่ได้ เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
เมื่อมองทูตชะตาสวรรค์คนอื่น แต่ละคนสีหน้าอึมครึมยิ่งนัก นัยน์ตาเปี่ยมแววจริงจัง
“มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว”
เสียงจู๋เฉิงเหมือนลอดจากไรฟัน “หลินสวินไม่เพียงอนุมานมรรคาอมตะได้ แต่ยังวิวัฒน์นัยเร้นลับมุ่งสู่มรรคานิรันดร์บนมรรคานี้ด้วย! มีเพียงเช่นนี้จึงจะต้านการโจมตีของพลังศิลาเทพแปรมรรคได้!”
คำพูดเดียวราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำให้คนอื่นต่างอึ้งงัน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าบนเส้นทางแปรมรรค พวกเราล้วนด้อยกว่าเขาขั้นหนึ่งหรอกหรือ”
มีคนกล่าวเสียงต่ำ สีหน้าไม่น่าดูหาใดเปรียบ
บนโลกแปรมรรคการอนุมานมหามรรคมุ่งสู่นิรันดร์ได้เท่ากับมีโอกาสออกจากโลกนี้แล้ว!
ทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนอย่างพวกเขาลำบากฝึกปราณบนโลกนี้มาไม่รู้กี่วันเวลา จนปัจจุบันยังติดอยู่ตรงขั้นสุดท้าย ไม่อาจแปรมรรคามุ่งสู่นิรันดร์ออกมาได้
แต่หลินสวินเพิ่งมาถึงโลกนี้แค่สองปีก็ทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาสะเทือนใจได้อย่างไร
“นายท่านพูดถูก เมื่อกำจัดเขายามอ่อนแอไม่ได้ ย่อมหมายความว่ายามจะจัดการเขาอีกครั้ง ความหวังย่อมเปลี่ยนเป็นริบหรี่แล้ว…”
เสียงของจู๋เฉิงเจือความขมขื่น
เดิมพวกเขาคิดว่าหลินสวินแค่อนุมานมรรคาอมตะสมบูรณ์สายหนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเขามั่นใจว่ายังกำจัดเขาได้
แต่จนถึงตอนนี้พวกเขาเพิ่งตระหนักว่หลินสวินหยั่งถึงนัยเร้นลับนิรันดร์บนหนทางแปรมรรค นำหน้าพวกเขาไปช่วงใหญ่นานแล้ว!
“พวกเราต้องจากไปโดยเร็ว!”
หยวนจงกัดฟันกล่าว
“ไม่มีโอกาสแล้ว”
สายตาจู๋เฉิงมองห่างออกไป ที่นั่นมีเงาร่างสูงโปร่งหนึ่งเยื้องย่างผ่านอากาศมา ท่าทางพ้นโลกีย์ อิสระราวกับเซียน
เป็นหลินสวินนั่นเอง!
เมื่อเห็นภาพนี้พวกหยวนจงใจหล่นวูบ
“ปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
ห่างออกไปหลินสวินยืนกลางอากาศกล่าวเสียงเรียบ
“พวกเราคิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งผ่านมาสองปี สหายยุทธ์หลินจะแปรยอดมรรคามุ่งสู่นิรันดร์ได้แล้ว ตอนนี้ดูท่าว่าแผนการวันนี้ของพวกเราคงกลายเป็นเรื่องตลกของทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้”
จู๋เฉิงถอนใจยาว
“หลินสวิน ถอยกันคนละก้าวได้หรือไม่ พวกเราจะไม่ขวางเจ้ายามจากโลกนี้ไป เจ้าเองอย่าบีบพวกเราจนถึงทางตันเลย”
หยวนจงพลันกล่าว
คนอื่นล้วนมองหลินสวิน
เท่าที่พวกเขารู้คือหลายวันก่อน การเคลื่อนไหวของหลินสวินยามมุ่งหน้ามาสำนักเซียนจงอางแดง เขาไม่เคยทำร้ายคู่ต่อสู้สักคน
นี่ทำให้พวกเขาคิดไปตามจิตใต้สำนึก ขอแค่ก้มหัวยอมจำนนด้วยตัวเอง ย่อมเป็นไปได้ว่าหลินสวินจะไม่ทำให้พวกเขาลำบาก
มุมปากหลินสวินเผยแววหยามเหยียดเสี้ยวหนึ่งกล่าวว่า “สาเหตุที่ผู้ฝึกปราณบนโลกนี้จัดการข้า เป็นเพราะรับคำสั่งของพวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้ายังจะให้ข้าปล่อยตัวการอย่างพวกเจ้าไป ไม่คิดว่าน่าขันหรือ”
คำพูดนี้ทำให้ใจของทุกคนตรงหน้าตกไปที่ตาตุ่ม
“หลินสวิน ต่อให้เจ้าสามารถผ่านโลกนี้ออกไปได้ แต่หลังจากนี้เจ้ายังต้องเผชิญหน้ากับไอสังหารของโลกโลกาสวรรค์ เผชิญหน้ากับความท้าทายบนทางพิฆาตมรรค ต่อให้สุดท้ายเจ้ามีโอกาสเข้าสู่แดนเทพมากเร้น พวกจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าภาคี บรรพจารย์วานร คุณหนู ย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
มีคนกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม
“เรื่องต่อจากนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ไม่ต้องกลุ้มใจไปเปล่าๆ”
หลินสวินยิ้ม
ตูม!
เวลานี้ทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนอย่างพวกจู๋เฉิง หยวนจงเคลื่อนไหวแล้ว พุ่งโจมตีเข้าใส่หลินสวินทันที แต่ละคนเผยพลังต่อสู้น่ากลัวที่เหนือกว่าระดับเดียวกันบนโลกนี้
นี่ก็คือความแข็งแกร่งของผู้แปรมรรค
ทั้งเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกจู๋เฉิงถึงเหมือนนายเหนือหัวบนโลกแห่งนี้
น่าเสียดาย หลินสวินก็เป็นผู้แปรมรรคเช่นกัน ทั้งยังเป็นผู้แปรมรรคที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา วิวัฒน์พลังมรรคานิรันดร์ออกมาได้นานแล้ว!
“ดูท่าว่าทุกท่านคงอยากลงนรกจนทนไม่ไหว เช่นนั้นข้าคนแซ่หลินจะสงเคราะห์ทุกท่านเอง”
เสียงหัวเราะยังดังก้อง หลินสวินพุ่งตัวไปข้างหน้า นิ้วมือดุจกระบี่ฟันออกมาอย่างหมดจดชัดเจน
ฉัวะ!
เงาร่างของหยวนจงถูกฟันเป็นสองท่อน เลือดสีสดยังไม่กระเด็นก็ถูกเจตกระบี่ชวนประหวั่นกำจัด จิตสิ้นวิญญาณสลาย
จากนั้นเมื่อหลินสวินฟันเจตกระบี่ออกไป ทูตชะตาสวรรค์คนแล้วคนเล่าร่วงกอง ง่ายดายเหมือนเด็ดผักหั่นแตง
วิธีสังหารน่ากลัวนั้นทำให้เหล่าทูตชะตาสวรรค์ไม่มีโอกาสหนีสักนิด
ถึงตอนท้ายจึงเหลือแค่จู๋เฉิงคนเดียว
เขาถูกหลินสวินบีบคอหิ้วขึ้นมา
จู๋เฉิงตกตะลึง เขาไม่กล้าเชื่อว่าพวกเขาเจ็ดคนจะอ่อนแอเช่นนี้ ไม่เอาไหนโดยสิ้นเชิง!!
ยามเขารู้ถึงจุดนี้ก็สายไปแล้ว…
เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงและตื่นตระหนกของจู๋เฉิง หลินสวินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “อย่าตระหนกไป รอข้าค้นจิตวิญญาณแล้วค่อยส่งเจ้าลงนรก”
ตูม!
จิตรับรู้ยิ่งใหญ่โฉบเข้าห้วงนิมิตของจู๋เฉิง เบื้องหน้าเขาพลันมืดมัว ส่งเสียงอึดอัดอย่างเจ็บปวด
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลินสวินเก็บจิตรับรู้ลงไป จู๋เฉิงซึ่งถูกจับตัวอยู่ในมือเขากลายเป็นเถ้าถ่านพลิ้วลอยไปจากมือทันที สลายหายไปจนเกลี้ยง
……………..