ตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่หอเซียน กระทั่งสังหารจู๋เฉิงกับทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคน ล้วนไม่ถึงครึ่งเค่อ!
ความเร็วของหลินสวินว่องไวนัก แทบจะบุกเข้ามาราวทำลายล้าง ไม่เจอศัตรูที่พอจะสู้กันได้สักคน
เวลานี้สายตาเขากวาดมองโดยรอบพลางกล่าวทันที “เจ้าสำนักหอเซียนสุ่ยฉางหลิวอยู่ไหม”
เสียงดังกระหึ่มกลางฟ้าดินแถบนี้
“ผู้อาวุโสโปรดให้อภัย หอเซียนของข้าไม่มีความคิดเป็นศัตรูกับผู้อาวุโส!”
เสียงเคารพยำเกรงหนึ่งดังขึ้น ที่มาเร็วกว่าเสียงคือชายชราผมขาวคนหนึ่ง เขายืนอยู่กลางอากาศ โค้งตัวคำนับ สีหน้าเปี่ยมความกระวนกระวาย
คนผู้นี้ก็คือสุ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักหอเซียน ระดับอมตะขั้นดับเทพคนหนึ่ง
“พวกเจ้าหอเซียนครอบครองศิลาเทพแปรมรรค ย่อมถูกผู้แปรมรรคหมายตาโดยง่ายเป็นธรรมดา ข้าไม่เอาความกับเรื่องพวกนี้”
หลินสวินมองคนผู้นี้แล้วกล่าว “แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้เจ้าทำ”
สุ่ยฉางหลิวรีบกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
หลินสวินบอกเรื่องการจัดแจงที่อยู่ให้ทุกคนทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ออกมาทันที
สุ่ยฉางหลิวถอนหายใจยาว เขายังคิดว่าเป็นคำขอเกินกว่าเหตุอะไร ใครจะคิดว่าแค่จัดแจงหาที่อยู่ให้ผู้ฝึกปราณบางส่วนเท่านั้น
“ผู้อาวุโสมอบให้ข้าจัดการก็พอ”
สุ่ยฉางหลิวตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด
“หลังจากข้าออกจากโลกนี้ไป ชิงเฟิงจะอยู่ที่หอเซียน มีเขาดูแล อานุภาพของหอเซียนน่าจะไม่ด้อยกว่าแต่ก่อน” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
ในใจสุ่ยฉางหลิวเครียดขมึง รู้ว่าหลินสวินพูดเช่นนี้ ความจริงแล้วกำลังเตือนตนว่าอย่าคิดเป็นอื่น มิฉะนั้นการมีอยู่ของชิงเฟิงย่อมเป็นภัยคุกคามต่อหอเซียนได้!
“หืม?”
หลินสวินกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่เขาพลันเลิกคิ้วทันที ครู่ต่อมาเงาร่างเขาหายไปกลางอากาศ
…
ฟุ่บ!
ร่างงามสายหนึ่งพุ่งไปยังทางเข้าหอเซียน
นางสวมชุดกระโปรงขาวหิมะ ผิวพรรณพิสุทธิ์ผุดผ่อง รูปโฉมงามเลิศ เป็นเถียนรั่วจิ้งนั่นเอง
แต่ตอนนี้สีหน้านางหวาดหวั่น ใบหน้างามซีดเผือด ดูตื่นตระหนกหาใดเปรียบ
เมื่อเห็นทางเข้าหอเซียนปรากฏอยู่ไกลๆ เถียนรั่วจิ้งลอบโล่งอก เจ้าหมอนั่นมัวแต่สังหารศัตรู เกรงว่าคงลืมเจ้าตัวจ้อยอย่างตนแล้วกระมัง
เช่นนั้นก็ยิ่งดี!
เถียนรั่วจิ้งเพิ่งนึกถึงตรงนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ร่างหยุดชะงักกลางอากาศ
ตรงทางเข้าหอเซียนเงาร่างหนึ่งยืนกลางอากาศ เป็นชิงเฟิง หรือก็คือหลินสวิน
ใจของเถียนรั่วจิ้งตกไปที่ตาตุ่ม อึ้งงันอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวเศร้าหมองทันที “ผู้แปรมรรคที่น่าเกรงขาม เป็นบุคคลผู้สูงส่งระดับใด แต่กลับสร้างความลำบากให้คนตัวจ้อยอย่างข้าตลอด ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือควรรู้สึกโศกเศร้าดี”
หลินสวินมองหญิงสาวที่ทำให้ชิงเฟิงลุ่มหลงมาเก้าร้อยปีคนนี้แล้วกล่าว “เรียนผูกต้องเรียนแก้ กฎกรรมบนตัวชิงเฟิง แน่นอนว่าข้าต้องจัดการให้เขา”
เถียนรั่วจิ้งกล่าวเดือดดาล “เรื่องของเขาเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโส หรือผู้อาวุโสคิดว่าข้าต้องขอโทษและสำนึกผิดต่อเรื่องเมื่อปีนั้น ไม่มีทาง!”
ท่าทางนางราวกับคลุ้มคลั่ง ใบหน้างามบิดเบี้ยว “ข้าไม่เคยนึกเสียใจต่อการกระทำเมื่อปีนั้น เขาช่วยชีวิตข้า แต่มีสิทธิ์อะไรให้ข้าแต่งกับเขา รากฐานมรรคเขาบาดเจ็บ แต่เรื่องอะไรข้าต้องดูแลเขาด้วย”
แววตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เรื่องแต่งงานกับเขาเจ้าเป็นคนพูดเอง แต่เจ้ากลับผิดสัญญา แน่นอนว่าเจ้าเปลี่ยนใจได้ ไม่สนใจแผลมรรคของชิงเฟิงได้ แต่เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนั้นใครเป็นคนช่วยเจ้า! หรือว่าแม้แต่บุญคุณช่วยชีวิตก็นิ่งดูดาย”
ใบหน้างามของเถียนรั่วจิ้งปรวนแปรไม่หยุด ก่อนกัดฟันกล่าว “ปีนั้นข้าไม่ได้บอกให้เขามาช่วยข้า เขาอยากมาช่วยเอง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า”
หลินสวินเลิกคิ้ว แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าคนผู้หนึ่งถึงกับพูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาได้
ผู้หญิงคนนี้ถึงกับทำให้ชิงเฟิงลุ่มหลงมาเก้าร้อยปี นี่ทำให้หลินสวินรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับชิงเฟิง
“ผู้อาวุโส”
เถียนรั่วจิ้งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าว “หากท่านอยากเห็นท่าทางคุกเข่าอ้อนวอนของข้า เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว ข้ายอมตายแต่ไม่มีทางก้มหัวให้สวะอย่างชิงเฟิง!”
หลินสวินกล่าว “เจ้าคิดผิดแล้ว หลังข้าจากไปชิงเฟิงจะมีพลังปราณขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ครองยอดมรรคาที่สมบูรณ์สายหนึ่ง แม้ถูกจำกัดด้วยพลังกฎระเบียบฟ้าดินของโลกนี้ ชีวิตนี้ไม่อาจออกจากโลกแปรมรรค แต่ในโลกแปรมรรคนี้เขากลับยืนอยู่เหนือโลกได้ตลอด ส่วนเจ้า… สุดท้ายจะอยู่แค่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเท่านั้น”
คำพูดนี้ราวกับใบมีดคมกริบแทงเข้ากลางใจเถียนรั่วจิ้งอย่างไร้ปรานี ทำให้นางหายใจติดขัด ผิวหนังทั่วร่างสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีครั้งแล้วครั้งเล่า
สวะซึ่งถูกนางเดียดฉันท์ชิงชังมาเก้าร้อยปี ภายหน้ากลับเป็นบุคคลชั้นยอดที่นางได้แต่แหงนมอง การโจมตีเช่นนี้ทำให้นางมีความรู้สึกว่าจะพังทลาย
“ต่อให้เป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ยอมก้มหัว! ข้ามีแต่จะแค้นเขายิ่งขึ้น!”
เถียนรั่วจิ้งกล่าวข่มขู่ นัยน์ตาเจือสีเลือด
เวลานี้หลินสวินพลันยิ้มแล้ว
เขารู้สึกว่าความยึดติดตรงส่วนลึกก้นบึ้งจิตใจของชิงเฟิงสลายหายไปในยามนี้
กล่าวอีกนัยคือยามนี้ชิงเฟิงทำลายความลุ่มหลงนานเก้าร้อยปีจนย่อยยับแล้ว ทำให้สภาวะจิตของเขาได้รับการปลดปล่อย!
“ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง ในใจเจ้าชิงเฟิงคือปราการหนึ่ง ส่วนในใจชิงเฟิงเจ้าเป็นเหมือนมารในใจ”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา “แต่ตอนนี้มารในใจของชิงเฟิงถูกกำจัดแล้ว”
เถียนรั่วจิ้งอึ้งงัน จากนั้นค่อยเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นดังตึงราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาทั้งสองเลื่อนลอย “ที่แท้เจ้าพูดมากกับข้าเช่นนี้ก็เพื่อช่วยชิงเฟิงตัดมารในใจ แต่ข้ายังคงไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าต้องช่วยเขาเช่นนี้”
นางเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
หลินสวินกล่าว “ช่วยเขาก็เท่ากับช่วยข้า ถ้าความยึดมั่นในใจเขาไม่สลาย ข้าก็ไม่อาจจากโลกแปรมรรคนี้ไปได้อย่างแท้จริง นี่ก็คือกฎกรรม เจ้าเข้าใจไหม”
เถียนรั่วจิ้งหดหู่ กล่าวขมขื่น “ที่แท้ในโลกแปรมรรคนี้ข้าก็คือกฎกรรมที่คุกคามเจ้าได้…”
หลินสวินกล่าวอย่างแปลกใจ “ถือว่าเจ้าฉลาด เจ้าคาดเดาไม่ผิด หากเจ้าตระหนักถึงจุดนี้ก่อน บางทีอาจสร้างความวุ่นวายให้ข้าอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เส้นทางของเจ้าคับแคบตั้งแต่ต้น”
หลินสวินพูดจบแล้วหันหลังจากไป
เขาไม่ได้ช่วยชิงเฟิงจัดการเถียนรั่วจิ้ง
หากเขาเดาไม่ผิด ภายหน้าชีวิตเถียนรั่วจิ้งต้องอยู่กับความนึกเสียใจไร้สิ้นสุด กระทั่งสภาวะจิตรับแรงกดดันของปราการนั้นไม่อยู่จนพังทลาย
บทลงโทษนี้เหี้ยมโหดยิ่งกว่าฆ่านางนัก
“เพราะเขาช่วยชีวิตข้า ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้…”
เถียนรั่วจิ้งที่ทรุดลงกับพื้น แววตาว่างเปล่า สีหน้ามึนงง
วันนั้นนางถูกผู้ฝึกปราณของหอเซียนขับไล่อย่างไร้ปรานี ร่อนเร่อยู่ในโลกภายนอก
…
มีสุ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักหอเซียนออกหน้าด้วยตัวเอง ชิงเหิงกับผู้ฝึกปราณทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ล้วนถูกจัดเตรียมให้ฝึกปราณอยู่ในหอเซียน
นับจากวันนี้พวกเขาล้วนกลายเป็นส่วนหนึ่งของหอเซียน บนโลกนี้ไม่มีสำนักสวรรค์ยุทธ์อีกแล้ว
พวกชิงเหิงกับฝูอวิ๋นจื่อรู้สึกเหมือนฝันไปอย่างอดไม่ได้
หวนนึกถึงก่อนหน้านี้ พวกเขายังเป็นแค่ขุมอำนาจชั้นรองที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในเขตตะวันออก
เพียงพริบตาก็เข้าสู่หอเซียนหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกกันหมด!
หนึ่งคนบรรลุ ทั้งหมดล้วนก้าวเดียวทะยานฟ้า!
“ผู้อาวุโสชิงเฟิงถึงกับเป็นผู้แปรมรรค…”
โดยเฉพาะยามนึกถึงช่วงก่อนหน้านี้ พวกเขายังเคยปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลินสวิน แต่ไม่ได้เคารพเขาเท่าไร ในใจพลันอดละอายใจไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนเข้ามานี่ นี่คือตำราฝึกปราณที่ผู้อาวุโสหลินสวินมอบให้พวกเจ้าสองคน จำไว้ อย่าแพร่งพรายให้คนอื่น!”
เจ้าสำนักฝูอวิ๋นจื่อเข้ามา มอบม้วนหยกสองม้วนให้ชุนหนิงกับไต้เหยียน
“มอบให้พวกเราหรือ”
ทั้งสองคนต่างอึ้งงัน จากนั้นค่อยหัวเราะแหะๆ
ในใจฝูอวิ๋นจื่อรู้สึกอิจฉาอย่างอดไม่ได้ เขารู้เรื่องว่าหลินสวินกวาดล้างทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าตำราฝึกปราณที่หลินสวินทิ้งไว้ต้องไม่ธรรมดาแน่
“ทำให้เจ้าหนูโง่งมสองคนอย่างพวกเจ้าโชคดีจริงๆ!”
ฝูอวิ๋นจื่ออดกล่าวพึมพำไม่ได้
จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้ว ผู้ฝึกปราณทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์ล้วนสามารถเข้ามาฝึกปราณในหอเซียนได้ สำหรับเขาถือเป็นเรื่องดีที่ไม่กล้าจินตนาการ
‘ภายหน้าใครยังกล้าพูดว่าอาจารย์อาชิงเฟิงเป็นความอัปยศของสำนักอีก’
ฝูอวิ๋นจื่ออดคิดไม่ได้ เมื่อผู้แปรมรรคหลินสวินจากไป อาจารย์อาชิงเฟิง… จะเท่ากับครองมรรควิถีระดับอมตะขั้นหลุดพ้นโดยปริยาย!
เวลานี้หลินสวินกำลังพิจารณาศิลาเทพลึกลับแปลกประหลาด
ศิลาเทพนี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขตหวงห้ามของหอเซียน สูงแค่สามฉื่อ ทั้งแท่นอบอวลด้วยกลิ่นอายบ่อเกิดแรกกำเนิด พื้นผิวป้ายหินไม่มีตัวอักษรใดๆ
แต่เมื่อหลินสวินกวาดสายตามองไปกลับรู้สึกได้ บนศิลาเทพนี้ประทับมรรคาเทียมฟ้าไว้มากมาย มรรคาแต่ละอย่างล้วนสมบูรณ์และแข็งแกร่ง เชื่อมต่อตรงไปยังระดับนิรันดร์
แต่เมื่อสัมผัสโดยละเอียดกลับไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของมรรคาพวกนี้
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่รู้สึกผิดคาด
ด้วยนี่ก็คือศิลาเทพแปรมรรค วิวัฒน์จากบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกแปรมรรค ผู้แปรมรรคมีแต่ต้องประทับมรรคาสมบูรณ์สายหนึ่งไว้บนนี้ ถึงจะชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาจนจากโลกนี้ไปได้
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วสื่อจิตทันที
สุ่ยฉางหลิวกำลังจัดเตรียมเรื่องต่างๆ ให้กับผู้ฝึกปราณสำนักสวรรค์ยุทธ์อยู่ในแดนลับหอเซียน แต่เสียงสื่อจิตของหลินสวินดังขึ้นข้างหูเขา
‘วันหน้าหากมีหญิงสาวมาหาข้าคนแซ่หลิน ไม่ว่านางมีชื่อแซ่อะไร ไม่สนว่ามีฐานะหรือท่าทางเช่นไร สหายยุทธ์โปรดแจ้งข้าทันที’
สุ่ยฉางหลิวตัวสั่น รับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ‘ขอรับ!’
นับจากวันนี้หลินสวินนั่งสมาธิสงบจิตอยู่หน้าศิลาเทพแปรมรรค เขากำลังลองหยั่งรู้พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกแปรมรรค
ข่าวว่าหลินสวินบุกเข้าสู่หอเซียน กวาดล้างระดับอมตะขั้นหลุดพ้นของสี่สำนักใหญ่ สังหารทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแพร่สะพัดทั่วโลกแปรมรรคแล้ว เปิดฉากความโกลาหลที่ไม่เคยมีมาก่อน
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ภายใต้เวิ้งฟ้าที่เมฆมงคลสีขาวตรงทางเข้าหอเซียนลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนเคย
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งพุ่งตัวมาแต่ไกล
ฝ่ายชายร่างผอมบาง เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่มาก ระวังตัวและประหม่า สายตาสำรวจมองเป็นพักๆ แฝงความระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด
เขาคอยตามหลังหญิงสาวมาติดๆ คล้ายกลัวว่าหญิงสาวจะทิ้งเขาไปโดยไม่สนใจ
ฝ่ายหญิงมีพลังปราณแค่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ หน้าตาธรรมดาทั่วไป
นางเงยหน้ามองเมฆมงคลสีขาวแถบนั้น คิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับเด็กหนุ่มข้างกาย “เจ้ารออยู่ที่นี่”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างประหม่า “ท่านพี่ ท่านจะไปไหน”
หญิงสาวชี้เมฆมงคลสีขาวบนเวิ้งฟ้า “หอเซียน”
ยามสิ้นเสียงบริเวณใกล้เคียงพลันมีเสียงหัวเราะดังขึ้น เสียงวิจารณ์มากมายดังตามมา ผู้ฝึกปราณไม่น้อยชี้นิ้วมาทางพี่น้องคู่นี้ สีหน้าเปี่ยมแววเย้ยหยัน
เด็กหนุ่มระดับกำลังภายในคนหนึ่ง หญิงสาวระดับมหาสมุทรวิญญาณคนหนึ่ง ถึงกับกล้าคิดเพ้อเจ้อว่าจะเข้าสู่หอเซียนหรือ
……………….