ซย่าจื้อเงยหน้ากล่าว “ตอนมาโลกแปรมรรคเจ้าเคยบอกว่าต้องจำศีลเก็บตัวตลอด พยายามไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน”
หลินสวินอึ้งงัน กล่าวขบขัน “ดังนั้นเจ้าจึงติดอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณมาตลอดหรือ”
“ไม่ผิด”
ซย่าจื้อพยักหน้า จากนั้นค่อยมองเด็กหนุ่มมู่เสียนข้างกายปราดหนึ่ง “ก่อนมาที่นี่เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้แปรมรรค แต่ข้าแปรมรรคามุ่งสู่นิรันดร์สมบูรณ์สายหนึ่งได้แล้ว”
หลินสวินชูนิ้วโป้งพลางกล่าวชม “ร้ายกาจ”
ซย่าจื้อแย้มยิ้มเบิกบานใจ
มู่เสียนที่อยู่ด้านข้างกลับประหม่าเป็นพิเศษ กายใจล้วนตกอยู่ในสภาพมึนงง
เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ล้วนไม่เคยก้าวออกจากชนบท
แต่ตอนนี้เขากลับมาถึงหอเซียน เจอยอดบุคคลราวเทพเซียนมากมาย ภายใต้การโจมตีเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมึนงง
หลินสวินหรี่ตากล่าวเสียงอบอุ่นกับมู่เสียนทันที “เจ้าหนุ่ม อย่าคิดฟุ้งซ่าน ก้าวเดียวทะยานฟ้าก็ดี ฝันเลื่อนลอยก็ช่าง ขอเพียงจดจำขึ้นใจว่าเจ้าคือมู่เสียนก็พอ”
เสียงเจือพลังมหามรรคเสียดลึกถึงสภาวะจิตมู่เสียน ทำให้เขาได้สติเหมือนถูกไม้ฟาดทันที
ความคิดฟุ้งซ่านล้วนสลายหายไป ทั้งตัวนิ่งสงบผ่อนคลายลง
เขาหันไปมองซย่าจื้อที่อยู่ข้างกาย กล่าวอย่างรวบรวมความกล้า “ท่านพี่ แม้ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ แต่ภายหน้าข้าจะพยายามเข้าใจ”
ซย่าจื้อพยักหน้าน้อยๆ
หลินสวินที่อยู่ด้านข้างครุ่นคิด
เด็กหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งก้าวเดียวทะยานฟ้าโดยไม่ตั้งใจ การเจอวาสนาเช่นนี้กล่าวได้ว่าโชคเคราะห์บรรจบ มีทั้งคุณและโทษ
แต่ขอเพียงจิตใจไม่ดับมอดก็พอแล้ว
เวลานี้หลินสวินนึกถึงชิงเฟิงขึ้นมา พรสวรรค์ของเขาไม่ถึงขั้นดีนัก แต่ตนกลับมีวิธีแปรมหามรรคเทียมฟ้าสายหนึ่งให้เขา
เรื่องนี้เป็นเพราะประสบการณ์ฝึกปราณและสติปัญญาของตนมีส่วนช่วย แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว ต่อให้คุณสมบัติของชิงเฟิงแย่แค่ไหนก็ยังมีความหวังไปครองอำนาจเหนือมหามรรคเช่นกัน!
มิฉะนั้นต่อให้ตนมีอภินิหารเย้ยฟ้าก็ทำทุกอย่างนี้ไม่ได้
‘จิตใจ ชีวิต พรสวรรค์ มหามรรค…’ ในหัวหลินสวินเกิดการรู้แจ้งราวมีอสนีบาตสายหนึ่งวาบผ่าน
ทุกชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีพรสวรรค์ของตน ล้วนมีโอกาสก้าวบนมหามรรคเทียมฟ้าของตน!
อยากแจ้งมรรคไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งอ่อนแอหรือร้ายดีของพรสวรรค์ หากแต่อยู่ที่จิตใจ
จิตใจเหมือนแท่นบูชา ไม่ดับมอดไม่เสื่อมสูญ ย่อมคาดหวังมหามรรคได้!
ทำไมสิ่งมีชีวิตมากมายบนโลก ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนถึงก้าวสู่จุดสูงสุดบนวิถีมหามรรคได้น้อยนัก
หนึ่งคือถูกจำกัดด้วยข้อผูกมัดของ ‘ทรัพย์ สหาย วิชา สถานที่’
แต่แก่นสำคัญที่สุดอยู่ที่สภาวะจิต!
ความล้มเหลว ยากลำบาก หยิ่งผยอง ลำพองตน ขอเพียงเป็นเรื่องของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา โดยทั่วไปเมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงบนโลก ย่อมง่ายต่อการเกิดมารผจญในใจ
นี่ต่างหากแก่นสำคัญที่ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกไม่อาจก้าวสู่จุดสูงสุดของมหามรรค!
‘อัจฉริยะแห่งยุคอะไร ท่าทีเย้ยฟ้าอะไร ขอเพียงจิตใจไม่ดับมอด ต่อให้เป็นมดปลวกตัวจ้อยก็มีโอกาสแจ้งมรรคเทียมฟ้า นี่อาจเป็นแก่นจริงแท้ของชีวิต...’
หลินสวินพึมพำในใจ
เมื่อเห็นการเกิดของพลังพรสวรรค์มากมายบนโลกมอบวิญญาณ ทั้งผ่านเรื่องราวบนโลกแปรมรรค ทำให้หลินสวินมีความเข้าใจต่อมรรคแห่งชีวิตขึ้นไปอีกขั้น
…
สิบวันต่อมา
ซย่าจื้อตื่นจากสมาธิ
พลังปราณทั้งตัวนางทะลวงจากระดับมหาสมุทรวิญญาณถึงระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แล้ว
นี่เป็นเรื่องธรรมดา นางแปรมหามรรคนิรันดร์สัมบูรณ์สายหนึ่งออกมาได้นานแล้ว ก่อนหน้านี้แค่จงใจอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณมาตลอดเท่านั้น
ทั้งประสบการณ์ของซย่าจื้อยังต่างจากคนอื่นด้วย
เดิมนางก็เคยผ่านการกลับชาติมาฝึกใหม่ โลกแปรมรรคนี้ก็แค่กลับชาติมาฝึกใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้นางจึงอาศัยจิตใจและสติปัญญาของนาง แปรมหามรรคเทียมฟ้าเช่นนี้ยามหยั่งรู้มหามรรคของโลกแปรมรรค
ทุกครั้งที่มรรควิถีของนางทะลวงระดับ ต่อให้ต่างจากมรรคาที่วิวัฒน์ออกมาก็ทำการปรับเปลี่ยนและแก้ไขในระดับนั้นได้
นี่ต่างจากหนทางแปรมรรคของหลินสวินโดยสิ้นเชิง
อย่างน้อยเมื่อเขาฝึกใหม่ก็ต้องยกระดับทีละขั้น ใช้พลังของระดับนั้นมาหยั่งรู้ระเบียบมรรควัฏจักรของโลกแปรมรรค ครั้นแล้วจึงแปรมรรคาที่สูงกว่าได้
สองวิธีนี้ต่างหนทางแต่มีเป้าหมายเดียวกันโดยไม่ต้องสงสัย
“เตรียมพร้อมหรือยัง”
เมื่อเห็นซย่าจื้อลืมตาขึ้นมา หลินสวินยิ้มเอ่ยถาม
ซย่าจื้อพยักหน้าน้อยๆ
“เช่นนั้นวันนี้พวกเราจะออกจากโลกนี้ไป” หลินสวินพูดพลางเหลือบมองศิลาเทพแปรมรรคที่อยู่ข้างๆ “เชิญเจ้าก่อน”
ซย่าจื้อตรงไปข้างหน้า ยื่นมือกดลงบนศิลาเทพแปรมรรค
ตูม!
ศิลาเทพแปรมรรคดังกัมปนาท ตอบสนองกับมรรคาบนตัวซย่าจื้อ แผ่กลิ่นอายแรกกำเนิดพลุ่งพล่านเร้นลับแถบหนึ่งออกมา
นั่นคือพลังของผลมรรคแรกกำเนิด!
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ ประตูสวรรค์บานหนึ่งปรากฏกลางอากาศ จากนั้นตัว ‘มู่อวิ๋น’ ร่างจำแลงของซย่าจื้อมีหมอกแสงสายหนึ่งพุ่งออกมา โฉบหายเข้าไปในประตูสวรรค์
ส่วนตัวมู่อวิ๋นอ่อนยวบหมดสติลงกับพื้น
หลินสวินรู้ว่าซย่าจื้อได้รับผลมรรคแรกกำเนิดและจากโลกนี้ไปแล้ว
เขามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่รอช้า ยื่นมือกดลงบนศิลาเทพแปรมรรค
ตูม!
เพียงพริบตาหลินสวินรู้สึกว่าตัวเขาราวอยู่ในบ่อเกิดแรกกำเนิดแห่งหนึ่ง ยอดมรรคานับไม่ถ้วนราวฝนแสงรุ้งเทพ ส่องประกายวาววามอยู่ในบ่อเกิดแรกกำเนิด แผ่ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
นั่นไม่ใช่มหามรรค หากแต่เป็นมรรคาที่ทุกชีวิตย่างเหยียบและมุ่งตรงสู่นิรันดร์ได้!
ภาพนี้ทำให้ในใจหลินสวินอดสั่นสะท้านไม่ได้
‘เป็นอย่างที่ข้าคาดเดา การมีอยู่ของชีวิต ไม่ว่าต้อยต่ำแข็งแกร่งอ่อนแอล้วนมีทางแจ้งมรรคนิรันดร์ ว่ากันถึงที่สุดแล้วมีเพียงผู้ครองจิตวิญญาณไม่เสื่อมสูญ สภาวะจิตไม่ดับมอดจึงมีโอกาสก้าวสู่หนทางนี้…’
ขณะเดียวกันพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดสายหนึ่งถูกหลินสวินดูดซับ ทำให้เขารู้สึกเต็มสมบูรณ์ฉับพลัน ราวกับมาถึงปลายยอดนิรันดร์ กวาดสายตามองโดยรอบล้วนไม่มีใครเหนือกว่าตน!
‘ในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นสัมบูรณ์ของขั้นไร้ขอบเขตแล้ว…’
หลินสวินรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก นั่นคือกลิ่นอายของยอดอิสระและยอดเสรี ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง หลุดพ้นจากความกังวล
ตึง!
ชิงเฟิงทรุดลงกับพื้นและหมดสติ
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ มู่อวิ๋นตื่นขึ้นมาพร้อมความอึ้งงัน จากนั้นค่อยระลึกถึงเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาตลอดสองปีได้ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
ถึงตอนท้ายนางพลันถอนหายใจยาว ลุกขึ้นโค้งคำนับศิลาเทพแปรมรรค “ผู้อาวุโสชี้แนะข้าเหมือนอาจารย์ถ่ายทอดวิชา ภายหน้าข้าจะไม่ทำผิดต่อเจตจำนงของอาจารย์!”
สภาวะจิตของมู่อวิ๋นผ่องแผ้วและนิ่งสงบ
ก่อนหน้านี้นางเป็นแค่หญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ฐานะต่ำต้อย ความรู้ผิวเผิน
แต่ตอนนี้นางกลับเป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์! สภาวะจิตของนางไม่ใช่สิ่งที่เทียบกับแต่ก่อนได้แล้ว
ไม่นานชิงเฟิงก็ตื่นจากการหมดสติ
เขาเป็นเหมือนมู่อวิ๋น อึ้งงันเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะระลึกเรื่องทุกอย่างที่ตนผ่านมาตลอดสองปีกว่านี้
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่มอบชีวิตใหม่!”
ชิงเฟิงลุกขึ้นโค้งคำนับไปทางศิลาเทพแปรมรรคเหมือนมู่อวิ๋น
…
แดนเทพมากเร้น
“ทูตชะตาสวรรค์เจ็ดคนแห่งภาคีอีสานของข้าล้วนประสบเคราะห์แล้ว…”
จอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอีสานฉินฝูในชุดกระโปรงสีหมึก ใบหน้างามประณีตมีเสน่ห์เอ่ยเสียงต่ำ หว่างคิ้วเผยแววอึมครึม
พวกเพ่ยถูจอมมรรคภาคีพายัพ ชิงหยางจื่อจอมมรรคภาคีหรดี ขู่เหอจอมมรรคภาคีอาคเนย์ เทียนซูจอมมรรคภาคีบูรพา เหวยอวิ้นจอมมรรคภาคีอุดรแปดคนใจหล่นวูบ
“ล้มเหลวอีกแล้ว… ทำไมหลินสวินนั่นถึงรับมือยากเช่นนี้…”
เพ่ยถูถอนใจยาว หลายปีมานี้เมื่อหลินสวินบุกผ่านประตูสวรรค์แต่ละบาน ย่อมนำพาข่าวร้ายและการโจมตีมาสู่พวกเขาทุกครั้ง
ถึงตอนนี้สภาวะจิตของพวกเขาจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคนล้วนเปลี่ยนไปมาก ไม่มีใครกล้าดูถูกหลินสวินสักคน
ต่างจากความหยามเหยียดที่พวกเขามีต่อหลินสวินตอนแรกโดยสิ้นเชิง
“กำลังสำคัญของพวกเราเก้าภาคี ปัจจุบันล้วนรวมตัวกันอยู่บนโลกโลกาสวรรค์ทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยคือหากจะจัดการเจ้าหลินสวินในแดนเทพสรรพวิญญาณ โลกโลกาสวรรค์คือโอกาสสุดท้าย”
ชิงหยางจื่อกล่าวเสียงขรึม
ในเก้าภาคีต่างมีทูตชะตาสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่งนั่งบัญชาอยู่ในโลกโลกาสวรรค์ ทุกคนล้วนมีมรรควิถีที่เกือบจะทัดเทียมจอมมรรคไร้ขอบเขต
ขู่เหอครุ่นคิด “โลกโลกาสวรรค์… สิ่งที่สถานที่นั้นประชันกันคือการควบคุม ‘ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์’ หากคว้าโอกาสได้ก็จะมีโอกาสกำจัดหลินสวิน”
“โอกาสหรือ”
เทียนซูยิ้มขื่นกล่าว “ไม่ขอปิดบังทุกท่าน ตอนนี้ข้าไม่กล้าหวังว่าจะกำจัดหลินสวินได้อีกแล้ว”
คนอื่นล้วนเงียบไป
หลังผ่านการโจมตีหลายครั้งเช่นนี้ ในใจพวกเขาต่างกลัดกลุ้มจริงๆ ไม่กล้ายืนยันว่ากำลังพลในโลกโลกาสวรรค์นั่นจะจัดการหลินสวินได้หรือไม่
“ไม่ว่าอย่างไรเมื่อหลินสวินเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์ ต่อให้สุดท้ายไม่อาจจัดการเขาได้ก็ไม่อาจให้เขาบุกผ่านโลกนี้ไปโดยง่ายเด็ดขาด!”
เพ่ยถูกัดฟันกล่าว นัยน์ตาเปี่ยมแววคลุ้มคลั่ง เหมือนเป็นการเดิมพันทุ่มสุดตัว
…
โลกโลกาสวรรค์
ภายใต้ต้นไม้ใหญ่เปี่ยมพลังต้นหนึ่ง
เฒ่าโดดเดี่ยวกำลังดื่มอย่างหนัก สีหน้าออกจะกระสับกระส่าย
ตรงหน้าราชครูส่ายหัวจนปัญญาอยู่บ้าง “รอมาหลายปีขนาดนี้ ทำไมถึงตอนนี้ยังข่มอารมณ์ไม่อยู่”
“ในเก้าโลกของแดนเทพสรรพวิญญาณ ทุกแห่งมีกำลังพลเก้าภาคีไท่ชูกระจายอยู่ เจ้าหลินสวินนั่นคิดจะบุกฝ่าออกมาเกรงว่าคงเจออันตรายนับไม่ถ้วน ไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไร”
เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าวไม่สบอารมณ์
ราชครูพลันเงียบไปค่อยกล่าว “เฒ่าชราพวกนั้นยังรออยู่ในแดนเทพมากเร้น นี่พอจะพิสูจน์ว่าสหายน้อยหลินยังไม่เกิดเรื่อง”
“ไม่เกิดเรื่องไม่ได้หมายความเขามาถึงโลกโลกาสวรรค์อย่างราบรื่น”
เฒ่าโดดเดี่ยวแค่นเสียงกล่าว
“หึๆ”
ราชครูหัวเราะขึ้นมา “ว่าไปแล้วข้ากลับนึกถึงคำทำนายที่เคยมอบให้สหายน้อยหลินยามอยู่จักรวรรดิจื่อเย่าเมื่อนานมาแล้ว หนทางข้างหน้าเขาอบอวลด้วยหมอกหนา บนหนทางที่จากมากลับเป็นภาพฟ้าถล่มดินทลาย ตอนนี้ดูท่าว่าจะเป็นจริงทั้งหมดแล้ว เจ้าลองดูมรรคาฝึกปราณของเขาจนถึงตอนนี้ เกือบทั้งหมดล้วนเป็นความปั่นป่วน อลหม่าน กลิ่นอายคาวเลือด นำมาซึ่งตัวแปรไม่รู้เท่าไร”
เฒ่าโดดเดี่ยวอึ้งงัน “เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นดาวพิบัติหรือ”
“ไม่ ไม่ทำลายไม่ก่อเกิด ถึงเรียกว่าเป็นตัวแปรซึ่งไม่เคยมีมาก่อน”
ราชครูส่ายหัวกล่าว “จักจั่นทองมองออก เฒ่าโพธิก็มองออก เชื่อว่ายอดบุคคลอย่างเฉินซีกับไท่ชูก็คงมองออกนานแล้ว ตอนนี้ข้าแค่สงสัย หลังจากเขาไปถึงแดนเทพมากเร้นจะเปิดฉากตัวแปรอะไรอีก...”
……………………