เฒ่าโดดเดี่ยวสีหน้าอึ้งงัน ครู่ใหญ่จึงกลอกตากล่าว “คำพูดผายลมพวกนี้พูดแล้วมีประโยชน์อะไร!”
ราชครูเอ่ยว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าหลินสวินไม่เพียงเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์นี้ได้ ยังก้าวผ่านทางพิฆาตมรรคไปถึงแดนเทพมากเร้นได้ด้วย”
เฒ่าโดดเดี่ยวเงียบไปก่อนกล่าว “หากหลินสวินมีโอกาสเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์ ต่อให้ข้าต้องพลีชีพก็จะชิงโอกาสออกจากโลกนี้ให้เขา!”
ราชครูกล่าว “ว่ากันตามจริงคือเจ้ากลัวคู่ต่อสู้เก้าคนนั้นจากเก้าภาคีไท่ชู”
ตอนนี้ในโลกโลกาสวรรค์มีแค่สิบเอ็ดคน
เขากับเฒ่าโดดเดี่ยวคือสองคนในนั้น เก้าคนอื่นก็คือทูตชะตาสวรรค์เก้าคนแห่งเก้าภาคีไท่ชู
จำนวนคนแตกต่างกันมาก
ด้านพลังพวกเขาสองคนอยู่ระดับเดียวกับอีกฝ่ายทั้งเก้าคน บางทีอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ความแตกต่างนี้ไม่สลักสำคัญโดยสิ้นเชิง
หลายปีมานี้ทั้งสองคนกับอีกฝ่ายเกิดความขัดแย้งและห้ำหั่นกันไม่น้อย แม้ว่าทุกครั้งจะไม่อาจต้านการล้อมโจมตีของอีกฝ่ายได้ แต่คิดจะหนีเอาตัวรอดกลับไม่ใช่เรื่องยาก
“ใช่ว่าข้าหวาดกลัว แต่ข้ารู้ดีว่าขอแค่หลินสวินมาถึง เจ้าเฒ่าเก้าคนนั่นต้องไปจัดการหลินสวินโดยไม่สนใจอะไรแน่”
เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าว “สิ่งที่ประชันกันบนโลกโลกาสวรรค์นี้คือการควบคุม ‘ต้นกำเนิดโลกาสวรรค์’ ใครควบรวมต้นกำเนิดโลกาสวรรค์มากก็จะได้เปรียบในการต่อสู้”
“นี่ก็หมายความว่าต่อให้หลินสวินมาถึงโลกนี้แล้วครอบครองพลังต่อสู้ระดับจอมมรรคไร้ขอบเขต แต่คิดจะสู้กับศัตรูพวกนั้นกลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ราชครูกล่าว “ดังนั้นตอนหลินสวินมาถึงพวกเราต้องหาเขาให้เจอทันที มีเพียงพวกเราสองคนไปปกป้องเขาเต็มกำลัง เขาจึงมีเวลาพอจะไปหยั่งรู้และควบคุมพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์”
“เฮ้อ ปัญหาตอนนี้คือใครก็ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่จะปรากฏตัวเมื่อไหร่!”
เฒ่าโดดเดี่ยวเบะปากจนปัญญา
“หืม?”
ทันใดนั้นตรงเวิ้งฟ้าที่ห่างไกลมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้ม เอวคาดเข็มขัดหยกขาว ร่างสูงใหญ่ผอมบาง นัยน์ตาชวนประหวั่นเหมือนตะวันจันทรา
“ตี้ฉาง!”
ราชครูหรี่ตาเล็กน้อย นี่คือทูตชะตาสวรรค์ภาคีหรดี มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
จากนั้นบนทิศทางอื่นทยอยมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏ
บ้างเหยียบเมฆมงคล ร่างสะท้อนทั่วหล้า
บ้างควบคุมพายุสายฟ้า ร่างแผ่รัศมีแสงไร้ขอบเขต
บ้างพาดกระบี่มรรคบนแผ่นหลัง ยามก้าวเดินมีภาพกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏ
บ้าง…
ทั้งหกคนพุ่งมาทางนี้จากต่างทิศทาง
ตูม…
ฟ้าดินมืดสลัว ห้วงอากาศปั่นป่วน
อานุภาพน่ากลัวไร้ขอบเขตแผ่ออกมาจากเงาร่างทั้งหก ราวนายเหนือหัวผู้ยิ่งใหญ่หกคนปรากฏตัว
“เก็บตัวเงียบมาถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว วันนี้เฒ่าสารเลวพวกนี้กลับบุกมากะทันหัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องออกจะไม่ชอบมาพากล”
เฒ่าโดดเดี่ยวขมวดคิ้ว
หกคนนี้เขากับราชครูล้วนคุ้นเคยนัก
ตูเทียนหยวนภาคีพายัพ ตี้ฉางภาคีหรดี ฉงซวีภาคีอาคเนย์ ปาเจวี๋ยภาคีบูรพา สิงอวิ๋นโจวภาคีอีสาน เฟ่ยหยาภาคีประจิม
มรรควิถีของแต่ละคนห่างจากจอมมรรคไร้ขอบเขตเพียงเสี้ยวเดียว!
ด้วยเคยประลองกันมาหลายครั้ง เมื่อเห็นพวกเขาปรากฏตัว เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูจึงไม่ตระหนก แค่แปลกใจอยู่บ้างเท่านั้น
“มีโอกาสสูงว่าจะเป็นเพราะหลินสวินมาแล้ว!”
นัยน์ตาราชครูฉายแววระยับ “พวกเขามาครานี้เพื่อล้อมพวกเราแน่ ไม่ให้พวกเราไปช่วยหลินสวิน!”
เฒ่าโดดเดี่ยวใจกระตุกวูบ
“เจ้าไปก่อน ข้าสกัดพวกเขาเอง”
ราชครูสูดหายใจเข้าลึกๆ “จำไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเจอหลินสวินทันที อย่าให้เขาถูกศัตรูพวกนั้นจับตัวไปเด็ดขาด!”
ตูม!
เงาร่างเขาทะยานสู่ฟากฟ้า ร่างผอมแห้งส่องประกายสว่างไสว รอบตัวปรากฏลักษณ์ประหลาดมหามรรคอย่างฟ้าดารากว้างใหญ่ลอยคว้าง ดวงดาวนับหมื่นแสนล้อมพิทักษ์
“ล้อมพวกเขาไว้!”
ห่างออกไปตี้ฉางในชุดยาวเขียวเข้มตวาดลั่น เสียงราวอสนีบาตดังก้องฟ้า
เขากับคนอื่นๆ อีกห้าคนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ต่างคนต่างเค้นมรรควิถีออกมาปิดล้อมเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู
ตูม…
พายุสายฟ้าปั่นป่วน ฟ้าถล่มดินทลาย รัศมีเทพน่ากลัวมากมายพุ่งมาราวกับปกฟ้าคลุมตะวันทันที
ศึกใหญ่ปะทุขึ้น
เวลานี้ราชครูดูดุดันหาใดเปรียบ แค่คนเดียวกลับฝืนปะทะทูตชะตาสวรรค์หกคน ท่าทางเหมือนไม่เสียดายชีวิตโดยแท้
แต่เมื่อมองการต่อสู้นี้อย่างละเอียดกลับค้นพบได้ไม่ยาก
ไม่ว่าจะเป็นราชครูหรือทูตชะตาสวรรค์หกคนนั่น เงาร่างคล้ายกลายเป็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง
ในฟ้าดินของแต่ละคนล้วนแบกรับอารยธรรม มหามรรค หมื่นวิญญาณ หมื่นลักษณ์ สรรพสิ่ง…
มองจากไกลๆ แต่ละคนราวกับอารยธรรมยุคสมัยหนึ่ง อารยธรรมยุคสมัยเหล่านี้กำลังโจมตีและต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง!
ภาพน่าเหลือเชื่อเหล่านั้นดูกระเทือนใจคนนัก
นี่ก็คือการต่อสู้ของโลกโลกาสวรรค์
ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่โลกนี้ต้องหยั่งรู้และควบรวมไอโลกาสวรรค์ ถึงจะกลายร่างเป็นฟ้าดินไร้รูป สามารถไปแบกรับพลังของอารยธรรมการฝึกปราณหนึ่งได้!
พลังเช่นนี้ยังถูกเรียกว่า ‘มรรคโลกาสวรรค์’
ไอโลกาสวรรค์ที่ควบรวมยิ่งหนาทึบ มรรคโลกาสวรรค์ที่ครอบครองก็ยิ่งแข็งแกร่ง!
“รีบไป!”
เสียงของราชครูดังก้อง
เฒ่าโดดเดี่ยวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ส่งเสียงตวาดลั่น เงาร่างเขากลายเป็นฟ้าดินไร้รูปเช่นกัน ปล่อยนัยเร้นลับแห่งมรรคโลกาสวรรค์ออกมา พุ่งทะยานห่างออกไป
มีทูตชะตาสวรรค์สองสามคนคอยสกัด แต่กลับถูกเฒ่าโดดเดี่ยวพุ่งโจมตีสุดตัว ร่างเขาเคลื่อนผ่านอากาศไปทั้งอย่างนั้น พุ่งตัวห่างออกไปเต็มกำลัง
แม้บุกฝ่าวงล้อมออกมาได้ เฒ่าโดดเดี่ยวก็อดกระอักเลือดไม่ได้
การโจมตีเมื่อครู่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย หากไม่ทำเช่นนี้คงไม่อาจหนีออกมาโดยง่าย
“ฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยา พวกเจ้าสามคนตามเฒ่าโดดเดี่ยวไป!”
ในสนามรบเสียงตวาดของตี้ฉางดังขึ้น
พวกฉงซวีเคลื่อนผ่านอากาศตามเฒ่าโดดเดี่ยวไปทันที
ส่วนพวกตี้ฉาง ตูเทียนหยวน สิงอวิ๋นโจวก็ล้อมโจมตีราชครูเต็มกำลัง
ตูม…
สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดยิ่งกว่าเดิมแล้ว แม้ว่าสถานการณ์ของราชครูจะอันตราย แต่สภาวะจิตกลับนิ่งสงบลงแล้ว
เขารู้ว่าต่อให้เฒ่าโดดเดี่ยวต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตก็ไม่มีทางปล่อยให้หลินสวินเกิดเรื่องแน่
แต่สิ่งเดียวที่เขาไม่กล้าแน่ใจคือหลินสวิน... มาถึงโลกโลกาสวรรค์แล้วจริงหรือไม่…
ถ้าเรื่องนี้เป็นอุบายของศัตรู การทุ่มสุดตัวของเขากับเฒ่าโดดเดี่ยวในวันนี้คงเสี่ยงเกินไปแล้ว
…
เฒ่าโดดเดี่ยวกำลังหนีตาย
ในใจเขาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ หากหลินสวินมาแล้วตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหน
โลกโลกาสวรรค์กว้างใหญ่เกินไปแล้ว กว้างใหญ่จนเหมือนไม่มีขอบเขต
เฒ่าโดดเดี่ยวท่องอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าเขตแดนของโลกโลกาสวรรค์อยู่ที่ไหน
‘ครั้งนี้ที่ปรากฏตัวมีแค่พวกตี้ฉางหกคน พวกเซียวอวิ้นจื่อ โม่เซิ่ง จงรุ่ยสามคนกลับไม่ได้ปรากฏตัว จากจุดนี้หรือทั้งสามคนสังเกตเห็นว่าหลินสวินเข้ามาโลกนี้แล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวก่อนล่วงหน้า’
เฒ่าโดดเดี่ยวขมวดคิ้ว
ครู่ใหญ่เขาจึงกล่าวพึมพำในใจ ‘หลินสวินหนอหลินสวิน เจ้าอย่าเกิดเรื่องเชียว…’
หืม?
นัยน์ตาเฒ่าโดดเดี่ยวหดรัด สังเกตเห็นเงาร่างพวกฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยาตามมาจากด้านหลังแล้ว
เขากัดฟันพุ่งตัวไปข้างหน้าโดยไม่กล้าลังเล
ก็เห็นว่ากลางฟ้าดินไร้ขอบเขตนี้ เงาร่างเฒ่าโดดเดี่ยวราวกับแสงสีดำสายหนึ่ง ร่างพริบไหวข้ามพันภูผาหมื่นวารี รวดเร็วถึงขีดสุด
ด้านหลังเขาพวกฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยาตามมาติดๆ
แต่เทียบกับความร้อนรนและไม่สงบของเฒ่าโดดเดี่ยวแล้ว พวกเขาสามคนดูสุขุมและนิ่งสงบนัก
“การตอบสนองของเจ้าเฒ่าสองคนนี้ถือว่าไม่ช้า ดูท่าว่าในใจพวกเขาคงคาดเดาได้ว่าหลินสวินใกล้เข้าสู่โลกโลกาสวรรค์แล้ว”
ฉงซวีหัวเราะเบาๆ
เขาพาดกระบี่โบราณบนแผ่นหลัง ใต้ฝ่าเท้ามีภาพกระบี่มากมายปรากฏ ท่วงท่าสง่างาม
“น่าเสียดาย เมื่อหลินสวินเข้าสู่โลกนี้ พวกเขาสองคนย่อมไม่มีทางช่วยหลินสวินได้แล้ว”
สีหน้าปาเจวี๋ยเรียบเฉย
บนร่างกำยำดุจภูผาของเขามีพายุสายฟ้าปั่นป่วน รัศมีแสงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่าน
“เมื่อถูกพวกเราหมายตา อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่รักษาชีวิต ไหนเลยจะมีโอกาสไปช่วยเหลือ”
เฟ่ยหยายิ้มบางๆ
เขาสูงวัยแก่หง่อม แต่เสียงกลับฉะฉานเหมือนเด็กหนุ่ม บนตัวมีลักษณ์ประหลาดทั่วหล้าหมุนวนราวกับกระแสน้ำ อานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล
“วันนี้พวกเราเพิ่งได้ข่าว ตามการวิเคราะห์ของจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคน หลินสวินน่าจะเข้าสู่โลกโลกาสวรรค์ในช่วงนี้”
ฉงซวีกล่าวเสียงขรึม “ในข่าวยังบอกว่าแม้แต่จอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคนก็ไม่แน่ใจว่าหลินสวินจะออกจากโลกแปรมรรคเมื่อไรกันแน่ พวกเจ้าว่าหลินสวินมาถึงโลกโลกาสวรรค์ก่อนล่วงหน้าแล้วหรือไม่ เพียงแต่พวกเรายังไม่รู้เท่านั้น”
“มาถึงก่อนล่วงหน้าหรือ”
ปาเจวี๋ยส่ายหัวกล่าว “เป็นไปไม่ได้ หากเขามาถึงก่อนล่วงหน้า เขามีหรือจะไม่ไปติดต่อกับเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู”
“ไม่ติดต่อกันล่วงหน้าก็หมายความว่าไม่มาถึงก่อนล่วงหน้าหรือ เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล”
ฉงซวีกล่าว “ด้วยความสามารถของหลินสวิน ยามมาโลกโลกาสวรรค์ต้องเข้าใจโลกนี้มาก่อนแน่ เกรงว่าเขาคงรู้ดีว่าถ้าอยากต่อสู้กับพวกเราต้องหยั่งรู้และครอบครองพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์โดยเร็ว หากเขาเข้าสู่โลกนี้แล้วเลือกจำศีลขึ้นมา ต่อให้พวกเราอยากจับตัวเขาก็คงยากลำบากนัก”
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ดังนั้นครั้งนี้พวกเราจึงมาจัดการเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู หากจับตัวพวกเขาได้ นั่นก็เป็นตัวประกันที่ข่มขู่หลินสวินได้ ไม่ว่าเขาปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็จะถูกพวกเราข่มขู่”
“หากเขาปรากฏตัวในโลกโลกาสวรรค์นี้แล้ว ถ้าสังเกตเห็นว่าพวกเรากำลังตามล่าพวกเฒ่าโดดเดี่ยว มีหรือจะนิ่งดูดาย”
ฉงซวีกับเฟ่ยหยาล้วนพยักหน้า
กล่าวกันถึงที่สุดแล้วโลกโลกาสวรรค์กว้างใหญ่เกินไปจริงๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะปรากฏตัวเมื่อไหร่
คิดจะโจมตีหลินสวินทันที แน่นอนว่าต้องคิดหาวิธีอื่น
ดังนั้นครั้งนี้หลังจากได้รับข่าวซึ่งส่งมาจากจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคน พวกเขาจึงเริ่มลงมือทันใด สิ่งสำคัญไม่ใช่การสังหารเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู แต่จะจับตัวพวกเขามาจัดการหลินสวิน!
ตอนนี้ยามพวกเขาหกคนแยกกันจัดการเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครู ยังมีทูตชะตาสวรรค์อีกสามคนกำลังแยกกันเคลื่อนไหว ลาดตระเวนโลกโลกาสวรรค์
เพื่อตามหาหลินสวินและกำจัดเขาโดยเร็ว!
ยามพูดคุยการเคลื่อนไหวของพวกฉงซวี ปาเจวี๋ย เฟ่ยหยาไม่ได้ช้า ตามรอยเฒ่าโดดเดี่ยวไปติดๆ ไม่เกียจคร้านแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกันส่วนลึกของหมู่เขาเงียบสงัดไร้ผู้คนในโลกโลกาสวรรค์ มีหุบเขาไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง ลึกลงไปใต้พื้นหุบเขาหมื่นจั้งมีถ้ำสถิตแห่งหนึ่งอยู่
นอกถ้ำสถิตปกคลุมด้วยผนึกอัศจรรย์ซึ่งบดบังกลิ่นอาย
ในถ้ำสถิตมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งสมาธิฝึกปราณอยู่ในนั้น
………………….