ภาพน่าตระหนกปรากฏ…
ในห้วงอากาศ โลกโลกาสวรรค์แห่งแล้วแห่งเล่าอุบัติ ไพศาลเจิดจรัสยิ่ง ต่างรองรับอารยธรรมแห่งหนึ่งและมหามรรคมากมาย ปรากฏหมื่นลักษณ์หมื่นวิญญาณ…
ราวกับรวมตัวจากโลกยุคสมัยมากมาย!
นี่ก็คือมรรคโลกาสวรรค์
ควบรวมไอโลกาสวรรค์แล้วกระตุ้นมหามรรคแห่งตนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สำแดงพลังชั้นเลิศที่รองรับอารยธรรมและมหามรรคออกมา
และการครอบครองอานุภาพระดับนี้ไม่ต่างจากราชันแห่งยุคสมัยแล้ว
ตอนนี้เมื่อทูตชะตาสวรรค์ห้าคนอย่างพวกตี้ฉางสู้สุดชีวิต โลกโลกาสวรรค์ห้าใบที่ปลดปล่อยออกมาก็เรียกได้ว่าน่ากลัวยิ่ง!
สำหรับพวกเขา การโจมตีนี้สามารถเปิดทางรอดสายหนึ่งให้พวกเขาหนีออกจากฟ้าดินแถบนี้ไปได้!
ใช่แล้ว เพียงเพื่อหนีเท่านั้น
แต่ครู่ต่อมา…
ตูม!
โลกโลกาสวรรค์ใบหนึ่งพังถล่ม ราวกับโลกยุคสมัยอันไพศาลแห่งหนึ่งเหี่ยวเฉาในชั่วขณะนี้ อารยธรรมและมหามรรคที่รองรับล้วนแตกสลาย พังทลายอย่างสิ้นเชิง
พรูด!
สิงอวิ๋นโจวกระอักเลือด ราวกับถูกฟ้าผ่า บาดเจ็บสาหัส
นี่คือโลกโลกาสวรรค์ของเขา เป็นสิ่งที่สะท้อนมรรควิถีของเขา กลับยังถูกซัดสะเทือนแตกสลายหมดสิ้นในชั่วขณะนี้ ทำให้มรรควิถีของเขาได้รับเสียหายรุนแรง
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
สิงอวิ๋นโจวเงยหน้าขึ้น ก็เห็นโลกโลกาสวรรค์ของพวกตี้ฉาง ตูเทียนหยวน ตานถู หลิวเหยาถูกโจมตีหนักหน่วงในยามนี้เช่นกัน
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น โลกโลกาสวรรค์แห่งแล้วแห่งเล่าระเบิดออกราวกับฟองสบู่ ซัดละอองแสงพร่างพราวงดงามออกมา ม้วนตัวแล้วสลายไปดั่งกระแสน้ำ
ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของโลกโลกาสวรรค์ของหลินสวิน ล้วนถูกซัดแตกเป็นเสี่ยงภายในการโจมตีเดียว
ภาพเหตุการณ์นั้นราวกับโลกยุคสมัยมากมายถูกกระแทกแหลกละเอียดอย่างหนัก!
สิงอวิ๋นโจวอึ้งงันย่างสิ้นเชิงแล้ว
เมื่อหันมองดูพวกตี้ฉาง ตูเทียนหยวน ล้วนเงาร่างโซเซ กระอักเลือดไม่หยุด แต่ละคนบาดเจ็บหนักหน่วง กลิ่นอายทั้งร่างปั่นป่วน
สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กรีดร้องไม่หยุด สภาวะจิตได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง
ใช้พลังของคนผู้เดียว ภายใต้การโจมตีเดียวก็ทำลายโลกโลกาสวรรค์ของพวกเขาห้าคนได้!
นี่น่ากลัวเกินไป ทำลายความเข้าใจของพวกเขาโดยสมบูรณ์
ราชครูยังอึ้งงันจนอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ สูดหายใจสะท้าน ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองสักนิด
“น่าตกใจมากใช่ไหม”
เฒ่าโดดเดี่ยวกล่าวกลั้วหัวเราะ เห็นท่าทีอึ้งงันของราชครู เขาก็นึกถึงท่าทางโง่งมอึ้งงันของตนยามหลินสวินกำราบพวกฉงซวีก่อนหน้านี้
“บอกให้ถอยนานแล้ว เหตุใดยังดื้อดึงอยู่อีก…”
พวกฉงซวี ปาเจวี๋ยเพิ่งหนีจากความตายมาได้ แต่หลังจากเห็นภาพนี้ก็อดสิ้นหวังไม่ได้ แต่ละคนราวสูญเสียบุพการี หมดหวังถึงขีดสุด
ตูม!
แสงมรรคทั่วฟ้าสลายตัว
ใต้ฟ้าเหลือเพียงเงาร่างหลินสวินยืนอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง มองลงมายังพวกทูตชะตาสวรรค์ที่บาดเจ็บเหล่านั้น กล่าวว่า “ยังจะลองอีกหรือไม่”
พวกตี้ฉางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก มองไปยังหลินสวิน สีหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความอึ้งงันและหวาดหวั่น
ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินที่เพิ่งมาถึงโลกโลกาสวรรค์จะครอบครองมรรคโลกาสวรรค์ที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร! ต่อให้ยามนี้ถูกโจมตีพ่ายแพ้แล้ว ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความฉงนที่ยากจะอธิบาย
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เห็นว่าไม่มีคนตอบ หลินสวินหมดความสนใจทันที “ช่างเถอะ ข้าจะส่งทุกท่านไปลงนรกเอง”
ตูม!
แสงมรรคทั่วฟ้าปรากฏ กลายเป็นโลกโลกาสวรรค์ที่ใหญ่จนบดบังฟ้าดิน ตอนนี้พวกตี้ฉางไร้แรงดิ้นรนแล้ว ทำได้เพียงมองตนเองถูกกลืนกินราวกับมดตัวจ้อยโดยไม่สามารถทำอะไรได้
ถึงตอนนี้ทูตชะตาสวรรค์ทั้งเก้าซึ่งอยู่ในโลกนี้ล้วนร่วงหล่น!
เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูที่อยู่ในไกลๆ สีหน้าเหม่อลอยระลอกหนึ่ง
พวกเขาสู้กับทูตชะตาสวรรค์เหล่านั้นมาไม่รู้กี่ปี หนีอย่างสะบักสะบอมทุกครั้ง และหลายครั้งที่พบเจออันตราย
แน่นอนว่าพวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของทูตชะตาสวรรค์เหล่านั้นเป็นอย่างดี
แต่พวกคนที่แข็งแกร่งกลุ่มนี้กลับถูกหลินสวินสังหารหมดสิ้นในชั่วพริบตา นี่ทำให้เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูต่างรู้สึกเหมือนไม่สมจริง ราวกับกำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้น
จู่ๆ เสียงของหลินสวินก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสทั้งสอง พวกท่านรีบไปรักษาแผลเถอะ อย่าได้ปล่อยให้บาดแผลกลายเป็นภัยแฝง”
เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูเงยหน้ามองไปก็เห็นหลินสวินก้าวเดินมาจากห้วงอากาศแล้ว
สวมชุดสีขาวพระจันทร์ หล่อเหลาละโลกีย์ รูปลักษณ์ยังคงเหมือนยามเป็นเด็กหนุ่ม แต่ในสายตาของเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครู เด็กหนุ่มคนนี้… เป็นคนที่สามารถทำให้พวกเขาแหงนหน้ามองชื่นชมได้แล้ว!
……
แดนเทพมากเร้น
จอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้าอย่างพวกเพ่ยถู ชิงหยางจื่อ ขู่เหอต่างเงียบงัน
บรรยากาศกดดันอย่างที่สุด
“ตั้งแต่หลินสวินเข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์จนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงห้าปีกระมัง”
ครู่ใหญ่เพ่ยถูพึมพำออกมาเสียงต่ำลึก “ตอนนี้เขากลับผ่านประตูสวรรค์ชั้นที่แปดแล้ว ชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาได้แปดครั้ง ถ้าไม่ผิดจากที่คาด อีกไม่นานเขาก็จะออกจากโลกโลกาสวรรค์ไปทางพิฆาตมรรคแล้ว…”
ในน้ำเสียงเผยอารมณ์ซับซ้อนที่บอกไม่ถูก
เริ่มแรกพวกเขาไม่ใส่ใจหลินสวิน มองเขาเป็นเหยื่อที่สามารถฆ่าได้ตามใจชอบ หลังจากนั้นเมื่อหลินสวินผ่านโลกเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พวกเขาเดือดดาล ตกใจ หวาดหวั่น… และได้รับแรงกระเทือนอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนรู้สึกสิ้นหวัง!
ล้วนตะลึงกับอานุภาพที่หลินสวินสำแดงออกมา ต่อให้พวกเขาไม่อยากยอมรับแค่ไหน ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าหลินสวินในตอนนี้ไม่ด้อยกว่าจอมมรรคไร้ขอบเขตอย่างพวกเขา ถึงขั้นที่มีแต่จะเหนือกว่า!
“ทางพิฆาตมรรค สิ่งที่พิฆาตก็คือมรรคแห่งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทางพิฆาตมรรคที่เก้ามรณาหนึ่งรอดพ้นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถกักขังหลินสวินได้หรือไม่…”
ชิงหยางจื่อถอนหายใจยาว
พวกเขาไม่แน่ใจแล้ว ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งและมั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้ ยามพูดถึงหลินสวินคิ้วล้วนขมวดแน่น สีหน้าหนักใจ
นี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
“พวกเราพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ และไม่สามารถไปแทรกแซงและหยุดยั้งหลินสวินได้อีก ทำได้เพียงรออยู่ที่นี่อย่างผู้ถูกกระทำ ไม่มีวิธีอื่นอีก”
เสียงของขู่เหอเผยความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก “เรื่องที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือหากเขามีโอกาสข้ามผ่านทางพิฆาตมรรค มาถึงแดนเทพมากเร้น ต่อให้พวกเราลงมือด้วยกันก็เกรงว่าจะไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก…”
อารมณ์ท้อแท้หมดอาลัยตายอยากแผ่ขยายบนร่างจอมมรรคชะตาสวรรค์เหล่านี้ สีหน้าทุกคนล้วนอึมครึม
“นี่… ก็คือตัวแปรที่เจ้าลัทธิรอคอยหรือ ข้าคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตั้งแต่แรกคุณหนูและเจ้าลัทธิถึงไม่แสดงท่าทีอย่างชัดเจน พวกเขา… เกรงว่าคงคาดเดาได้นานแล้วว่าเพียงแค่แดนเทพสรรพวิญญาณไม่สามารถขวางหลินสวินได้”
เทียนซูพึมพำออกมา “จะโทษก็ต้องโทษที่พวกเราไม่เข้าใจ คิดเองเออเองว่าการระดมพลังทั้งหมดไปขัดขวางและโจมตีหลินสวินเป็นการทำเพื่อเจ้าลัทธิและคุณหนู สุดท้ายกลับเสียหายหนัก นี่… น่าขันแค่ไหน…”
สีหน้าของทุกคนไม่น่าดูอยู่บ้าง ในใจมีความคิดแตกต่างกันไป
ใช่แล้ว เหตุใดตั้งแต่หลินสวินปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ เจ้าลัทธิและคุณหนูไม่เคยแสดงท่าที
หรือพวกเขาเดาออกนานแล้วว่าอานุภาพของหลินสวินไม่อาจขัดขวาง
หรือพูดอีกอย่างว่าพวกเขาเพียงต้องการมองดูอยู่ข้างๆ ดูว่าตัวแปรอย่างหลินสวินจะสามารถรอดถึงแดนเทพมากเร้นได้หรือไม่
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเพ่ยถูพูดเสียงขรึม “จิตใจของเจ้าลัทธิลึกล้ำราวมหาสมุทร ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคาดเดากันเองได้ พวกเราทำเรื่องที่ตนควรทำให้ดีก็พอแล้ว”
ตอนนี้เองที่นอกโถงใหญ่ เงาร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาของบรรพจารย์วานรปรากฏตัวออกมากลางอากาศ เสียงแก่ชราก้องสะท้อนตามมา
“พวกเจ้าตามข้ามา”
พวกเพ่ยถูเก้าคนลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง สบตากันอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“บรรพจารย์วานร พวกเราจะไปไหนกัน”
เพ่ยถูประสานมือถาม
“ไป ‘แท่นมรรคมากเร้น’ ดูว่าหลินสวินจะสามารถข้ามทางพิฆาตมรรคมาถึงแดนเทพมากเร้นแห่งนี้ได้หรือไม่”
บรรพจารย์วานรพูดจบก็หมุนตัวทะยานออกไป
พวกเพ่ยถูตกใจ จากนั้นเผยสีหน้าตื่นเต้น แม้แต่บรรพจารย์วานรก็นั่งไม่ติด ในที่สุดก็เลือกจะลงมือแล้วหรือ
ระหว่างที่คิดพวกเขาก็เคลื่อนไหวแล้ว ตามบรรพจารย์วานรไปติดๆ
……
“บรรพจารย์วานรเคลื่อนไหวแล้ว”
โลกจำศีล จักจั่นสัมผัสบางอย่างได้ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “เคลื่อนไหวตอนนี้ใจร้อนเกินไปหน่อยแล้ว”
“บรรพจารย์วานรติดตามอยู่ข้างกายไท่ซูตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว เป็นทั้งข้ารับใช้ทั้งสหาย มรรคาของเขาผสานพลังแห่งความขุ่นใส หยินหยาง สองลักษณ์ไว้ด้วยกัน วิวัฒน์เป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งยอดเอกอุสัมบูรณ์ สิ่งยากที่สุดคือมรรควิถีทั้งตัวเขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบากด้วยตนเองทั้งหมด แม้แต่ไท่ชูยังไม่เคยให้ความช่วยเหลือเขามากนัก”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลพูดเสียงเบา “สหายยุทธ์คงรู้ดี ในทุกยุคสมัยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกมรรคายอดเอกอุมีนับไม่ถ้วน แต่คนที่ไปถึงขั้นสัมบูรณ์บนมรรคานี้กลับมีเพียงบรรพจารย์วานรคนเดียวเท่านั้น”
จักจั่นทองยิ้มกล่าว “มรรคแห่งยอดเอกอุผสมผสานความแข็งแกร่งและนุ่มนวล รวมหยินหยาง หนึ่งนิ่งหนึ่งขยับ ล้วนสำแดงความมหัศจรรย์ไร้บกพร่องอันสมบูรณ์แบบ สหายยุทธ์คิดว่าการเคลื่อนไหวของบรรพจารย์วานรในครั้งนี้เตรียมพร้อมมานานแล้ว ไม่ได้กระทำด้วยความเร่งรีบเช่นนั้นหรือ”
“ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “หรือพูดได้ว่าทันทีที่บรรพจารย์วานรเคลื่อนไหวจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ไท่ชูอยากเห็นพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นสหายยุทธ์ไม่คิดจะลงมือหรือ”
จักจั่นทองอึ้งไป
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลใคร่ครวญแล้วให้คำตอบหนึ่ง “ปล่อยไปตามธรรมชาติ”
……
“ท่านปู่ บรรพจารย์วานรเคลื่อนไหวแล้ว ในที่สุดเจ้าเฒ่านี่ก็หมดความอดทนแล้วหรือ”
โลกหงหลิง เฉินหลินคงตาเป็นประกาย
“ขนาดเจ้ายังรู้ความเคลื่อนไหวของเขา เขาจะไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ในกระท่อมเสียงที่กระจ่างกังวานดังมา “อย่าร้อนใจ การกระทำนี้ของบรรพจารย์วานรทุกคนล้วนเห็นอยู่ในสายตา ไม่ว่าเขาจงใจคิดจะชิงลงมือก่อน หรือคิดจะวางแผนหลอกล่อก็ไม่สำคัญ ขอเพียงไท่ชูไม่เคลื่อนไหว การประลองหมากครั้งนี้ก็ยังไม่ถือว่าเริ่มขึ้น”
เฉินหลินคงเลิกคิ้วกล่าว “ท่านปู่ ในสายตาท่านมีเพียงไท่ชู แต่ข้ากลับเป็นห่วงสถานการณ์ของสหายน้อยหลิน ไม่สู้… ข้าไปที่แท่นมรรคมากเร้นนั่นสักรอบดีหรือไม่”
เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เสียงในกระท่อมจะดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าไปดูสักหน่อยก็ดี”
เฉินหลินคงดีใจทันที หมุนตัวจากไป
เขาใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบมานานแล้ว
“จิตใจเช่นนี้ ยังเทียบจักจั่นทองและโพธิไม่ได้ แต่… ก็ไม่เป็นไร แต่ละคนล้วนมีมรรคของตน มีอุปนิสัยของตน มุ่งมั่นจะพัฒนาก็ดี มั่นคงราวกับภูเขาก็ช่าง ถึงอย่างไรพวกเขาก็แตกต่างกัน”
ในกระท่อมเงาร่างโดดเด่นสายหนึ่งจมสู่ภวังค์ความคิด
“กลับเป็นหลินสวินนี่ แม้ไม่เคยข้ามทางพิฆาตมรรค ตอนนี้มรรควิถีของเขาน่าจะโดดเด่นเหนือกว่าคนรุ่นก่อนแล้ว… ในจุดนี้เจ้าโพธินั่นช่างสมกับเป็นคนอาจหาญความคิดยาวไกล แม้จ่ายค่าตอบแทนไปมาก แต่ได้ผู้สืบทอดเช่นนี้มาคนหนึ่งก็สามารถทำให้เขาปลาบปลื้มและภาคภูมิใจได้แล้ว…”
…………………..