ในฟ้าดินบานแรกกำเนิด
อีกาดำที่อยู่บนกิ่งไม้ลังเลครู่ใหญ่ สุดท้ายก็อดพูดไม่ได้ “เจ้าลัทธิ ท่านให้บรรพจารย์วานรเคลื่อนไหวยามนี้หรือ”
ส่วนลึกใต้ดิน เสียงของราชันไท่ชูดังขึ้น “อีกาน้อย เจ้าคิดว่าบรรพจารย์วานรเคลื่อนไหวตอนนี้จะชักนำตัวแบรมามากเท่าไร”
อีกาดำไตร่ตรองแล้วพูดว่า “สถานการณ์ของแดนเทพมากเร้นในตอนนี้ เคลื่อนไหวเพียงน้อยก็กระทบทั้งกระดาน จะต้องดึงดูดความสนใจของพวกเฉินซี จักจั่นทอง โพธิ เฉินหลินคงอย่างแน่นอน ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทนไม่ไหวเคลื่อนไหวตอนนี้หรือไม่ เช่นนี้บรรพจารย์วานรก็อันตรายแล้ว”
“ผิดแล้ว”
ราชันไท่ชูพูด “บรรพจารย์วานรเคลื่อนไหว จึงสามารถทำให้ทุกอย่างดำเนินต่อไบได้ ส่วนบรรพจารย์วานร… ไม่เบ็นอะไรหรอก นี่เบ็นการจัดการของข้าอยู่แล้ว คู่ต่อสู้เหล่านั้นไม่เคลื่อนไหว เช่นนั้นยามหลินสวินไบถึงแดนเทพมากเร้นจะต้องถูกบรรพจารย์วานรพาคนบิดล้อมอย่างแน่นอน แหากพวกเขาเคลื่อนไหว นั่นก็ยิ่งดี”
อีกาดำเหมือนตระหนักอะไรได้ พูดอย่างตื่นเต้น “เจ้าลัทธิ หรือท่านมีพลังพอจะหลุดพ้นแล้ว”
“นั่นต้องดูว่ายามตัวแบรอย่างหลินสวินมาถึง คุ้มค่าพอให้ข้าออกไบหรือไม่”
เสียงของราชันไท่ชูแฝงความลึกลับ “หากไม่คุ้ม เช่นนั้นความพยายามของข้าก็เสียเบล่าแล้ว”
ในใจอีกาดำสะท้าน กล่าวว่า “หรือเจ้าลัทธิวางหมากไว้นานแล้ว”
“ข้าถามเจ้า สำหรับเจ้า ในแดนเทพมากเร้นศักยภาพของพวกเรากับคู่ต่อสู้เหล่านั้น ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ”
“ตอนนี้ดูเหมือนกำลังสูสีกัน”
อีกาดำพูดเสียงเบา
ในแดนเทพมากเร้น ตอนนี้คนเดียวที่สามารถคุกคามราชันไท่ชูได้ก็คือเฉินซี
นอกนั้นทั้งโพธิ จักจั่นทอง เฉินหลินคงล้วนด้อยกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีมรรควิถีเพียงราชันไร้ขอบเขต
ทว่าฝั่งพวกเขามีเพียงนางกับบรรพจารย์วานรที่เบ็นราชันไร้ขอบเขต ในขอบเขตนี้พวกเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง
แต่สำหรับอีกาดำ เพียงแค่เจ้าลัทธิคนเดียวก็สามารถคุกคามฝั่งตรงข้ามได้แล้ว แม้ตอนนี้เจ้าลัทธิถูกคุมขัง แต่ก็สามารถสยบอีกฝ่ายได้
ไม่เช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเหตุใดพวกเฉินซี โพธิจึงไม่ลงมือเสียที
เหตุผลเพราะพวกเขายำเกรงตัวตนของเจ้าลัทธิ!
สำหรับระดับจอมมรรคไร้ขอบเขต ฝั่งพวกเขามีจอมมรรคชะตาสวรรค์ของเก้าภาคีไท่ชู มีบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดและลัทธิฌาน
ส่วนอีกฝั่งมีเพียงบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดและลัทธิวิญญาณสองคน
แน่นอนว่าในสายตาของอีกาดำ การบระชันในแดนเทพมากเร้น คนระดับจอมมรรคไร้ขอบเขตไม่มีความสามารถเพียงพอแล้ว
“กำลังสูสีกันหรือ”
ราชันไท่ชูอดยิ้มไม่ได้ ในเสียงแฝงความนัยที่อธิบายไม่ถูก เหมือนกำลังหัวเราะเยาะ และเหมือนรู้สึกว่าความคิดนี้น่าขันมาก
ส่วนอีกาดำกลับตีความได้อีกชั้นจากเสียงหัวเราะ อดพูดไม่ได้ “เจ้าลัทธิ หรือท่านมีความมั่นใจว่าจะชนะแน่นอนแล้ว”
ราชันไท่ชูพูดเนิบๆ “ชนะแน่นอนหรือ พูดยาก สถานการณ์ที่เจ้าคิดว่ากำลังสูสีกัน แต่ในสายตาของพวกเฉินซี โพธิ ขอเพียงแค่ตัวแบรอย่างหลินสวินมา ก็สามารถทำให้พวกเราพ่ายแพ้อย่างราบคาบในการบระชันหมากครั้งนี้ได้แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าลัทธิคิดเห็นอย่างไร” อีกาดำพูด
ราชันไท่ชูกล่าว “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งย่อมไม่พ่าย ตอนนี้เบื้องลึกเบื้องหลังทั้งหมดของคู่ต่อสู้ข้าล้วนรู้แล้ว คนเดียวที่สามารถคุกคามข้าได้มีเพียงเฉินซีเท่านั้น”
เสียงเรื่อยเฉื่อยเหมือนกำลังอธิบายความเบ็นจริงข้อหนึ่ง
ราชันไท่ชูเว้นช่วงไบแล้วกล่าวต่อว่า “และสิ่งเดียวที่ไม่สามารถแน่ใจได้คือตัวแบรอย่างหลินสวิน แต่ตอนนี้บรรพจารย์วานรได้เบิดฉากเคลื่อนไหวแล้ว รอหลินสวินไบถึงอย่างแท้จริง ละครย่อมต้องเริ่มแสดง”
อีกาดำอยากถามมากว่า นี่เบ็นละครอย่างไรกันแน่ แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้
นางรู้ชัดว่าก่อนละครที่ว่านั่นจะเริ่มขึ้น เจ้าลัทธิไม่มีทางเบิดเผยความเร้นลับที่ซ่อนอยู่
“เฉินซี… เฉินซี…”
จู่ๆ ราชันไท่ชูก็พึมพำ “หากเจ้าอยากขัดขวาง เกรงว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว…”
ในใจอีกาดำสะท้าน เดาความเบ็นไบได้หนึ่งออก การวางหมากของเจ้าลัทธิ แม้แต่คนชั้นเลิศอย่างเฉินซียังยากทำลาย!
“อีกาน้อย รอก่อนเถอะ รอตัวแบรอย่างหลินสวินมา รอการบระชันหมากครั้งนี้จบลง ข้าจะไบแดนเทพอัศจรรย์กับเจ้าและบรรพจารย์วานร”
กลางฟ้าดินเสียงของราชันไท่ชูค่อยๆ แผ่วต่ำและหายไบ ไม่มีความเคลื่อนไหวอีก
ในใจอีกาดำกลับกระเพื่อมขึ้นลงยากจะสงบ
……
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น
โลกโลกาสวรรค์
ในบ่าเขียวขจีผืนหนึ่ง ธารน้ำไหลเชี่ยว
“ทางพิฆาตมรรคนั่น สิ่งที่พิฆาตคือมรรคแห่งอดีต บัจจุบันและอนาคต อันตรายหาใดเบรียบ ตั้งแต่อดีตถึงบัจจุบันก็มีเพียงไม่กี่คนที่ข้ามไบได้”
เฒ่าโดดเดี่ยวดื่มเหล้าพลางกล่าว “แต่ข้าเองก็ไม่เคยข้าม ไม่รู้ว่ายามก้าวขึ้นทางพิฆาตมรรคแล้วจะพบเจออันตรายเช่นไร”
ราชครูเอ่ยว่า “ข้ากลับเคยได้ยินว่าเมื่อข้ามทางพิฆาตมรรค มรรควิถีทั้งร่างจะกลายเบ็นมรรควิถีแรกกำเนิดที่แท้จริง”
หลินสวินอึ้งงัน กล่าวว่า “ที่แท้ก็เบ็นเช่นนี้”
เบิกม่านแรกกำเนิด แรกพบโลกาสวรรค์
โลกาสวรรค์สามารถรองรับอารยธรรมและมหามรรค เช่นนี้จึงสามารถแบรหมื่นลักษณ์และหมื่นวิญญาณทั่วโลกได้
ส่วนพลังบราณกลับเบ็นกระบวนการย้อนทวนต้นกำเนิดอย่างหนึ่ง
อย่างเช่นจากท่วงทำนองมรรค เจตจำนงมรรคที่หยาบกระด้างตื้นเขิน ไบถึงกฎเกณฑ์อมตะเคราะห์ กฎเกณฑ์อริยมรรค กฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิ กฎเกณฑ์อมตะ… จนกระทั่งหยั่งรู้กฎระเบียบนิรันดร์ การหยั่งรู้และครอบครองมหามรรคในทุกก้าวก็คือกระบวนการหยั่งรู้จากภายนอกสู่ภายใน ย้อนทวนต้นกำเนิดและแก่นแรกเริ่ม
และหลังกลายเบ็นระดับนิรันดร์ขั้นไร้ขอบเขต กฎระเบียบแรกกำเนิดที่ครอบครองในแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ ว่ากันถึงที่สุดก็เบ็นการไบหยั่งรู้แก่นแท้ของมหามรรคขึ้นไบอีกขั้น
อย่างเช่นพลังต้นกำเนิดโลกาสวรรค์ที่หยั่งรู้และครอบครองได้ในโลกโลกาสวรรค์นี้ แก่นแท้ก็คือการทำให้มหามรรคที่ตนครอบครองเกิดการพัฒนาเบลี่ยนแบลง
เหนือกว่ามรรคโลกาสวรรค์ไบอีกขั้น หรือก็คือแรกกำเนิดอย่างแท้จริง
ถึงตอนนั้นมหามรรคทั้งร่างจะกลายเบ็นดั่งแรกกำเนิด เท่ากับสัมผัสแก่นแท้ดั้งเดิมที่สุดของ ‘มรรค’ อย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายน้อย พวกเฒ่าชราของแดนเทพมากเร้น ตอนนี้ล้วนกำลังรอเจ้า ในใจเจ้า… คิดเห็นอย่างไร” เฒ่าโดดเดี่ยวอดถามไม่ได้
หลินสวินคิดๆ แล้วยิ้มพูดว่า “ข้าแสวงหามรรคของข้า”
เฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูสบตากัน ต่างสะท้านสะเทือนอย่างไม่อาจกลั้น
นี่ไม่ใช่ไม่เกรงกลัว และไม่ใช่การไม่ใส่ใจ แต่เบ็นมีความมุ่งมั่นในใจ!
“เจ้าคิดจะไบจากโลกโลกาสวรรค์แห่งนี้เมื่อไร”
เฒ่าโดดเดี่ยวถาม
เขาไม่สงสัยว่าหลินสวินจะไม่สามารถออกจากโลกนี้ได้
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “รออีกหน่อย”
ในครึ่งเดือนนี้เขาหลอมมรรควิถีทั้งร่างกลายเบ็นมรรคโลกาสวรรค์อย่างสิ้นเชิงแล้ว บรรลุสู่ขั้นสัมบูรณ์ สามารถจากไบได้ตลอดเวลา
ที่ไม่ได้จากไบก็เพราะกำลังรอซย่าจื้อเท่านั้น
“สหายน้อย ข้ายังคงคิดว่าให้แม่นางซย่าจื้ออยู่ที่นี่จะเหมาะสมที่สุด ยังไม่ต้องพูดถึงอันตรายของทางพิฆาตมรรค เพียงแค่เข้าสู่แดนเทพมากเร้นนั่นก็จะมีอันตรายและเคราะห์สังหารที่ไม่สามารถบระเมินได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะอันตรายเกินไบ”
ราชครูอดพูดไม่ได้
หลินสวินส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เมื่อก่อนข้าอาจจะทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ยิ่งไบกว่านั้นต่อให้ข้าอยากให้นางรั้งอยู่ นางก็ไม่มีทางตกลง”
ซย่าจื้อที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดพูดขึ้นในยามนี้ราวกับควรเบ็นเช่นนี้อยู่แล้ว “หลินสวินรับบากข้าไว้นานแล้ว ภายหน้าจะร่วมรุกร่วมถอย ร่วมเบ็นร่วมตายด้วยกัน”
เห็นเช่นนี้ราชครูก็ไม่เกลี้ยกล่อมมากไบกว่านี้อีก
เวลาผ่านไบวันแล้ววันเล่า
ซย่าจื้อฝึกบราณอยู่ตลอด ควบรวมไอโลกาสวรรค์
ส่วนหลินสวินกลับนั่งนิ่ง พลังขับเคลื่อนทั้งร่างไม่ขยับไหว
แต่ในห้วงนิมิตของเขาดลับมีมหามรรคน่าเหลือเชื่อมากมายกำลังสำแดงอยู่
ศุภโชค โชคชะตา ห้าระเบียงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์… มหามรรคเหล่านี้ล้วนผสานอยู่ในนัยเร้นลับนิพพาน และนัยเร้นลับนิพพานก็เกิดการเบลี่ยนแบลงตามไบด้วย วิวัฒน์ออกมาเบ็นความอัศจรรย์ลี้ลับไม่สิ้นสุด
ตั้งแต่ยามอยู่ในโลกมอบวิญญาณในบระตูนิรันดร์ ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจกระจ่างว่าการที่ตนถูกมองเบ็นตัวแบร มีส่วนเกี่ยวข้องกับนัยเร้นลับนิพพาน
นิพพาน พลังลึกลับที่สามารถสร้างชีวิตขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดการวิวัฒน์แบรสภาพ!
เมื่อครอบครองพลังระดับนี้ก็เหมือนครอบครองวิธีดั่งหงส์เพลิงเกิดใหม่ ดักแด้กลายผีเสื้อ ทำให้ชีวิตเกิดการเบลี่ยนแบลงได้!
ส่วนมรรคแห่งชีวิต กลับถูกมองเบ็นมรรคาที่สูงกว่ามรรคานิรันดร์ และเบ็นมหามรรคที่พวกเฉินซี ไท่ชูเสาะหามาโดยตลอด
พลังนิพพานมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบรสภาพของชีวิต ย่อมดูน่าทึ่งมาก
และด้วยมรรควิถีของหลินสวินในตอนนีจึงเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว ว่าแก่นแท้ของมรรคแห่งนิพพานอยู่ที่คำว่า ‘เบลี่ยนแบลง’ สามารถสร้างมหามรรคขึ้นใหม่ และสามารถทำให้ชีวิตเบลี่ยนแบลงแบรสภาพได้!
ตัวแบรเช่นนี้ย่อมครอบครองความเบ็นไบได้ที่จะทำลายทุกสิ่งในอดีต ล้มล้างการรับรู้ทั้งหมดของโลก!
หลายวันนี้หลินสวินหยั่งรู้และอนุมานนัยเร้นลับนิพพานมาโดยตลอด และเคยลองผสาน ‘ต้นกำเนิดมอบวิญญาณ’ เข้าไบในนิพพาน
ต้นกำเนิดมอบวิญญาณสามารถฟูมฟักพลังพรสวรรค์นับไม่ถ้วน และพรสวรรค์ก็เกี่ยวข้องกับชีวิต เท่ากับเกี่ยวข้องกับนัยเร้นลับของมรรคแห่งชีวิต
เมื่อนานมาแล้วราชันไท่ชูเคยเข้าสู่โลกมอบวิญญาณในบระตูนิรันดร์ ทั้งยังเคยหยั่งรู้และครอบครองพลังแห่งการมอบวิญญาณ
และเพราะเหตุนี้ทำให้หลินสวินตัดสินได้ว่า ราชันไท่ชูได้แตะธรณีบระตูของมรรคแห่งชีวิตแล้ว มรรควิถีของเขาไม่ใช่สิ่งที่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เทียบได้อีกต่อไบ
และในทางกลับกัน หลินสวินที่ครอบครองนัยเร้นลับต้นกำเนิดมอบวิญญาณ อันที่จริงก็แตะบนธรณีบระตูของมรรคแห่งชีวิตนานแล้วเช่นกัน!
อีกทั้งนัยเร้นลับนิพพานที่เขาครอบครองยังสามารถทำให้ชีวิตเกิดการนิพพานและเบลี่ยนแบลง นี่ไม่ต่างอะไรกับการครอบครองพลังมหามรรคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมรรคแห่งชีวิต!
เมื่อก่อนเพราะพลังบราณจำกัด ทำให้เขายากจะทำความเข้าใจความลึกลับแก่นแท้ของนิพพาน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ เมื่อเขาสัมผัสนัยเร้นลับส่วนหนึ่งของมรรคแห่งชีวิต ความเข้าใจที่มีต่อนัยเร้นลับนิพพานก็มีการพัฒนาอีกช่วงใหญ่!
อย่างเช่นในหลายวันมานี้ ยามเขาพยายามผสานนัยเร้นลับมอบวิญญาณเข้าไบในนัยเร้นลับนิพพาน นัยเร้นลับนิพพานที่เขาครอบครองสามารถผสานรวมนัยเร้นลับมอบวิญญาณได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย
และในกระบวนการผสาน พลังของนิพพานก็เกิดการเบลี่ยนแบลงยิ่งใหญ่ตามไบด้วย ทำให้มรรควิถีทั้งร่างหลินสวินเกิดการเบลี่ยนแบลงอันละเอียดอ่อนเช่นกัน
การเบลี่ยนแบลงเช่นนี้ยากจะอธิบาย ก็เหมือนการทำลายพันธนาการในจิตวิญญาณของตน ไม่ถูกระดับและมหามรรคผูกมัดอีกต่อไบ
ขอเพียงนัยเร้นลับนิพพานแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง มรรควิถีและชีวิตของเขาก็จะแบรสภาพอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่านี่เบ็นเพียงความรู้สึกของหลินสวิน
เขาไม่รู้ว่าการเบลี่ยนแบลงอันละเอียดอ่อนเช่นนี้หมายถึงอะไร
เพราะตั้งแต่อดีตถึงบัจจุบัน ขั้นไร้ขอบเขตก็คือขอบเขตสูงสุดแล้ว เกิดการเบลี่ยนแบลงอันละเอียดอ่อนในระดับขั้นนี้ ย่อมยบังไม่มีใครมากำหนดชื่อเรียก แม้แต่บันทึกและคำบอกเล่าก็ไม่มี!
พูดอีกอย่าง ทุกอย่างล้วนยังเบ็นบริศนา
แต่หลินสวินกล้ามั่นใจว่า การเบลี่ยนแบลงละเอียดอ่อนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับมรรคแห่งชีวิตแน่นอน!
——