แดนเทพมากเร้น
โลกจำศีล
โพธิขมวดคิ้ว “พ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มหรือ”
ชั่วขณะที่หลินสวินไปถึงแท่นมรรคมากเร้นเขาก็สังเกตเห็นแล้ว กล่าวกับจักจั่นทองพร้อมรอยยิ้มว่าการประชันหมากกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ยามได้ยินคำพูดของบรรพจารย์วานรยังทำให้โพธิประหลาดใจเล็กน้อย
คำพูดนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของบรรพจารย์วานร เบื้องหลังของคำพูดนี้แสดงถึงท่าทีของไท่ชู
ไท่ชูที่ถูกคุมขังใต้โซ่กระบี่เอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าพูดอย่างมาดมั่นว่า ‘ต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย’
จักจั่นทองเอ่ยเสียงอบอุ่น “คำพูดนี้เข้าใจง่ายมาก สำหรับไท่ชู ตั้งแต่ก่อนหลินสวินจะมา ไม่ว่าเจ้าหรือข้า ทั้งต่อให้รวมเฉินซีเฉินหลินคง ล้วนอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย”
โพธิเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “หากพูดถึงพลังปราณ เจ้ากับข้าด้อยกว่าไท่ชูเล็กน้อยจริงๆ แต่ในแดนเทพมากเร้นยังมีพวกชั้นเลิศที่อย่างเฉินซี ในด้านมหามรรคสามารถเทียบไท่ชูได้ แต่คำพูดนี้ของไท่ชูเห็นได้ชัดว่าคิดว่าแม้แต่เฉินซีก็ต้องพ่ายแพ้…”
เขาเดาไม่ออกอยู่บ้าง
ในเมื่อไท่ชูพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ได้เจตนาพูดอวดอ้าง ถึงอย่างไรคนอย่างเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องข่มขู่และวางท่า
ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียว…
ไท่ชูวางหมากไว้นานแล้ว!
และหมากนี้สามารถประชันกับเฉินซีได้ ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!
คิดถึงตรงนี้สีหน้าของโพธิเองก็อดเผยความหนักใจไม่ได้
จักจั่นทองมองโพธิแล้วเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ คอยดูก่อนเถอะ การประชันหมากเพิ่งจะเริ่มขึ้น ไท่ชูและเฉินซีล้วนยังไม่ได้เคลื่อนไหว”
โพธิพยักหน้า
……
“จะต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัย…”
โลกหงหลิง ในกระท่อม เงาร่างหนึ่งผลักประตูเดินออกมา
ใบหน้าราวกับหยก สะพายกระบี่โบราณไว้กลางหลัง
เป็นเฉินซีนั่นเอง!
เขาเอามือไพล่หลัง มองท้องฟ้าไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ไท่ชู ในเมื่อหลินสวินมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหดหัวอยู่ตรงนั้นตลอดแล้ว มรรควิถีโซ่กระบี่ของมือกระบี่ผู้นั้นสามารถกักขังเจ้าได้ชั่วขณะ แต่ไม่สามารถกักขังเจ้าได้ตลอดไป”
เสียงกระต่างชัดดังกังวาน
เวลาเดียวกันในโลกดั่งแรกกำเนิดแห่งนั้น ส่วนลึกใต้ดินเสียงหัวเราะของไทชูดังขึ้น “สหายยุทธ์เฉินเองก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ”
“เหอะ”
เฉินซีหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะรอถึงเมื่อไร”
พูดจบเขาก็กลับเข้ากระท่อมไป
ใต้ดินลึกในโลกดั่งแรกกำเนิดนั่น ไท่ชูอดส่งเสียงทอดถอนใจอย่างพึงพอใจไม่ได้ “บนโลกมีศัตรู มรรคข้าไม่โดดเดี่ยว!”
ไม่ไกลนักอีกาดำที่อยู่บนกิ่งไม้สั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ยามเสียงของเฉินซีดังก้องโลกเมื่อครู่ นางรู้สึกสิ้นหวังปานพังทลาย ลมหายใจติดขัด นั่นคือการกำราบมหามรรคที่แท้จริงอย่างหนึ่ง เหนือกว่าที่นางจะคาดคิดได้!
“อีกาน้อยเห็นหรือยัง นี่ก็คือความองอาจของเฉินซี คำพูดหนึ่งประโยคก็ทำให้เจ้าตกใจขวัญเสียแล้ว” ไท่ชูยิ้ม ถึงกับเบิกบานและยินดี
“เจ้าลัทธิ พวกเขาต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัยจริงหรือ”
ครู่ใหญ่อีกาดำถึงสงบใจถามออกมา
“บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน”
ไท่ชูพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้ารอชมดูละครก็พอ”
อีกาดำเงียบไปแล้ว
……
ตรงหน้าแท่นมรรคมากเร้น
“คำพูดนี้แม้ไม่ใช่การขู่ขวัญ แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการขู่ขวัญ”
หลินสวินที่เดิมทีขมวดคิ้วพลันยิ้มออกมา “เช่นนั้นข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าใต้เท้าเจ้าลัทธิเบื้องหลังนั่น จะทำให้ข้าพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัยอย่างไร”
“เจ้าต้องได้เห็นแน่”
บรรพจารย์วานรพยักหน้า สีหน้ายังคงราบเรียบ ไม่ได้แปลกใจต่อการตอบสนองของหลินสวิน
“ข้าเองก็อยากเห็น”
ตอนนี้เองเสียงหนึ่งดังมาจากไกลๆ
ก็เห็นเงาร่างของเฉินหลินคงมาเยือนกลางอากาศ ด้านหลังเขายังมีบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชูและบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณซวีอิ่น
“สหายน้อยหลิน ไม่เจอกันนาน”
ทันทีที่มาถึงเฉินหลินคงก็โบกมือทักทาย สง่างามอย่างยิ่ง
หลินสวินเองก็ประสานมือจากไกลๆ คำนับเฉินหลินคง หยวนชู ซวีอิ่น จากนั้นชี้พวกบรรพจารย์วานรแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสต้องระวังคนพวกนี้สักหน่อย”
เฉินหลินคงพยักหน้ากล่าว “วางใจเถอะ”
“เฉินหลินคง เจ้าไม่ควรมา” สายตาของบรรพจารย์วานรมองไปยังเฉินหลินคง สีหน้าราบเรียบ “นี่จะเป็นการส่งตัวเองและสองคนข้างหลังเจ้ามาตายเปล่า”
เฉินหลินคงอดขำไม่ได้ กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าอยากเห็นสักหน่อยจริงๆ”
พูดจบเขาให้หยวนชู ซวีอิ่นถอยหลัง จากนั้นบนร่างสูงโปร่งปรากฏเจตกระบี่แรกกำเนิดอันน่าสะพรึงสายหนึ่ง
พริบตานั้นเขาเหมือนกลายเป็นราชันมรรคกระบี่คนหนึ่ง คมกริบไร้ใดเปรียบ!
“บรรพจารย์วานร ข้าอยากวัดสูงต่ำกับเจ้ามานานแล้ว ไม่สู้ตอนนี้เลยเป็นอย่างไร” เฉินหลินคงเอ่ยปาก เสียงเหมือนกระบี่ครวญไร้สิ้นสุดกำลังดังแผ่วโผย
ความองอาจเช่นนี้หายากมาก
‘กลิ่นอายของขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ และมหามรรคทั้งร่างก็บรรลุถึงขอบเขตแรกกำเนิดแล้ว…’ หลินสวินมองท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์บนตัวเฉินหลินคงออกตั้งแต่แวบแรก อดโล่งอกไม่ได้
เฉินหลินคงมีคุณสมบัติไปประชันกับบรรพจารย์วานรแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เจ้าไม่ไหว”
บรรพจารย์วานรส่ายหน้า ไม่มีสีหน้าดูหมิ่น แต่ท่าทางที่ราบเรียบเช่นนั้นกลับเป็นการปฏิเสธเฉินหลินคงยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินหลินคงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร พลันยื่นมือไปคว้า
เพลิงแรกกำเนิดแถบหนึ่งควบรวม กลายเป็นกระบี่มรรคที่ดุจดั่งลุกโชนเล่มหนึ่ง เมื่อเขาดีดนิ้วเสียงชิ้งดังขึ้น กระบี่ครวญราวกับกระแสน้ำดังก้องฟ้าดิน
เจตกระบี่ไร้รูปกลายเป็นคลื่น มองข้ามพันธนาการห้วงมิติ พุ่งแผ่ไปทางพวกบรรพจารย์วานร
สีหน้าของบรรพจารย์วานรยังคงนิ่งสงบ ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ เงาร่างของจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคนกับเทียนอูและซื่อล้วนถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่ด้านหลังเขา
ในเวลาเดียวกันฝ่ามือของเขายื่นออกไป ทำมุทราประทับฝ่ามือกระแทกไปในอากาศ
ตูม!
คลื่นเจตกระบี่ที่ไร้รูประเบิดออกเป็นชั้นๆ
ภาพนี้ทำให้หลินสวินอดเผยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ แน่นอนว่าบรรพจารย์วานรเองก็เป็นขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เช่นกัน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงปรากฏท่วงท่า ‘สัมบูรณ์ไร้บกพร่อง’ หยินหยางผสานไร้ช่องโหว่
ชิ้ง!
เฉินหลินคงกระชับกระบี่พุ่งไปข้างหน้า แทงใส่ห้วงอากาศ แรกกำเนิดปรากฏในความว่างเปล่า กลายเป็นคลื่นฝนกระบี่เพลิงปานธารสวรรค์ไหลหลั่ง ส่องสว่างภูผาธารา เจิดจ้าไร้ขอบเขต
การโจมตีเช่นนี้ขยับเคลื่อนนัยเร้นลับแก่นแท้ของแรกกำเนิดมหามรรค อย่าว่าแต่ขั้นไร้ขอบเขตคนอื่นๆ แม้แต่จอมมรรคไร้ขอบเขตยังยากจะต้านทาน!
ก็เห็นบรรพจารย์วานรแขนเสื้อโบกสะบัด เงาร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาพลันปรากฏกลิ่นอายแรกกำเนิด ราวกับเอกอุที่กลมสมบูรณ์ มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ
จากนั้นบรรพจารย์วานรซัดออกไปหมัดหนึ่ง
ทันใดนั้นเจตกระบี่กับพลังหมัด พลังแห่งมรรคาชั้นเลิศทั้งสองเข้าปะทะกัน ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว หมอกแสงไหลเคลื่อน
หลินสวินสังเกตเห็นว่าฟ้าดินของแดนเทพมากเร้นนี้แข็งแกร่งยิ่ง สามารถรับการโจมตีของพลังมหามรรคระดับนี้ได้
ตูมโคราม… ตูมโครม…
เฉินหลินคงและบรรพจารย์วานรต่อสู้กันอย่างดุเดือด เหมือนนายเหนือหัวสองคนกำลังประลองกัน ทุกครั้งที่ลงมือล้วนชักนำพลังแรกกำเนิด สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกได้ว่าน่ากลัวไร้ขอบเขตออกมา
มองด้วยสายตาของหลินสวินตอนนี้ สามารถมองออกทันทีว่าการต่อสู้เช่นนี้ จอมมรรคไร้ขอบเขตเหล่านั้นไม่สามารถสอดมือได้ หากสอดมือจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะพลังระดับนี้เกี่ยวพันถึงการครอบครองพลังสุดยอดของมรรคานิรันดร์ ทำลายพันธนาการแห่งห้วงมิติและเวลา ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสำแดงถึงจุดสุดยอดของมรรคาแห่งตน
‘จะฉวยโอกาสนี้สังหารคนพวกนั้นก่อนหรือไม่’
ซย่าจื้อพลันสื่อจิต สายตามองไปยังทูตชะตาสวรรค์ทั้งเก้ารวมถึงเทียนอูและซื่อที่อยู่ห่างออกไป
คนเหล่านี้ถ้าเป็นก่อนเข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ ย่อมเป็นพวกที่หลินสวินทำได้เพียงแหงนคอมองอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือซย่าจื้อ บนมรรคาล้วนเหนือกว่าพวกเขาแล้ว ย่อมไม่เห็นพวกเขาในสายตา
‘หากข้าเคลื่อนไหวเกรงว่าจะดึงดูดตัวแปรมามากมาย’
หลินสวินเงยหน้ามองฟ้าดินกว้างใหญ่ห่างออกไป เพราะการขวางกั้นของพลังบนแท่นมรรคมากเร้น ทำให้จิตรับรู้ของเขาถูกจำกัด
แต่เขากลับกล้ามั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นไท่ชู อีกาดำ หรืออาจารย์ของตน จักจั่นทองและเฉินซี ล้วนจับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่!
และทุกการเคลื่อนไหวของตัวแปรอย่างตน ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามองที่สุด หากตนออกจากแท่นมรรคมากเร้น ไม่แน่ว่าจะดึงดูดตัวแปรที่ไม่อาจคาดเดามาด้วย
‘แต่ถ้าเจ้าไม่เคลื่อนไหวตลอดจะทำลายสถานการณ์ได้อย่างไร หรือว่า… ในใจเจ้าไม่มีความมั่นใจไปต้านทานไท่ชู’ ซย่าจื้ออดถามไม่ได้
หลินสวินอึ้งไปก่อน จากนั้นอดยิ้มไม่ได้ ‘เจ้าพูดถูก เพียงแค่ยืนมองอยู่ที่นี่ย่อมมองอะไรไม่ออก กลับยิ่งทำให้ศัตรูเหล่านั้นคิดว่าข้าหลินสวินไม่มีความมั่นใจ…;
ก่อนหน้านี้เขาก็เดาออกแล้ว ว่าในเมื่อทุกคนในแดนเทพมากเร้นล้วนรอตนอยู่ จะต้องวางหมากไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลังจากเขามาถึงจึงไม่ได้บุ่มบ่าม ตัดสินใจดูว่าเพราะการมาของตนเองจะดึงดูดตัวแปรมาเท่าไรกันแน่ และไท่ชูเตรียมวิธีจัดการตนเองไว้มากเท่าไร
แต่ตอนนี้คำพูดของซย่าจื้อกลับทำให้เขาตอบสนอง ตนรอต่อไปก็เท่ากับตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำตลอดไป!
อยากทำลายสถานการณ์นี้ ย่อมต้องก้าวเข้าไปก่อน!
ไม่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าศัตรูมีวิธีและไพ่ตายมากมายแค่ไหน
เมื่อศักยภาพแข็งแกร่งมากพอ จะกลัวตัวแปรและเคราะห์สังหารที่ปรากฏยามทำลายสถานการณ์ได้อย่างไร
“คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นซย่าจื้อที่มองขาดกว่าข้า”
หลินสวิเอ่ยทอดถอนใจ
ซย่าจื้อพูดเสียงเบา “เจ้าเพียงแค่พะวงพวกอาจารย์ของเจ้า ในใจจึงเกิดความกังวลมากมาย แต่ข้าไม่เหมือนกัน ข้าใส่ใจเพียงเจ้า”
บางทีความคิดที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดกลับจี้ถูกจุดสำคัญที่สุด!
“ความกังวลเดียวของข้าในตอนนี้ กลับไม่ใช่มหามรรคและคู่ต่อสู้อะไร”
สายตาของหลินสวินมองไปยังซย่าจื้อ
“เจ้ากังวลว่าในการต่อสู้หลังจากนี้ ตัวแปรที่ปรากฏจะทำให้ข้าโดนลูกหลงไปด้วย จึงตัดสินใจให้ข้าหลบไปก่อน”
ซย่าจื้อเข้าใจทันที รู้ใจกันก็เป็นเช่นนี้
หลินสวินพยักหน้า
ซย่าจื้อไม่ได้ปฏิเสธ กล่าวว่า “ได้”
นางรู้ว่าที่หลินสวินทำเช่นนี้เพราะใส่ใจนาง มองนางเป็นคนที่สำคัญที่สุด นางจะปฏิเสธได้อย่างไร
หลินสวินยิ้มแล้วสะบัดแขนเสื้อ เรียกเรือนิรันดร์ออกมา ซย่าจื้อกลายเป็นเงาแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าไป
หลินสวินเก็บเรือนิรันดร์ ในใจสงบลงอย่างสิ้นเชิง
แดนเทพมากเร้นแห่งนี้เคราะห์สังหารอาจจะน่าสะพรึง เต็มไปด้วยตัวแปรที่คิดไม่ถึงมากมาย
แต่เขาในตอนนี้ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว
ครู่ต่อมาหลินสวินก้าวเท้า พุ่งออกนอกแท่นมรรคมากเร้นไป
พอเขาเคลื่อนไหว จอมมรรคเก้าภาคีไท่ชูอย่างพวกเพ่ยถู ชิงหยางจื่อ รวมถึงเทียนอูและซื่อล้วนสังเกตเห็นในทันที
ขณะเดียวกันหยวนชูและซวีอิ่น เฉินหลินคงและบรรพจารย์วานรที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด รวมถึงพวกโพธิ จักจั่นทอง เฉินซี ไท่ชูที่รออยู่ในแดนลับแตกต่างกันก็สังเกตเห็นเช่นกัน
สายตาทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นล้วนมารวมอยู่ที่เดียวกันเพราะการเคลื่อนไหวนี้ของหลินสวิน!
——