“สหายยุทธ์ เขาเคลื่อนไหวแล้ว”
จักจั่นทองลุกขึ้น เสื้อคลุมโบกสะบัด ในดวงตามีแสงเร้นลับเคลื่อนไหว
“หรือเขายังจะอยู่ในแท่นมรรคมากเร้นไปทั้งชีวิตได้เล่า”
โพธิยิ้มแล้วลุกขึ้นเช่นกัน “เมื่อเคลื่อนไหวจึงเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงจึงราบรื่น จะสำเร็จหรือล้มเหลว อย่างไรก็ต้องสำแดงความสามารถที่แท้จริง”
“ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเฉินซีจะให้เฉินหลินคงลงมือ” จักจั่นทองพูดเสียงเบา
โพธิไม่เอ่ยอะไร
จิตใจของเขาจดจ่ออยู่หน้าแท่นมรรคมากเร้นโดยตลอด
โลกหงหลิง
กระท่อมเงียบสงัดไร้สรเสียง
เฉินซีไม่ได้เคลื่อนไหว แต่เขาจับตามองอยู่ไกลๆ
“เจ้าลัทธิ เขาออกมาแล้ว!”
ชั่วขณะนี้อีกาดำมีความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ถูก ราวกับรอคอยมาไม่รู้นานเท่าไร ในที่สุดก็ได้เห็นภาพตรงหน้า
ใต้ดินลึก ไท่ชูกล่าว “รออีกหน่อย”
รออีกหน่อยหรือ
อีกาดำไม่เข้าใจอยู่บ้าง
……
นอกแท่นมรรคมากเร้น
จอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้าอย่างพวกเพ่ยถู รวมถึงเทียนอูและซื่อต่างขมวดคิ้ว เผยสีหน้าจริงจัง รอคอยอย่างเคร่งขรึม
ในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของพวกเขา ยามหลินสวินอยู่ในโลกโลกาสวรรค์ก็ครอบครองศักยภาพระดับจอมมรรคไร้ขอบเขตแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลินสวินที่ข้ามผ่านทางพิฆาตมรรค มรรควิถีจะพัฒนาไปอีกขั้นแล้วหรือไม่
แทบจะในเวลาเดียวกัน หยวนชูและซวีอิ่นที่อยู่ไกลๆ เตรียมตัวรอท่ากลายๆ พร้อมร่วมมือกับหลินสวิน
ทว่าพริบตาที่ก้าวออกจากแท่นมรรคมากเร้น หลินสวินพลันหันกลับไปมองหยวนชูและซวีอิ่น เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง รอดูละครก็พอ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเงาร่างของเขาก็ออกจากแท่นมรรคมากเร้นแล้ว
พริบตาที่ไร้การปิดกั้นของพลังแท่นมรรคมากเร้น ทำให้กลิ่นอายของหลินสวินเปิดเผยออกมา
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเพ่ยถูขมวดคิ้วคือกลิ่นอายบนร่างกายของหลินสวินราวกับว่างเปล่า ไม่สามารถสัมผัสได้สักนิด
ราวกับไม่ได้ดำรงอยู่ในฟ้าดินนี้ และเหมือนหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินนานแล้ว ฟ้าดินคือเขา เขาก็คือฟ้าดิน!
ยามสังเกตเห็นภาพนี้ในใจพวกเพ่ยถูล้วนสั่นสะท้าน
แม้แต่จอมมรรคไร้ขอบเขตอย่างพวกเขายังไม่สามารถดูออกได้ นี่ไม่ใช่หมายความว่ามรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้เหนือกว่าการรับรู้ของพวกเขาไปไกลแล้วหรือ
ขณะเดียวกันเมื่อไม่มีการปิดกั้นของกลิ่นอายแท่นมรรคมากเร้น จิตรับรู้และจิตใจของหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแดนเทพมากเร้นแห่งนี้อย่างแท้จริง
ฟ้าดินแห่งนี้ขมุกขมัวดั่งแรกกำเนิด ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต!
ในฟ้าดินปานไม่มีที่สิ้นสุดนี้ โลกแดนลับนับไม่ถ้วนส่องสว่าง และในโลกแดนลับสามแห่งในนั้น เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่าง
เขาเข้าใจโดยพลัน เจ้าแห่งคีรีดวงกมลอาจารย์ตนและจักจั่นทองอยู่ในโลกแดนลับเดียวกัน กลิ่นอายของฝ่ายแรกละเอียดอ่อนยิ่งใหญ่ กลิ่นอายของฝ่ายหลังราบเรียบราวกับสายน้ำ
ในโลกแดนลับที่สอง กลับมีกลิ่นอายลึกลับไม่อาจคาดเดาสายหนึ่ง มีวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์และร่องรอยลายเทพแผ่ขยายอยู่ในความว่างเปล่า
นี่จะต้องเป็นโลกแดนลับที่ผู้อาวุโสเฉินซีอยู่อย่างแน่นอน
ในโลกแดนลับที่สามกลับขุ่นมัวดั่งแรกกำเนิด มีกลิ่นอายเย็นเยียบเสียดกระดูกอุบัติ และมีกลิ่นอายคลุมเครือที่แทบจะไม่สามารถสัมผัสได้
ยามสัมผัสกลิ่นอายคลุมเครือสายนั้นได้ ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกคุ้นเคยทันที นี่คือกลิ่นอายของราชันไท่ชูอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเคยพบตั้งแต่ยามอยู่โลกมอบวิญญาณแล้ว
และกลิ่นอายที่เย็นเยียบเสียดกระดูกสายนั้นย่อมมาจากอีกาดำ ผู้ติดตามอันดับหนึ่งใต้อาณัติไท่ชู
แต่ไม่นานหลินสวินก็เก็บการสัมผัสเช่นนี้
เขายืนอยู่กลางอากาศ สายตากวาดมองพวกเพ่ยถูที่รออย่างเคร่งขรึมไกลๆ แล้วเคลื่อนสายตามองโลกแดนลับแห่งหนึ่งไกลๆ เอ่ยว่า “ไท่ชู ข้ามายืนอยู่ในโลกนี้แล้ว เจ้าคงไม่ได้คิดจะให้คนพวกนี้มารนหาที่ตายกระมัง”
เสียงราบเรียบแต่กลับก้องสะท้อนฟ้าดิน
สีหน้าของพวกเพ่ยถู เทียนอู ซื่อทั้งสิบเอ็ดคนแม้จะราบเรียบ แต่ในใจกลับรู้สึกเหลวไหลนัก
เจ้าหลินสวินนี่… ตอนนี้ถึงกับไม่เห็นพวกเขาในสายตาแล้วหรือ
หยวนชูกับซวีอิ่นสบตากัน สีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน
จากที่พวกเขาดู หลินสวินไม่เห็นพวกเพ่ยถูอยู่ในสายตาจริงๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมองข้ามโดยตรง!
โพธิเผยสีหน้าปลาบปลื้ม “ที่แท้เขาก็มีมรรควิถีระดับนี้แล้ว…”
“ก่อนหน้านี้สหายยุทธ์ก็คิดไม่ถึงหรือ”
จักจั่นทองถาม
“ข้าคิดว่าเขาจะยืนอยู่ในขอบเขตปลายยอดของขั้นไร้ขอบเขตเหมือนกับข้า หากอยากสัมผัสมรรคแห่งชีวิตยังต้องการเสาะแสวงในแดนเทพมากเร้น แต่ตอนนี้ดูท่า… เขาก้าวนำข้าไปแล้ว”
คิ้วตาริมฝีปากของโพธิเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากใจ “ก่อนหน้านี้ข้าบอกผู้สืบทอดเหล่านั้นว่าลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าอาจารย์ และหลินสวินในตอนนี้ก็เหนือกว่าอาจารย์แล้ว”
จักจั่นทองเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพูด “เหนือความคาดหมายจริงๆ เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ทำให้ความทุ่มเทของสหายยุทธ์เสียเปล่า”
“ยอดเยี่ยมนัก!”
ในโลกหงหลิง เสียงชื่นชมแฝงความประหลาดใจดังขึ้นในกระท่อม
เหนือความคาดหมายของผู้คน เดิมก็เป็นตัวแปรหนึ่งอยู่แล้ว!
“นี่ก็น่าสนใจแล้ว แต่อย่ารีบไป การประชันหมากเพิ่งจะเริ่มขึ้น สหายน้อยหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักหน่อย ให้เจ้าได้มองแดนเทพมากเร้นนี้ให้ดี”
ตอนนี้เองเสียงของไท่ชูดังก้องในฟ้าดินบริเวณแท่นมรรคมากเร้น เสียงไม่เร่งไม่รีบ พูดสบายๆ ว่า “บรรพจารย์วานร เจ้าพาพวกเขากลับไปเถอะ”
“ขอรับ”
บรรพจารย์วานรที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับเฉินหลินคงพยักหน้าตอบรับ
“อยากไปหรือ ข้าอนุญาตแล้วหรือ”
เฉินหลินคงยิ้มเย็นเยียบ
“หากข้าอยากไป เหตุใดต้องให้เจ้าอนุญาต”
สีหน้าของบรรพจารย์วานรราบเรียบและนิ่งสงบ
ตูม!
ครู่ต่อมาบนร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาของเขา อานุภาพพลันเปลี่ยนไป หมัดเดียวกลับซัดเฉินหลินคงจนถอยไปหลายสิบจั้ง
พรูด!
ยามทรงตัวได้เฉินหลินคงหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง ถึงกับกระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ภาพนี้ทำเอาทุกคนประหลาดใจขึ้นมาทันที
การต่อสู้ที่ดูเหมือนเสมอกันนี้ ชั่วขณะนี้กลับถูกความสามารถอันน่ากลัวที่บรรพจารย์วานรเผยออกมาทำลาย!
แม้แต่หลินสวินก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้
ฟุ่บ!
บรรพจารย์วานรเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศมาแล้ว สะบัดแขนเสื้อหมายจะพาพวกเพ่ยถูจากไปด้วยกัน
หลินสวินรวบนิ้วแทงออกไปทันที
ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันเข้าใส่บรรพจารย์วานรกลางอากาศ!
ยามสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่สั่งสมอยู่ในกระบี่นี้ พวกเพ่ยถูถึงพบอย่างน่าตระหนก ว่าภายในใจพวกเขาถึงกับคิดต่อต้านไม่ได้สักนิด เหลือเพียงแค่ความไร้กำลังและสิ้นหวังอันลึกล้ำ!
กระบี่นี้ฟันไปทางบรรพจารย์วานร…
นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าจินตนาการ ว่าหากกระบี่นี้พุ่งเป้ามาที่ตนจะน่าสะพรึงเพียงใด!
ก็เป็นเวลานี้เองที่พวกเขาเข้าใจในที่สุด ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้หลินสวินจึงมองข้ามพวกเขาเช่นนั้น บนมรรคา หลินสวินทิ้งจอมมรรคไร้ขอบเขตอย่างพวกเขาไว้ด้านหลังไปไกลแล้ว!
ส่วนบรรพจารย์วานรที่สูงใหญ่ราวกับภูเขา เมื่อเผชิญกระบี่นี้ของหลินสวินก็พลันย่อขนาดลงทันที กลายเป็นร่างที่สูงจั้งกว่า แต่กลิ่นอายของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งช่วงใหญ่!
เมื่อหมัดเขากระแทกออกไป ปราณกระบี่นี้ของหลินสวินถึงกับถูกสกัดไว้ จากนั้นระเบิดแหลกไปพร้อมกับพลังหมัดนั่น
ตูม!
เสียงกึกก้องน่าตระหนกดังสะเทือนฟ้าดิน ประกายศักดิ์สิทธิ์ม้วนตัวในฟ้าดินแถบนี้
ส่วนบรรพจารย์วานรฉวยโอกาสครั้งนี้พาพวกเพ่ยถูหายไปกลางอากาศ
ยามหลินสวินจะไล่ตามโจมตีก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
อันที่จริงเขาคิดไม่ถึงว่าบรรพจารย์วานรจะถึงกับสกัดกระบี่นี้ของเขาได้ เป็นผลให้พลาดโอกาสไล่โจมตี
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เมื่อทุกอย่างจบลง พวกหยวนชู ซวีอิ่นซึ่งอยู่ในบริเวณแท่นมรรคมากเร้นตกใจจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว
พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง
แต่เวลานี้ศักยภาพที่บรรพจารย์วานรสำแดงออกมายิ่งทำให้คนตกใจ!
“เจ้าเฒ่านี่ถึงกับซ่อนศักยภาพมากขนาดนี้!”
ห่างออกไปเฉินหลินคงเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก สีหน้าเผยความประหลาดใจ นึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาก็ใจสั่นระลอกหนึ่ง
หากตอนแรกสุดบรรพจารย์วานรใช้พลังทั้งหมดโดยตรง ตนจะยังยืนหยัดถึงตอนนี้ได้หรือไม่
คิดถึงตรงนี้เฉินหลินคงสันหลังเย็นวาบ
“เขาก้าวออกจากขอบเขตปลายสุดของระดับขั้นนี้ สัมผัสนัยเร้นลับของมรรคแห่งชีวิตแล้ว”
ยามนี้หลินสวินกล้าตัดสินพลังปราณที่แท้จริงของบรรพจารย์วานรแล้ว ไม่ใช่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ แต่เหมือนตนที่ก้าวออกจากระดับนี้แล้ว
นี่ทำให้เขาเคร่งขรึมลงอย่างอดไม่ได้ นึกถึงสิ่งที่บรรพจารย์วานรพูดก่อนหน้านี้ การประชันหมากครั้งนี้พวกเขาต้องพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัยตั้งแต่เริ่ม
ดูจากจุดนี้ ศักยภาพที่แท้จริงของบรรพจารย์วานรน่าจะหนึ่งในไพ่ตายของไท่ชู!
“ครั้งนี้กลับเป็นเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าแล้ว”
เฉินหลินคงเดินเข้ามา พินิจหลินสวินทั่วตัว “หากไม่ใช่ว่าเจ้าก็ก้าวออกมาจากระดับนั้นแล้ว เจ้าเฒ่าไท่ชูคงไม่มีทางให้บรรพจารย์วานรถอยทัพแน่”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินสวินที่ข้ามทางพิฆาตมรรคมา มรรควิถีจะไปถึงขั้นนั้นแล้ว
“ผู้อาวุโส ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ดีในการพูดคุยกัน”
หลินสวินยิ้มกล่าว
สถานการณ์ก่อนหน้านี้แม้คลี่คลายไปแล้ว แต่พอนึกถึงพลังที่บรรพจารย์วานรเปิดเผยออกมา ทำให้หลินสวินเองก็ไม่กล้าประมาท ไม่มีใครรู้ว่าไท่ชูยังวางแผนใดไว้อีกหรือไม่
“จะไปพบท่านปู่ของข้าหรือไม่” เฉินหลินคงออกปากเชิญ
หลินสวินคิดๆ แล้วกล่าวว่า “รอข้าไปพบอาจารย์ก่อนค่อยพบผู้อาวุโสเฉินซีดีกว่า”
เฉินหลินคงพยักหน้า จากนั้นเอ่ยอย่างสงสัย “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพวกบรรพจารย์วานรถอยทัพกะทันหันเกินไป แม้มีตัวแปรเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเริ่มต้นอย่างเกรียงไกรจบลงอย่างย่ำแย่”
หลินสวินเอ่ย “หากข้ามีพลังปราณขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ และบรรพจารย์วานรยังไม่เคยสำแดงศักยภาพแท้จริง สถานการณ์นี้คงไม่อาจคลี่คลายง่ายๆ เช่นนี้แน่”
เฉินหลินคงใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วสูดหายใจสะท้านทันที “ไม่ผิด ถึงตอนนั้นแม้ท่านปู่ของข้าลงมือ บรรพจารย์วานรก็จะขัดขวางเต็มกำลัง แม้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านปู่ข้า แต่อย่างน้อยก็สามารถขวางได้ระยะหนึ่ง และด้วยโอกาสนี้เจ้าเฒ่าไท่ชูก็จะสามารถลงมือเล่นงานเจ้าได้ ถึงตอนนั้นแม้โพธิอาจารย์ของเจ้าและจักจั่นทองลงมือพร้อมกันก็คงขัดขวางไท่ชูไม่ได้…”
นี่ไม่ได้เป็นการประฌามว่ามรรควิถีของโพธิและจักจั่นทองอ่อนแอ แต่ในแดนเทพมากเร้น ว่าใครต่างรู้ว่าคนที่สามารถคุกคามไท่ชูได้มีเพียงเฉินซี
หากเฉินซีถูกขัดขวาง ไท่ชูก็จะไร้ศัตรู ไม่อาจขวางได้!
และเป็นเพราะมรรควิถีของหลินสวินไม่ได้อยู่ในขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์เหมือนที่ทุกคนคาดเดา จึงทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้ปรากฏตัวแปร
หลังจากสังเกตเห็นทั้งหมดนี้ ไท่ชูตัดสินใจทันทีให้บรรพจารย์วานรพาคนถอยทัพ
สามารถพูดได้ว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ดูเหมือนจบลงภายในเวลาอันสั้น แต่หากไม่ระวังเพียงน้อยก็จะเป็นภัยร้ายยิ่งใหญ่!
หยวนชูและซวีอิ่นที่อยู่ด้านข้าง ได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินหลินคงก็อดอกสั่นขวัญหนีไม่ได้ หน้าเปลี่ยนสีไป
เป็นความจริงที่ว่าครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะตัวแปรในมรรควิถีของหลินสวิน ไอสังหารที่ซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นี้ก็ร้ายแรงถึงชีวิตแล้ว!
——