เขตผนึกอัศจรรย์เป็นสถานอันตรายและลึกลับที่สุดในแหล่งสถานอัศจรรย์
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีใครกล้ารุกกล้ำเข้าไปในนั้น
รวมถึงเฉินซี ไท่ชู และมือกระบี่ผู้นั้นก็ไม่เคยเข้าไปด้วยเช่นกัน
อย่างไท่ชู แม้จะผ่านการสำรวจและเสาะแสวงมาแสนปี ก็เป็นเพียงการสำรวจในแดนเทพมากเร้นเท่านั้น เขาไม่เคยกล้าล้ำเส้นเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในแดนเทพมากเร้นนี้ ด้วยมรรควิถีของเขาล้วนสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของเขตผนึกอัศจรรย์ได้ชัดแจ้ง แต่ก็รับรู้ถึงเคราะห์สังหารร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน
เข้าไปต้องตาย!!
และด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงได้จำศีลอยู่ในแดนเทพมากเร้นแห่งนี้มาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ทำได้เพียงสัมผัสกลิ่นอายในเขตผนึกอัศจรรย์นั่นผ่านห้วงอากาศ ใช้สิ่งนี้อนุมานและคาดนัยเร้นลับภายในนั้น แต่ไม่กล้ามุ่งหน้าเข้าไปอย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้เมื่อหลินสวินที่บนตัวมีนัยเร้นลับนิพพานมาถึง ทำให้ทุกคนในแดนเทพมากเร้นล้วนตระหนักได้ว่าโอกาสมาเยือนแล้ว
เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้ หลินสวินก็นิ่งเงียบไประลอกหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นหันไปขอคำแนะนำเรื่องนัยเร้นลับนิพพานกับโพธิ
ในเมื่อนัยเร้นลับนิพพานวิเศษอัศจรรย์เช่นนี้ เหตุใดถึงปรากฏใน ‘โลกมืด’ ของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้
มหามรรคระดับนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่กับการเข้าสู่เขตผนึกอัศจรรย์
นี่ก็คือข้อสงสัยภายในใจหลินสวิน
โพธิครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าใช้สภาวะจิตเข้าสู่มรรค บุกเบิกสำนักคีรีดวงกมล วิชาที่สั่งสมล้วนเกี่ยวข้องกับความลับแห่งสภาวะจิต แต่แทบไม่มีใครรู้ว่าปีนั้นข้าเหยียบย่างบนมรรคาได้อย่างไร”
จักจั่นทองที่อยู่ข้างกันอดกล่าวด้วยความแปลกใจไม่ได้ “คราแรกยามสหายยุทธ์เหยียบย่างบนเส้นทางฝึกปราณ หรือยังเคยได้รับมรดกจากอาจารย์ด้วย”
โพธิส่ายหน้ากล่าว “ไม่ถึงขั้นเป็นมรดกอะไร แต่น่าจะถือว่าเป็น ‘วาสนามรรค’ อย่างหนึ่งได้”
กล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาเจือประกายระลึกความหลัง “ก่อนก้าวสู่มรรคา ข้าก็เป็นแค่คนพลาดหวังที่วาดฝันอยากฝึกปราณแต่ไม่สำเร็จคนหนึ่งเท่านั้น เคยแวะเวียนไปยังสถานที่ฝึกปราณหลายแห่ง แต่เพราะคุณสมบัติดักดาน รากฐานด้อยเกินไป จึงถูกคนขับไล่ออกมานอกประตูอยู่บ่อยๆ…”
“ข้าย่อมไม่ยินยอม ตอนนั้นข้าไปที่ต่างๆ มากมาย พยายามเสาะหาสำนักที่ยอมรับข้า ถ่ายทอดวิชาให้ข้า แต่ท้ายที่สุดกระทั่งอายุข้าเกือบร้อยปี อายุถึงวัยเสื่อมสูญก็ยังไม่สมปรารถนา…”
หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้
เขาไม่เคยคิดมาก่อนกว่าก่อนอาจารย์จะก้าวสู่เส้นทางฝึกปราณ ถึงกับยังเคยผ่านประสบการณ์ทุกข์ยากและอาภัพขนาดนี้ด้วย
ก็เห็นโพธิกล่าวต่อ “ต่อมาข้าเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ บวกกับอายุมากร่างกายทรุดโทรม การร่อนเร่ตะลอนหลายปีทำให้เกิดความเสียหายเรื้อรังทั้งตัว จนตกอยู่ในสภาพหลายโรครุมเร้า สุดท้ายก็ล้มคว่ำอยู่กลางภูผาธาราแถบหนึ่ง”
“ในตอนนั้นข้าสังหรณ์ใจว่าความตายใกล้มาเยือน แต่กลับไม่ใส่ใจสักนิด สิ่งเดียวที่ไม่ยินยอมก็คือชั่วชีวิตนี้เที่ยวไล่ตระเวนแสวงมรรค สุดท้ายก็ยังไม่อาจก้าวสู่ประตูบานนี้”
กล่าวถึงตรงนี้โพธิก็ระบายยิ้มบางๆ “และก็เป็นตอนนั้นที่ข้าได้พบวาสนามรรคชิ้นนั้น ลิงน้อยที่เพิ่งตื่นรู้มีสติปัญญาตัวหนึ่งหอบตำราฉบับหนึ่งมาปรากฏตัว ขอคำชี้แนะจากข้าอย่างกระดาก อยากรู้ว่าสิ่งที่เขียนในตำรานั้นคืออะไร”
“ข้าลองอ่านดู ตำรานั่นเสียหายอย่างหนัก เหลือเพียงไม่กี่สิบหน้า เนื้อหาที่เขียนบนนั้นก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ยังดี ตัวหนังสือพวกนั้นข้าล้วนรู้จักหมด จึงอ่านให้เจ้าลิงน้อยตัวนั้นฟังทั้งหมด”
“หลังจากมันฟังจบกลับดีใจสุดขีด นี่ทำให้ข้าแปลกใจมาก เพราะเนื้อหาตัวอักษรเหล่านั้นเสียหายชำรุดไปนานแล้ว ไม่สามารถปะติดปะต่อเนื้อหาที่สมบูรณ์ได้ แต่เจ้าลิงน้อยตัวนี้กลับกระโดดโลดเต้นดีใจเป็นที่สุด ข้าเลยถามเขาว่าเหตุใดถึงดีใจขนาดนี้”
“เจ้าลิงน้อยบอกว่ามันรู้จักคำเหล่านี้ แค่ประโยคเดียวง่ายๆ เช่นนี้กลับทำให้ใจข้าเกิดความสะท้านไหวอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา”
“จากนั้นข้าบอกว่าก่อนจะตาย ข้าสามารถสอนมันอ่านเขียนอักษรได้ เจ้าลิงน้อยดีใจมาก ตั้งแต่วันนั้นมันก็มาหาข้าทุกวัน ช่วยข้าเก็บผลไม้ในเขาและน้ำแร่ภูเขามาประทังความหิว ส่วนข้าก็สอนมันอ่านหนังสือ”
“คิดไม่ถึงว่าหลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ข้าไม่เพียงไม่ตาย อาการบาดเจ็บทั่วตัวกลับดีขึ้นมาด้วย”
“มีวันหนึ่งเจ้าลิงน้อยชี้ไปที่ประโยคสมบูรณ์จุดหนึ่งในตำราเล่มนั้น ถามข้าว่าหมายความว่าอะไร ข้าลองอ่านดู นั่นคือ ‘จิตผ่องเห็นกระจ่าง ล่วงรู้เร้นลับ’ ข้าจึงอธิบายความหมายของประโยคนี้ให้เจ้าลิงน้อยฟัง”
“เจ้าลิงน้อยฟังจบก็ชี้ที่คำว่า ‘จิต’ อีก ถามว่าจะทำให้จิตผ่องใสอย่างไร จังหวะนั้นข้าผงะไป ไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไร”
“และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าเอาแต่ครุ่นคิดว่าจิตคือสิ่งใด”
“ใคร่ครวญอยู่เช่นนั้นสามปีเต็ม ในคืนฝนกระหน่ำฟ้าคะนองคืนหนึ่งข้าก็เข้าใจในที่สุด”
กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าโพธิอดเจือแววใจลอยเสี้ยวหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ “นั่นก็คือการหยั่งรู้อย่างหนึ่ง เหมือนจู่ๆ ก็ได้เปิดประตูกะทันหัน จิตใจของข้ารับรู้ถึงหลักการกลางฟ้าดิน รอยมรรคในหมื่นลักษณ์ภูผาธารา พลังชีวิตในต้นไม้ใบหญ้า… ในตอนนั้นก็เหมือนเปิดประตูใหญ่ที่เชื่อมสู่โลกใหม่เอี่ยม ทำให้ข้าเข้าใจในที่สุดว่ามหามรรคที่เรียกกันคือสิ่งใด”
“นับแต่นั้นข้าเหยียบย่างเส้นทางฝึกปราณ และให้เจ้าลิงน้อยอยู่ข้างกาย เดินทางผ่านธารใหญ่เวิ้งว้าง พบพานหมื่นมรรคทั่วหล้า ถกฌานกับธรรม ถกคัมภีร์กับปราชญ์ ถกมรรคกับมรรค…”
“ต่อมาข้าก็พาเจ้าลิงน้อยมาบุกเบิกสำนักคีรีดวงกมลในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์”
กล่าวถึงตรงนี้โพธิมองไปยังหลินสวิน กล่าวยิ้มๆ “เจ้าลิงน้อยนั่นก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า”
สภาพจิตใจของหลินสวินผุดอารมณ์แปลกประหลาดอันละเอียดอ่อนขึ้นมา
ที่แท้อาจารย์กับศิษย์พี่ใหญ่ก็ผูกวาสนากันเช่นนี้ตั้งแต่ตอนนั้น นี่ช่างเป็น ‘วาสนามรรค’ ที่อัศจรรย์เหนือบรรยายอย่างหนึ่งจริงๆ
จักจั่นทองยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “ไม่ถามหากับผู้คน แต่แจ้งมหามรรคกับใจตน ประสบการณ์ในปีนั้นของสหายยุทธ์ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะปรารถนาได้”
โพธิหัวเราะร่า “ผิดแล้ว ปีนั้นข้าพยายามไปกราบอาจารย์ไม่รู้กี่สำนัก พยายามก้าวสู่มรรคา แต่กลับถูกปฏิเสธซ้ำๆ เดิมคิดว่าต้องตรอมใจตายจากไปเช่นนี้ แต่ไม่เคยคิดว่ายามไม่ตั้งใจกลับไขว่คว้าวาสนามรรคชิ้นนี้มาได้ เพราะเป็นเช่นนี้ถึงได้มีมรรคาที่ข้าเสาะหา”
เขาเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “และในคราแรก หลังจากข้าบุกเบิกคีรีดวงกมล เคยมุ่งหน้าไปสืบค้นในแดนต้นกำเนิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ยลการเปลี่ยนแปลงของห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ใช้พลังแห่งสภาวะจิตไปสัมผัส ถึงรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘นิพพาน’”
“แดนปรินิพพานหรือ”
นัยน์ตาจักจั่นทองเจือแววแปลกไป
“ไม่ เป็นเมล็ดพันธุ์ของมรรคแห่งนิพพาน”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถมองเป็นปลายทางและเส้นทางย้อนกลับดั้งเดิมของหมื่นมรรคทั่วหล้า ทุกครั้งที่ผ่านการสับเปลี่ยนยุคสมัย มรรคทั่วหล้าล้วนไหลสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นพลังต้นกำเนิด มรรคนิพพานนี้ ในตอนนั้นก็เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์ในต้นกำเนิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมล็ดหนึ่งเท่านั้น”
“ข้าอนุมานหลายปี ก็ทำได้เพียงคาดเดาว่าในยุคสมัยนี้มรรคแห่งนิพพานจะปรากฏบนโลก ดังนั้นจึงทิ้งมรรคคาถาหนึ่งบัวเบ่งบานเอาไว้”
หลินสวินกล่าว “แต่เหตุใดในมรรคคาถาที่อาจารย์ทิ้งไว้ กลับบอกว่ามรรคนิพพานเกี่ยวข้องกับหนทางสู่ยอดอมตะเล่า”
โพธิหัวเราะ “ขืนข้าบอกว่ามรรคแห่งนิพพานนี่สุดยอดเกินไปต้องทำให้โกลาหลแน่ หากเป็นเช่นนั้น ถ้าดึงดูดคนอย่างไท่ชูให้แห่กันมาด้วย มีหรือจะถูกเจ้าครอบครองได้”
หลินสวินอึ้งไปก่อนยิ้มอย่างอดไม่ได้เช่นกัน เห็นชัดว่าเข้าใจแล้ว ปีนั้นยามอาจารย์ทิ้งมรรคคาถาบทนี้เอาไว้ ก็จงใจเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้อย่างหนึ่งแล้ว
จักจั่นทองที่อยู่ข้างกันเอ่ยถามว่า “แต่สหายยุทธ์รู้ได้อย่างไรว่ามรรคแห่งนิพพานจะถือกำเนิดในโลกมืดของทางเดินโบราณฟ้าดารา ก่อนหน้านี้นานมาแล้วข้าก็เคยไปที่แห่งนั้นมาเหมือนกัน ไม่เห็นเจอสถานที่พิเศษอะไรสักนิด”
โพธิกล่าว “หากเจ้าเคยเข้าสู่แดนต้นกำเนิดแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเข้าใจพลังต้นกำเนิดของโลกมืดนั่นว่าถือกำเนิดในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ปีนั้นหลังจากข้าตระหนักถึงจุดนี้ ก็อนุมานได้ว่าภายหน้ามรรคแห่งนิพพานนี้จะต้องปรากฏในโลกมืดอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงให้จ้งชิวศิษย์คนรองของข้าปกครองที่นั่น ก็เพื่อรอยามมรรคแห่งนิพพานนี้ปรากฏจะได้ไม่ถูกผู้อื่นแย่งชิงไป”
จักจั่นทองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “ว่ากันถึงที่สุดต้นกำเนิดทั้งหมดต้องสืบย้อนไปถึงแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และในปีนั้นที่สหายยุทธ์บุกเบิกคีรีดวงกมลในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับเป็นการปักต้นหลิวโดยไม่ตั้งใจ ได้ล่วงรู้ความเร้นลับบางส่วนของมรรคแห่งนิพพานนั่นได้ก่อน”
จักจั่นทองเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “เพียงแต่สหายยุทธ์รู้อีกหรือว่าสหายน้อยหลินจะได้ครองศุภโชคชิ้นนี้”
โพธิหัวเราะร่วน “สหายยุทธ์ เจ้าเพี้ยนแล้ว ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องให้ศิษย์คนนี้ของข้าครอบครองศุภโชคชิ้นนี้ให้ได้ จะว่าไปการที่หลินสวินเข้าคีรีดวงกมลของข้าก็เป็นชะตาของตัวเขาเอง หาใช่ข้าจัดแจงล่วงหน้า”
จักจั่นทองครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “นี่เป็นโชคชะตาจริงๆ ฝืนบังคับไม่ได้ ไม่อาจจัดแจง”
และเวลานี้หลินสวินก็เอ่ยถามขึ้น “อาจารย์ ในเมื่อยามนั้นไม่มีคนรู้ถึงนัยเร้นลับของมรรคแห่งนิพพาน เหตุใดในแดนเทพมากเร้นแห่งนี้ ศัตรูพวกนั้นต่างดูมั่นใจว่ามรรคแห่งนิพพานนี้จะเป็นตัวแปรที่จะไม่เคยมีมาก่อน”
ไม่รอโพธิตอบกลับ จักจั่นทองก็ยิ้มกล่าว “ง่ายดายยิ่ง หลังจากสหายน้อยหลินก้าวสู่มรรคาอมตะ การเปลี่ยนแปลงบนตัวเจ้าถูกราชันไท่ชูจับจ้องนานแล้ว”
“แน่นอน นี่ก็เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินในตัวเจ้าด้วย ถึงอย่างไรเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว เรือนิรันดร์พุ่งออกมาจากเขตผนึกอัศจรรย์ และสมบัติชิ้นนี้ก็ถูกลั่วทงเทียนทวดของเจ้าได้ไปครองเมื่อนานมาแล้ว ส่วนเจ้าสืบทอดพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ซ้ำยังมีนัยเร้นลับนิพพานอีก ไม่อยากถูกจับตามองยังยาก”
คราวนี้หลินสวินถึงเข้าใจ เขานึกถึงเหตุการณ์ยามประชันกับรูปจำลองเจตจำนงของไท่ชูภายในประตูนิรันดร์ขึ้นมา
เมื่อรวมกับข้อมูลที่เข้าใจในตอนนี้ ในใจก็กระจ่างอย่างสมบูรณ์
ว่ากันถึงจุดเริ่มต้นก็อยู่ที่เรือนิรันดร์!
มันก็เหมือนแกนหลักของกฎกรรมครั้งหนึ่ง เกี่ยวโยงถึงกฎกรรมที่แตกต่างกันระหว่างไท่ชู จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ ซย่าจื้อ รวมถึงตนด้วย!
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมยามตนอยู่ในโลกมอบวิญญาณ ราชันไท่ชูถึงต้องการให้ตนส่งนัยเร้นลับนิพพาน ซย่าจื้อ เรือนิรันดร์ออกมา
“สหายน้อยหลิน ตอนนี้เจ้ามาถึงแดนเทพมากเร้นแล้ว ย่อมเข้าใจดีว่าผู้บงการหลังม่ายของเคราะห์แห่งยุคก็คือไท่ชู ส่วนเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่ปรากฏยามยุคสมัยสับเปลี่ยน ก็มาจากเขตผนึกอัศจรรย์แห่งนั้น”
จักจั่นทองเอ่ยเสียงเบา “ตามที่พวกเราสันนิษฐาน ไม่ว่าจะเพื่อแสวงหามรรคาหรือเพื่อตัดขาดบุญคุณความแค้นที่ยืดเยื้อมานานครั้งนี้ ไท่ชูจะต้องใช้ทุกวิธีมาเล่นงานเจ้า เพราะเขาต้องการนัยเร้นลับนิพพานบนตัวเจ้า และต้องการชิงเรือนิรันดร์กลับไปด้วย”
หลินสวินสีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้แปลกใจเท่าใด เอ่ยง่ายๆ ว่า “ก่อนมาข้าก็เคยคิดเรื่องพวกนี้มาแล้ว จึงไม่กลัวการต่อสู้กับเขาสักเท่าใด”
โพธิเอ่ยเสียงนุ่ม “อย่ารีบร้อน ถึงการประชันหมากจะเริ่มแล้วแต่ยังไม่ใช่เวลาตัดสินแพ้ชนะอย่างแท้จริง อย่างน้อยไม่ว่าพวกเราหรือไท่ชู ล้วนอยากดูว่าเจ้าที่ครอบครองมรรคแห่งนิพพานจะสามารถหยั่งรู้ความลับจากเขตผนึกอัศจรรย์ได้มากเท่าไร และจะเรียกตัวแปรแบบใดขึ้นมากันแน่”
——