หลินสวินสงบใจรับฟัง ถามกลับเป็นครั้งคราว
เฉินซีก็อธิบายให้ทั้งหมดอย่างใจเย็น
ส่วนนัยเร้นลับที่ตัวเฉินซีสัมผัสได้แต่ยังไม่อาจกลั่นกรองบางอย่าง ก็จะถูกเขาเอามาถกกับหลินสวิน
นี่ทำให้ทั้งสองต่างได้รับผลเก็บเกี่ยว
หลายวันผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้ตัว
จากการถกมรรค ทำให้เฉินซีได้รู้ความรู้เรื่องมหามรรคกับมรรควิถีที่หลินสวินครอบครองในปัจจุบัน ในใจจึงทอดถอนใจไม่หยุด
จนสุดท้ายเฉินซียังไม่อาจไม่เฝ้าคอยยามหลินสวินได้ไปสัมผัสเขตผนึกอัศจรรย์ด้วยตัวเองจริงๆ ว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวเช่นไร
“ผู้อาวุโส ข้าคิดจะกลับโลกจำศีล เริ่มไปสัมผัสนัยเร้นลับของเขตผนึกอัศจรรย์”
วันนี้หลินสวินตัดสินใจ
เฉินซีอึ้งไป จากนั้นก็ยิ้มลางรับปาก เขานำม้วนหยกรูปกระบี่ม้วนหนึ่งออกมามอบให้หลินสวิน “นี่เป็นใจความที่มือกระบี่ผู้นั้นทิ้งไว้ตอนนั้น เนื้อหาในนั้นไม่ต่างกับที่เจ้ากับข้าูดคุยกันในหลายวันนี้เท่าไร แต่เจ้าไปหยั่งรู้ขบคิดเอาเองอีกหน่อย อาจจะอานุมานนัยเร้นลับที่แตกต่างกันบางอย่างออกมาได้”
หลินสวินรับไว้ด้วยสองมือ กุมมือคารวะขอบคุณ
จากนั้นเฉินซีมาส่งหลินสวินออกไปด้วยตัวเอง มองดูเงาร่างหลินสวินหายลับไปในทางออกโลกหงหลิง เขาเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างอดไม่อยู่ จมสู่ภวังค์ความคิด
“ท่านปู่ ทำไมหลินสวินถึงไปแล้ว”
ไกลออกไปเฉินหลินคงรีบร้อนเข้ามา
เฉินซีมองเขาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่บอกว่าห้ามเจ้าออกจากที่ฝึกปราณหรือ”
เฉินหลินคงกระดาก ูดว่า “เห็นหลินสวินจะจากไป ข้าจึงอยากมาทักทายเขา”
“ไปเถอะ”
เฉินซีหันหลังเดินกลับที่ักของตน
“ท่านปู่ ท่านยังไม่บอกเลยว่าทำไมหลินสวินถึงจากไป”
เฉินหลินคงตามเข้ามาถาม “หรือเขาไม่รู้ว่าการหยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์ในโลกหงหลิงแห่งนี้ถึงจะปลอดภัยที่สุด อย่างน้อยทันทีที่เกิดตัวแปรบางอย่างขึ้น ด้วยความสามารถของท่านปู่ก็ช่วยคลี่คลายให้เขาได้”
“เขาอาจจะคิดอีกอย่างกระมัง”
เฉินซีเอ่ย
“คิดอีกอย่างหรือ”
เฉินหลินคงไม่ได้โง่ ใคร่ครวญเล็กน้อยก็ขมวดคิ้ว “นี่เขาระแวงวกเราอยู่หรือ”
“ระแวงหรือ”
เฉินซียิ้มออกมา “ก็ไม่เชิง เจ้าก็อย่าคิดมาก จริงสิ เจ้าว่าโธิ์เป็นคนอย่างไร”
เฉินหลินคงขบคิดครู่หนึ่งแล้วูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นปณิธานหรือความกล้า ล้วนเรียกได้ว่าบเห็นได้น้อยบนโลก แม้แต่ความเชี่ยวชาญด้านมหามรรคของเขายังร้ายกาจกว่าข้า ถ้าไม่ใช่ว่าเขาทิ้งรูปจำลองวิชามรรคไว้ในระเบียบมรรควัฏจักรสมัยอยู่โลกแปรปุถุชน ความสำเร็จของเขาย่อมไม่หยุดอยู่เียงเท่านั้นแน่”
อคิดถึงตรงนี้ในใจเขาก็ทอดถอนใจไปครู่หนึ่ง
ตอนนั้นโธิ์เข้าสู่โลกแปรปุถุชน เดิมมีโอกาสทิ้งรูปจำลองวิชามรรคของเขาไว้เหนือระเบียบมรรควัฏจักร
เช่นนี้ยามผ่านโลกเก้าชั้นในแดนเทสรรวิญญาณ สิ่งที่ได้รับจะไม่ใช่ผลมรรคแรกกำเนิด แต่เป็นบ่อเกิดแรกกำเนิด!
หากเป็นเช่นนี้ ด้วยความสามารถและสติปัญญาของโธิ์ เกรงว่าเมื่อมาถึงแดนเทมากเร้นแห่งนี้ก็มีโอกาสก้าวออกจากขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แล้ว
แต่โธิ์ในตอนนั้นกลับไม่ได้ทำเช่นนี้!
มาจนตอนนี้เฉินหลินคงถึงเข้าใจ ที่โธิ์ทิ้งรูปจำลองวิชามรรคไว้ในระเบียบมรรควัฏจักร ก็เื่อทำให้ศิษย์อย่างหลินสวินสมปรารถนา
เป็นอาจารย์เียงวันเดียว ดั่งเป็นบิดาทั้งชีวิต
โธิ์เคยกล่าวไว้ ตั้งแต่หลินสวินเข้าคีรีดวงกมลเมื่อยังเยาว์จนฝึกปราณถึงตอนนี้ ไม่เคยได้รับการชี้แนะหรือถ่ายทอดวิชาจากเขาเลย
อาจเป็นเราะเหตุนี้ จึงทำให้เขาติดค้างในใจ ถึงได้ทิ้งรูปจำลองวิชามรรคไว้ในระเบียบมรรควัฏจักรที่โลกแปรปุถุชน เื่อ ‘ถ่ายทอดวิชา’ ให้หลินสวินในอีกรูปแบบหนึ่งกระมัง
แต่ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินจะนึกถึงจุดนี้หรือไม่ ทั้งจะรับรู้ได้หรือไม่ว่าความทุ่มเทและค่าตอบแทนที่โธิ์เสียไป… มากมายเียงไหน!
ก็ในตอนที่เฉินหลินคงความคิดล่องลอย เสียงของเฉินซีก็ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจักจั่นทองล่ะเป็นคนอย่างไร”
“จักจั่นทองหรือ”
เฉินหลินคงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “คนผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง ตั้งแต่ข้าได้รู้จักเขาจนตอนนี้ ไม่เคยเห็นว่าเขาจะทำอะไรด้วยกำลังทั้งหมดจริงๆ สักเรื่อง คล้ายไม่ว่าเรื่องใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดที่ข้ามักจะสงสัยว่ามรรควิถีของเขาแข็งแกร่งปานไหนกันแน่”
ขณะูด เขาก็ยิ้มให้ “โธิ์เคยูดว่าจักจั่นทองมรรคสูงล้ำฟ้า ในความคิดของข้า จักจั่นทองคือมรรคไม่อาจหยั่งถึงต่างหาก”
“จักจั่นทองที่ท่องไปในยุคต่างๆ ตัวหนึ่ง กลับได้รับคำชื่นชมจากเจ้ากับโธิ์ขนาดนี้ คิดดูก็เป็นผู้มากสามารถคนหนึ่ง”
เฉินซียักหน้าเอ่ย “แต่น่าเสียดาย หลังจากเขาเข้าสู่แดนเทมากเร้นก็เก็บตัวในโลกจำศีลมาตลอด ถึงขนาดที่จนตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยบเขาสักครั้ง”
เฉินหลินคงส่ายหัวเอ่ย “จะโทษก็ได้แต่โทษจักจั่นทอง ข้าเคยเชิญเขามาเยือนโลกหงหลิงหลายครั้งแล้ว แต่ถูกเขาปฏิเสธตลอด”
เฉินซีเอ่ย “บนมหามรรคใครไม่มีนิสัยประหลาดบ้างเล่า ช่างเถอะ ไมู่ดถึงเขาแล้ว”
เขาหันกลับไปมองเฉินหลินคง “เจ้ายังตามข้ามาทำไม ไปฝึกปราณไป!”
เฉินหลินคงร้องเอ้อ เอ่ยว่า “ท่านปู่ หลินสวินกำลังจะไปหยั่งรู้นัยเร้นลับเขตผนึกอัศจรรย์นั่น การประลองหมากครั้งนี้ก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ข้าจะมีกะจิตกะใจไปฝึกปราณได้อย่างไร”
เฉินซีส่ายหัว ไม่ไดู้ดอะไรอีก หันหลังเดินเข้าไปในกระท่อมของตน
ส่วนเฉินหลินคงยิ้มคล้ายยกภูเขาออกจากอก
……
ระหว่างทางที่หลินสวินกลับมาโลกจำศีล จู่ๆ ก็มีเสียงของไท่ชูดังมาจากโลกหม่นมัว “สหายยุทธ์ จากความเห็นของเจ้า ระหว่างข้ากับเฉินซี การหยั่งรู้เขตผนึกอัศจรรย์ของผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน”
“เจ้าชอบเอาชนะขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินสวินยิ้มหยัน
“ไม่ เดิมทีข้าแค่อยากรู้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์เช่นไรจากปากเจ้า”
ไท่ชูหัวเราะหึๆ ูด “แต่ตอนนี้กลับไม่อยากรู้แล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มองเฉินซีเป็นมิตร ในใจย่อมคิดว่าเฉินซีแข็งแกร่งกว่าข้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมต้องถามคำถามนี้อีก”
หลินสวินเลิกคิ้วูด
“นิสัยเก่าแก้ไม่หาย อดไม่ได้ก็เท่านั้น ฮ่าๆๆ”
กลางฟ้าดินเสียงหัวเราะของไท่ชูเบิกบาน กระทั่งักใหญ่จึงค่อยๆ เงียบลง
หลินสวินส่ายหัว หมุนตัวเดินเข้าไปในโลกจำศีล
“การเดินทางคราวนี้ได้ผลเก็บเกี่ยวอย่างไรบ้าง”
โธิ์กับจักจั่นทองต่างมาต้อนรับทันที
“ได้ประโยชน์มากล้น”
หลินสวินเอ่ย “อาจารย์ ข้าคิดว่าตั้งแต่วันนี้จะปิดด่านสักัก จากนั้นเริ่มหยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์”
“ดี” โธิ์ยักหน้า
“สหายน้อย อย่ารีบร้อนเกินไป ปล่อยไปตามใจก็อ” จักจั่นทองกำชับเสียงอ่อนโยน
หลินสวินยักหน้า
หลินสวินจึงเริ่มปิดด่านในโลกจำศีลตั้งแต่วันนี้
เขานั่งอยู่ริมผาแห่งหนึ่ง นึกถึงสิ่งละอันันละน้อยตั้งแต่ฝึกปราณเมื่อครั้งยังเยาว์จนตอนนี้ สงบใจจัดระเบียบมหามรรคที่ได้มาในอดีต
การต่อสู้ ความทรมาน ความสุขเศร้าบรากครั้งแล้วครั้งเล่าต่างปรากฏขึ้นในใจหลินสวินทั้งหมด ถูกเขาคว้าจับนัยเร้นลับที่อยู่ในนั้น อนุมานกฎกรรม สรุปรวบยอดสิ่งที่ได้จากสิ่งเหล่านี้
นี่เป็นการทำความเข้าใจและตกตะกอนมรรคาของตนด้วยการสะสางอดีต
หนึ่งเดือนผ่านไป
หลินสวินทำการสะสางอีกครั้ง
เียงแต่คราวนี้เขาใช้มรรคาของแต่ละระดับเป็นแนวทาง ุ่งเป้าสรุปสภาวะจิต จิตวิญญาณ กายมรรค เจตจำนง
การสรุปแต่ละครั้งทำให้เขาสัมผัสถึงเส้นทางเสาะแสวงที่ผ่านมาในอดีตในแบบที่แตกต่างออกไป
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ริมหน้าผา เงาร่างหลินสวินที่นั่งนิ่งไม่ขยับแม้สักนิดราวกับศิลาตั้งมั่นก้อนหนึ่ง กลิ่นอายทั้งร่างเงียบสงัดลงโดยสิ้นเชิง คล้ายหายลับไปจากฟ้าดินแห่งนี้
กระทั่งวันหนึ่งจู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น จากนั้นเงาร่างที่ค้างนิ่งไร้เสียงก็ปรากฏท่วงทำนองมรรคลึกลับบอกไม่ถูกเิ่มขึ้นมา
กลิ่นอายแรกกำเนิดที่ปกคลุมอยู่กลางฟ้าดินขมุกขมัวแห่งนี้ยังเหมือนถูกย้อมด้วยสีสันแห่งลังชีวิตอันสดใส
ทั้งโลกจำศีลมีลังลี้ลับสายหนึ่งไหวเคลื่อน ไปรวมตัวที่หลินสวินเียงคนเดียว แซ่ซ้องด้วยความยินดีปรีดาอยู่รอบตัวเขา หมื่นลักษณ์ภูผาธารายังสั่น้อง เกิดจังหวะิสดารตามลมหายใจของหลินสวิน
แต่บนตัวหลินสวินกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งกลิ่นอายใด ไม่สามารถสัมผัสลังใดได้ แม้แต่อานุภาสักนิดยังไม่มี
เขาในตอนนี้เป็นดั่งไอแรกกำเนิดกลุ่มหนึ่ง ไม่อาจบรรยายถึงลักษณะ ไม่อาจอธิบายได้
โธิ์กับจักจั่นทองซึ่งอยู่ในโลกนี้ต่างตกตะลึงกับปรากฏการณ์ประหลาดที่ ‘เร้นลับ’ เช่นนี้ทันที ต่างสบตากันแล้วมองดูหลินสวินที่อยู่ริมผาไกลออก
“ไอแรกกำเนิดของเขาว่างเปล่าไร้สิ่งใด…” จักจั่นทองึมำ สีหน้าเผยประกายยากอธิบาย เอ่ยทอดถอนใจว่า “มรรควิถีของสหายน้อยหลินทำให้ผู้อื่นมองไม่ออกโดยสมบูรณ์แล้ว…”
‘มีผู้สืบทอดเช่นนี้ ข้าโธิ์รู้สึกเป็นเกียรติปานใด’
ในใจโธิ์เปี่ยมไปด้วยความปรีดา
“อาจารย์ ผู้อาวุโสจักจั่นทอง”
ที่ริมผาหลินสวินลุกขึ้น สายตามองมาไกลๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ต่อไปข้าจะไปหยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์นั้น ในช่วงนี้ข้าหวังว่าต่อให้เกิดการประลองหมากตัดสินเป็นตาย วกท่านก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้า”
โธิ์ยักหน้าร้อมรอยยิ้ม “ดี”
จักจั่นทองกุมมือให้จากไกลๆ
จากนั้นหลินสวินก็เงยมองไปยังเวิ้งฟ้า ร่างกายเขาว่างเปล่า แต่จิตวิญญาณเขาเหมือนรุ้งเททะยานฟ้าสายหนึ่ง ุ่งทะลุเมฆา โฉบออกจากโลกจำศีล ทะลวงผ่านไอแรกกำเนิดเป็นชั้นๆ ของแดนเทมากเร้นไปสู่ส่วนลึกอันไร้ที่สิ้นสุด…
โลกหม่นมัว
เสียงโซ่กระทบกันรุนแรงระลอกหนึ่งลันดังขึ้นในส่วนลึกใต้ดิน
ไท่ชูส่งเสียงหัวเราะอย่างตั้งตาคอย “ในที่สุดก็จะมาแล้ว ข้าอยากเห็นนักว่าเขตผนึกอัศจรรย์นี่จะเปลี่ยนแปลงเช่นไรเราะการมาถึงของตัวแปรนี้…”
อีกาดำที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้แห้งเียงลำังยังจิตใจไหวหวั่นอย่างอดไม่ได้ เอ่ยึมำว่า “ในที่สุดก็จะตัดสินแ้ชนะแล้ว ข้ารอมาเนิ่นนานเกินไปแล้ว…”
ไม่ไกลนักบรรจารย์วานรที่นั่งขัดสมาธิกับื้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองออกไปไกล สีหน้ามีแต่ความเฉยชา มีเียงส่วนลึกในดวงตาที่มีเปลวเลิงไหวเคลื่อน
เขาดึงกระบี่คู่ที่สะายอยู่ข้างหลังมา สองมือรวบเข้าหากัน
ชิ้ง!
กระบี่มรรคดำเล่มขาวเล่มถึงกับรวมเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นกระบี่มรรคที่มีสีแห่งแรกกำเนิดเล่มหนึ่ง
‘เฉินซี เจ้ารู้ไหมว่าข้าก็รอคอยวันนี้มานานแล้วเหมือนกัน…’
บรรจารย์วานรคิดในใจ
โลกหงหลิง
เฉินหลินคงเงยหน้าขึ้นทันที เอ่ยว่า “ท่านปู่ เริ่มแล้ว!”
เสียงกระจ่างชัดของเฉินซีดังออกมาจากในกระท่อม “เวลาตัดสินแ้ชนะมาถึงแล้วจริงๆ แต่… ก็เิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ดูต่อไปก่อน”
เสียงสงบนิ่งก็เจือแววตั้งตาคอยรางๆ
เวลานี้ต่อให้เป็นบรรจารย์ของสี่หอบรรจารย์อย่างหยวนชู ซวีอิ่น เทียนอูและซื่อ หรือจอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้าของเก้าภาคีไท่ชูต่างก็รู้สึกได้ ล้วนสะท้านไปทั้งตัว รับรู้ได้ว่าเวลานี้การประลองหมากครั้งนี้เข้าสู่ช่วงเวลาที่กำลังจะชี้ขาดแล้ว!
——