ครึ่งปี หนึ่งปี สามปี ห้าปี แปดปี…
ใครก็คิดไม่ถึงว่าการหยั่งรู้ของหลินสวินคราวนี้จะดำเนินมานานขนาดนี้ มิหนำซ้ำกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีวี่แววจะจบลงด้วย
ต่อให้แต่ละคนต่างมีความอดทนมากพอ แต่ภาพอันผิดปกตินี้กลับยังทำให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่างกันไปมากมาย
แต่ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดอะไร
แต่ละคนต่างเลือกรอคอยต่อไป
กระทั่งสิบปีผ่านไป
บนริมผาโลกจำศีล จู่ๆ หลินสวินที่นิ่งเป็นรูปปั้นมานานสิบปีก็เอ่ยขึ้นทันที “อาจารย์ ผู้อาวุโสจักจั่นทอง ได้แล้ว”
ไกลออกไปโพธิ์กับจักจั่นทองต่างสะท้านในใจ จากนั้นสีหน้าต่างมีประกายประหลาดผุดออกมา ในที่สุดตอนนี้หลินสวินก็ตื่นขึ้นมาแล้ว!
“ที่ว่าได้นี่หมายความว่าอะไร”
โพธิ์ฝืนเก็บกลั้นความรู้สึกในใจเอาไว้ ยิ้มถาม
“สิ่งที่ควรหยั่งรู้ได้ก็หยั่งรู้หมดแล้ว ก็คงไม่สามารถให้พวกไท่ชูรอนาน”
หลินสวินยิ้มเอ่ย
ดวงตาจักจั่นทองฉายประกาย “จะไปตัดสินแพ้ชนะกับเขาหรือ”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ”
หลินสวินพยักหน้า
โพธิ์กลับนิ่วหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะจัดการไท่ชูได้หรือ”
หลินสวินยิ้ม “ไม่ขนาดนั้น แค่ถ้ายังร่ำไรอีก ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตัดสินแพ้ชนะเหมือนเดิม ไม่จำเป็นต้องรอหรอก”
เขาดูผ่อนคลายและนิ่งสงบนัก
“สหายน้อยหลิน หรือตอนที่เจ้าหยั่งรู้นัยเร้นลับของเขตผนึกอัศจรรย์ มหามรรคของเจ้าทะลวงไปอีกก้าวด้วย” จักจั่นทองเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่ถึงกับทะลวง เพียงแค่มีความรู้เรื่องมรรคแห่งชีวิตใหม่ทั้งหมด เช่นนี้แล้วจึงสืบหาที่ที่ต้นกำเนิดมรรคาสายนี้อยู่ได้ ภายหน้าก็จะมีทางไปเสาะแสวงมรรคานี้ในเขตผนึกอัศจรรย์นั้นอีกขั้นหนึ่งได้”
หลินสวินเอ่ยเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าจักจั่นทองตื่นตะลึงนัก อึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วปรบมือชื่นชม “ถ้าข้าเดาไม่ผิด สหายน้อยมีผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ได้ต้องเกี่ยวกับพลังนิพพานใช่หรือไม่”
หลินสวินยิ้มพลางพยักหน้า “ผู้อาวุโสตาแหลมคม พลังนิพพานเกี่ยวข้องกับมรรคแห่งชีวิตอย่างมากจริงๆ”
เขาเว้นช่วงก่อนเอ่ยต่อว่า “รอสะสางความแค้นกับไท่ชูแล้ว ข้าย่อมมาสนทนากับผู้อาวุโสดีๆ สักหน่อย”
จักจั่นทองเอ่ยอย่างเบิกบาน “ประเสริฐ”
“ที่เจ้ายืนกรานไปประลองหมากครั้งสุดท้ายในวันนี้ หรือยังมีเหตุผลอื่นอีก” โพธิ์กลับพูดขึ้นกะทันหัน
หลินสวินนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้า
โพธิ์ไม่ถามต่ออีก พูดขึ้นทันทีว่า “ออกเดินทางเมื่อไร”
“ตอนนี้”
ขณะพูดหลินสวินก็ก้าวขึ้นมาบนฟ้าสูง เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ผู้อาวุโสจักจั่นทอง อีกเดี๋ยวถ้าข้ากับไท่ชูประลองกัน ท่านทั้งสองอย่าเพิ่งยื่นมือเข้ามา คนผู้นี้ต้องมีไพ่ตายในมืออีกแน่ มิหนำซ้ำเขาก้าวลงบนธรณีประตูของมรรคแห่งชีวิตแล้ว มรรควิถีลึกล้ำสุดหยั่ง ให้ข้าไปจัดการเขาคนเดียวก็พอ”
ในใจโพธิ์เกิดความรู้สึกทอดถอนใจอย่างบอกไม่ถูก
ศิษย์คนนี้ของตนเติบโตจนถึงขั้นดูแลอาจารย์อย่างเขาได้แล้ว!
ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากเห็นมาตลอดหรือ
“วางใจ พวกเราไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวเล่นหรอก”
จักจั่นทองยิ้มออกมา
ทั้งสามทะยานออกไปนอกโลกจำศีลทันที
……
กลางฟ้าดินของแดนเทพมากเร้น หมอกแรกกำเนิดเป็นชั้นๆ มีโลกแดนลับปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน
พริบตาที่เงาร่างหลินสวิน โพธิ์ และจักจั่นทองออกมาจากโลกจำศีลนั้นก็ถูกรับรู้ทันที
“สหายน้อยหลิน เดินทางมาคราวนี้ต้องการทำเช่นไร”
ณ ส่วนลึกใต้ดินโลกหม่นมัวมีเสียงไท่ชูดังมา ประหนึ่งอสนีบาตสายหนึ่ง ดังกึกก้องในแดนเทพมากเร้น ผ่านโลกหม่นมัวออกมา สะเทือนจนฟ้าดินสั่นไหว
“ตัดสินแพ้ชนะเป็นอย่างไร”
หลินสวินเอ่ย
ไท่ชูนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็พลันหัวเราะลั่น “ข้ารอเวลานี้มานานไปแล้ว ควรเป็นเช่นนี้!”
ครืน… ครืน…
ใต้ดินลึกเสียงโซ่กระแทกดังขึ้น จากนั้นเงาร่างผอมสูงร่างหนึ่งก็เหยียบย่างฟ้าสูงออกมา เขาสวมชุดดำทั้งตัว ผมดำลงมาปรกหลัง เงาร่างสูงโปร่งผ่าเผยเป็นอย่างยิ่ง
บนตัวเขากลับปกคลุมด้วยโซ่มหามรรคชั้นหนึ่ง มีคลื่นเจตกระบี่น่าหวาดผวาไหววูบอยู่
ทั้งโลกหม่นมัวยังสั่นคลอนขึ้นมาทันที หมอกแรกกำเนิดถาโถม ภูผาธาราไร้สิ้นสุดยังพังถล่มกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อน
อานุภาพเช่นนั้นแกร่งกล้าเกินไป ประหนึ่งนายเหนือหัวผู้หนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศหลังจากผ่านไปหมื่นกาล ไม่สนใจจะปกปิดกลิ่นอายของตัวเองสักนิด
บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นอีกาดำสยายปีก แปลงร่างเป็นเด็กสาวกระโปรงดำผู้หนึ่ง ใบหน้าวิจิตรงามล้ำเย็นชา ดวงตาทั้งสองแดงฉานพร่างพราว
“เจ้าลัทธิ!”
อีกาดำตื่นเต้นนัก เอื้อนเอ่ยวาจานับหมื่นพัน ท้ายที่สุดกลายเป็นเสียงกู่ร้องนั้นเสียงเดียว
ชิ้ง!
บรรพจารย์วานรที่นั่งขัดสมาธิลุกขึ้น เงาร่างสูงใหญ่ดุจภูผาเปลี่ยนเป็นสูงจั้งกว่า กลิ่นอายทั้งร่างค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเหมือนภูเขาไฟที่บีบอัดมาไม่รู้กี่เดือนปีปะทุออก!
และกระบี่มรรคที่อยู่ในอ้อมแขนเขาเล่มนั้นคล้ายข่มไอสังหารไม่อยู่ เกิดเสียงกระบี่ดังกังวานทะลวงถึงนอกชั้นเมฆ
บรรพจารย์วานรสีหน้ายังเรียบเฉยสงบนิ่งดังเก่า แต่ในส่วนลึกของดวงตานั้นกลับมีความแค้นไหวเคลื่อนอยู่ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว!
ครู่ต่อมาเงาร่างของไท่ชู อีกาดำ และบรรพจารย์วานรก็หายไปกลางอากาศ ไปจากโลกหม่นมัว
……
“ท่านปู่ ได้เวลาตัดสินแพ้ชนะแล้ว!”
ในโลกหงหลิง เฉินหลินคงเหยียดตัว ดวงตาเปล่งประกายดุจกระบี่ “รอนานขนาดนี้ ในที่สุดก็จะสู้สักที”
ในกระท่อม เงาร่างสูงโปร่งของเฉินซีเดินออกมา ชำเลืองมองเฉินหลินคงแล้วเอ่ยว่า “ไม่กลัวตายหรือ”
“ไม่ใช่ยังมีท่านปู่อยู่หรือ”
เฉินหลินคงหัวเราะเอ่ย
เฉินซีพยักหน้าพูดว่า “เจ้าวางใจ ถ้าเจ้าตายไปข้าจะช่วยเจ้ากลับมาจากวัฏจักร เพียงแต่ถึงตอนนั้นเจ้าก็ต้องฝึกมรรคาใหม่ ตรองเอาเองก็แล้วกัน”
ขณะพูดก็เดินช้าๆ ออกไปนอกโลกหงหลิง
เฉินหลินคงมุมปากกระตุกครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ลังเล ตามไปอย่างลิงโลด
……
กลางฟ้าดินแดนเทพมากเร้น
เมื่อเงาร่างของไท่ชู บรรพจารย์วานร และอีกดำปรากฏ กลิ่นอายหนาวยะเยือกอึดอัดก็ตลบออกมาด้วย ฟ้าดินเงียบสงัด หมื่นลักษณ์ไร้เสียง
“สหายน้อยหลิน”
ไกลออกไปไท่ชูกุมมือคารวะยิ้มละไมให้จากไกลๆ สายโซ่ทั้งตัวเขากลับดูบาดตายิ่ง
บรรพจารย์วานรกับอีกาดำยืนขนาบข้างกายเขา ทอดสายตามองมาอย่างเย็นชา
ยามเห็นภาพนี้จากไกลๆ หลินสวินก็เลิกคิ้วนิดๆ กุมมือคารวะเล็กน้อย เอ่ยว่า “ดูท่าสหายยุทธ์จะดีใจกว่าข้าเสียอีก...”
“มรรคข้ามีศัตรู โชคดียิ่งนัก”
ไท่ชูยิ้มเอ่ย
สายตาเขาจ้องแต่หลินสวิน เมินโพธิ์กับจักจั่นทองโดยตรง
“ถ้าเจ้าแพ้แล้วก็จะจบที่กายสิ้นมรรคสลายนะ”
ไกลออกไปเฉินซีก้าวเข้ามา เฉินหลินคงตามติดอยู่ข้างหลัง
“สหายยุทธ์พูดถูก ต่อให้ข้าสามารถแปลงกายนับหมื่นพัน ทิ้งพลังชีวิตไว้สักสายหนึ่งได้ก็จะไม่ทำเช่นนี้ในตอนนี้เด็ดขาด ถึงอย่างไรถ้าทำเช่นนี้แล้วกลับดูเหมือนข้าไท่ชูมีความกังวล”
ไท่ชูมองเฉินซีปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ถ้าในใจมีความกังวล เช่นนั้นจะยังได้รับชัยชนะในการประลองหมากครั้งนี้ได้อย่างไร”
เฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อย พูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า “ถ้อยคำนี้มิลวงหลอก ยิ่งเป็นการต่อสู้มหามรรคเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจทิ้งทางรอดใดๆ ไว้ให้ตัวเอง หากเป็นเช่นนี้ ในแง่สภาวะจิตก็แพ้ไปแล้วขั้นหนึ่ง”
“พูดแบบนี้สหายยุทธ์ก็ตัดทางหนีของตัวเองทิ้งไปแล้วหรือ”
ไท่ชูยิ้มถาม
“นี่ย่อมแน่อยู่แล้ว”
ขณะพูดเฉินซีก็หยุดอยู่กลางอากาศ จากนั้นสายตากวาดมองทุกคนในที่นั้น ยามสายตาหยุดลงที่ร่างบรรพจารย์วานรก็ชะงักเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
ครู่ต่อมาเขาก็เอ่ยปากคล้ายทอดถอนใจ “เป็นเฒ่าชราอย่างเจ้าตามคาด”
คล้ายว่ามองทะลุตัวตนและที่มาของบรรพจารย์วานรได้นานแล้ว
“ถ้าขนาดเรื่องนี้เจ้ายังคาดเดาไม่ได้ ก็ไม่สมกับที่ถูกข้ามองเป็นศัตรูชั่วชีวิตแล้ว”
บรรพจารย์วานรในตอนนี้สีหน้าเฉยชาเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายทั้งร่างไม่ปกปิดสักนิด แม้ยืนอยู่ข้างกายไท่ชู แต่อานุภาพเช่นนั้นกลับถึงขั้นไม่ด้อยกว่าสักนิด
“ผู้อาวุโสรู้จักคนผู้นี้อยู่ก่อนหรือ”
หลินสวินถามอย่างประหลาดใจ
ตอนนี้พวกไท่ชูกลายเป็นฝ่ายหนึ่งขวางทางพวกหลินสวินอยู่ ส่วนเฉินซีกับเฉินหลินคงยืนอยู่ไกลออกไปอีกฝั่ง
มองจากไกลๆ พวกเขาก็เหมือนกองกำลังสามฝ่าย ยืนเป็นรูปอักษรผิ่น (品)
เพียงแต่ไม่ว่าใครต่างรู้ว่าเฉินซีกับหลินสวินอยู่ฝ่ายเดียวกัน
“ย่อมรู้จัก”
เฉินซีเอ่ย “คนผู้นี้ก็คือเจ้าลัทธิสูงสุด เมื่อนานมาแล้วเคยถูกข้ากำราบไว้ในวัฏจักรชั่วนิรันดร์ อยู่ไม่ได้ ตายไม่สามารถ ได้แต่รับความทรมานในวัฏจักรไร้สิ้นสุด เพียงแต่ก่อนที่เขาจะเผยศักยภาพของตัวเองออกมา ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับหลุดพ้นจากวัฏจักร กลายเป็น ‘บรรพจารย์วานร’ ตรงหน้านี้”
“เขาก็คือเจ้าลัทธิสูงสุดหรือ!”
เฉินหลินคงตกตะลึง
เขาเคยได้ยินบิดาเขาเฉินอันกับผู้อาวุโสคนอื่นพูดถึงเรื่องเจ้าลัทธิสูงสุดตั้งแต่เขายังเด็ก จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดที่ปู่ของตนเคยพบเจอ ก็คือเจ้าลัทธิสูงสุดผู้นี้
หลินสวินเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้เช่นกัน ยามเขามาหาเฉินซีคราวก่อนได้ฟังเฉินหลินคงเล่าเรื่องเจ้าลัทธิสูงสุดพอดี จึงได้รู้ว่าคนผู้นี้ใช้การไร้อารมณ์เข้าสู่มรรค น่ากลัวเป็นที่สุด
แต่กระทั่งเขายังคิดไม่ถึงว่าบรรพจารย์วานรข้างกายไท่ชูจะถึงกับเป็น ‘เจ้าลัทธิสูงสุด’ ศัตรูตัวฉกาจของเฉินซี!
“อย่างนี้นี่เอง”
และตอนนี้ร่างอรชรของอีกาดำสั่นสะท้าน แววตาซับซ้อน ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าข้ารับใช้อาวุโสที่ติดตามข้างกายเจ้าลัทธิมาก่อนตนเป็นใครกันแน่
แต่กลับพบว่าบรรพจารย์วานรสีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งดังเก่า เอ่ยว่า “เฉินซี ในที่สุดคราวนี้จะได้จบเรื่องระหว่างเจ้ากับข้าลงเสียที!”
เฉินซีหัวเราะเอ่ย “สามารถกำราบเจ้าได้ครั้งหนึ่ง ก็สามารถกำราบเจ้าได้นับครั้งไม่ถ้วน คนที่เคยแพ้ไยต้องอวดตัวด้วย”
แววแค้นเหี้ยมเกรียมวาบขึ้นในส่วนลึกของดวงตาบรรพจารย์วานร จากนั้นก็กลับมาสงบนิ่งทันที เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ลองดู”
ไท่ชูหัวเราะเอ่ย “ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อน สำหรับพวกเราแล้ว การประลองหมากครั้งนี้ย่อมต้องจบเรื่องทั้งหมด แต่ก่อนประลองหมาก ข้าอยากพูดคุยกับสหายน้อยหลินเสียหน่อย”
ขณะพูดสายตาเขาก็มองไปยังหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปแล้ว เอ่ยว่า “สหายน้อย ถือโอกาสนี้มาสนทนาเรื่องแก่นอัศจรรย์ที่เจ้าหยั่งถึงในเขตผนึกอัศจรรย์นั้นกับข้าได้หรือไม่”
หากเป็นสหายขอร้องเช่นนี้ย่อมไม่ดูผิดแปลก
แต่ไท่ชูรู้ทั้งรู้ว่าเป็นศัตรูกัน กลับเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ออกมา ดูกะทันหันนัก
ที่ยิ่งทำให้ทุกคนคิดไม่ถึงก็คือหลินสวินยิ้มออกมา ถึงกับตอบรับอย่างเบิกบานใจ “ทำไมจะไม่ได้ ว่ากันถึงที่สุด ที่ข้าหยั่งรู้นัยเร้นลับได้มากมายเช่นนั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากสหายยุทธ์เช่นกัน ตอนนี้ในเมื่อข้าได้รับมาก็ย่อมบอกสหายยุทธ์อย่างหมดเปลือก”
บัดนี้เฉินหลินคงกับอีกาดำที่ยืนอยู่คนละฝั่งต่างมองหลินสวินอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ เห็นชัดว่าคล้ายรู้สึกแปลกอยู่บ้าง
แต่ไม่ว่าจะเป็นเฉินซี ไท่ชู หรือบรรพจารย์วานรต่างสีหน้าเป็นปกติ คล้ายไม่มีใครรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลก
โพธิ์เห็นภาพอันชอบกลยิ่งนี้ทั้งหมดแล้วลอบเอ่ยในใจอย่างอดไม่อยู่ ถ้าว่ากันด้วยนิสัยใจคอ เฉินหลินคงกับอีกาดำผู้นี้ก็ด้อยกว่าเล็กน้อยแล้ว…
เขาชำเลืองมองจักจั่นทองอย่างอดไม่ได้
กลับพบว่าจักจั่นทองสำรวมดังเดิม สงบสุขุม
——