ไท่ชูหัวเราะหึๆ มองหลินสวินปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “หวังได้ยินโดยละเอียด”
หลินสวินชี้ออกไปไกลแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนัยเร้นลับที่ก่อนหน้านี้สหายยุทธ์หยั่งถึง เขตผนึกอัศจรรย์แห่งนี้ก็คือต้นกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์ ภายในนั้นเคยมีมรรคแห่งชีวิตที่สมบูรณ์สายหนึ่งอยู่”
“เคยมีหรือ” ไท่ชูนิ่วหน้า “หรือตอนนี้ไม่มีแล้ว”
ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่นั่นเช่นกัน
หลินสวินเอ่ย “ก็มีอยู่ แต่เป็นเพียงมรรคแห่งชีวิตที่ถูกบดขยี้”
ต่อมาเขาก็เล่าเรื่องต้นชีวิตอัศจรรย์ที่ได้เห็นในแหล่งสถานอัศจรรย์ต้นนั้นออกมาตามตรง ไม่ได้ปกปิด
ขณะฟังทุกคนในที่นั้นต่างจิตใจสั่นไหว
“เคราะห์เดียวถึงกับทำลายมรรคแห่งชีวิต ดูท่าเคราะห์ด่านนี้จะไม่ได้เป็นของยุคแรกกำเนิดนี้สินะ…” เฉินซีถอนใจเบาๆ
เขาเข้าใจยามนี้เช่นกันว่าพลังวัฏจักรที่เขาครอบครองเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมรรคแห่งชีวิตเท่านั้น ส่วนสมบัติอย่างลายธารนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นจากต้นชีวิตอัศจรรย์ต้นนั้น
“สหานยุทธ์ครอบครองพลังนิพพาน จะไม่ใช่หมายความว่าสามารถฟื้นฟูต้นชีวิตอัศจรรย์ต้นนั้นได้หรือ เช่นนี้มรรคแห่งชีวิตที่เสียหายไม่สมบูรณ์นั้นก็สร้างขึ้นใหม่ได้ใช่หรือไม่”
และเวลานี้เอง ไท่ชูตระหนักถึงบางอย่าง มองมายังหลินสวิน
“ไม่ผิด”
หลินสวินไม่ได้ปกปิด ดูเปิดเผยยยิ่งยวด
“อย่างนี้นี่เอง…”
ไท่ชูทอดถอนใจ “นัยเร้นลับนิพพานนี้เป็นตัวแปรที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างหนึ่งดังคาด แต่คิดไม่ถึงว่าประโยชน์อัศจรรย์ของมันจะน่าเหลือเชื่อปานนี้”
เขาจมสู่ภวังค์ คล้ายครุ่นคิดและอนุมานอะไรอยู่
‘ท่านปู่ ทำไมหลินสวินถึงพูดความลับเช่นนี้ออกมา’
เฉินหลินคงสื่อจิตถามอย่างอดไม่อยู่ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดหลินสวินถึงใจกว้างขนาดนี้ ไม่ปกปิดสักนิด
‘ยามตัดสินเป็นตาย เมื่อเจ้าคิดปกปิดหรือเก็บงำจากศัตรู บางคราวอาจหมายถึงว่าในใจเจ้าเกิดความกังวล’
‘ก็อย่างที่ไท่ชูพูดไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาไม่มีทางทิ้งทางรอดไว้ให้ตัวเองเป็นอันขาด จากจุดนี้สภาวะจิตจึงมีความเด็ดเดี่ยวว่าต้องชนะ เป็นเพียงการประชันด้านสภาวะจิตอย่างหนึ่ง’
เฉินซีสื่อจิตอธิบายอย่างใจเย็น ‘ที่หลินสวินไม่ได้ปิดบัง หนึ่งเพราะไท่ชูเคยมอบม้วนหยกให้ สุดท้ายแม้ว่าข้าจะเป็นคนเก็บม้วนหยกนั้นไว้ แต่หลินสวินก็ได้หยั่งรู้จากม้วนหยกของไท่ชู นี่เท่ากับรับน้ำใจเอาไว้กลายๆ’
‘ทันทีที่ตัดสินเป็นตาย ถ้าเดิมทีหลินสวินตั้งใจว่าจะสังหารอีกฝ่าย ก็ต้องได้รับผลกระทบจากน้ำใจนี้ เขาจะคิดถึงการมอบวิธีตายอันมีเกียรติให้อีกฝ่าย จะไตร่ตรองหลายเรื่องมากขึ้น เช่นนั้นความคิดที่จะสังหารอีกฝ่ายก็จะไม่แน่วแน่หมดจดอีกต่อไป’
‘แทนที่จะเป็นแบบนี้ จึงควรตัดผลกระทบนั้นไป เพื่อไม่ให้มีความคิดฟุ้งซ่านใดๆ มารบกวนยามต้องสังหารคู่ต่อสู้’
‘สอง เป็นเพราะหลินสวินไม่มีความกังวลใดๆ และในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ลงมือก็จะไม่เกิดช่องโหว่แต่อย่างใด’
พูดถึงตรงนี้เฉินซีก็เอ่ยขึ้นว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าต่อให้ไท่ชูได้รู้ความเร้นลับพวกนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรการประลองหมากครั้งนี้ก็ต้องตัดสินแพ้ชนะอยู่ดี”
เขาบอกเล่าความเป็นไปของเรื่องนี้อย่างละเอียดราวกับดึงเส้นไหมจากรังไหม จึงทำให้เฉินหลินคงเข้าใจ และตระหนักได้ว่าในแง่สภาวะจิตตนยังด้อยกว่าเล็กน้อย!
อาจเป็นเพราะความด้อยกว่านี้ จึงทำให้จนตอนนี้เขายังไม่อาจก้าวออกจากขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ได้…
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการประชันในแง่สภาวะจิต เป็นเพราะไท่ชูกับหลินสวินต่างไม่มีความกังวล ไม่มีความหวั่นกลัว พวกเขาจึงพูดคุยกันเช่นนี้ได้ ดูคล้ายสหายเก่ากำลังถกมรรค ความจริงแล้วทันทีที่ลงมือพวกเขาต่างจะลงมืออย่างเด็ดขาดและไร้ปรานี”
เมื่อเฉินซีกล่าวออกมาเช่นนี้ เฉินหลินคงก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ท่านปู่เล่า”
“เจ้าว่าอย่างไร”
เฉินซีย้อนถาม
เฉินหลินคงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เขาพอจะเข้าใจแล้ว ถึงเวลาตัดสินแพ้ชนะ ท่านปู่ยังใจเย็นพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับตนได้ สภาวะจิตเช่นนี้จะธรรมดาได้หรือ
“คิดไม่ออก คิดไม่ออกจริงๆ”
ไท่ชูที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดพลันถอนใจเบาๆ “ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ไปที่เขตผนึกอัศจรรย์นั้นเองสักครั้งย่อมดีกว่า เช่นนี้ถึงจะเข้าใจความเร้นลับในนั้นได้”
ขณะพูดสายตาเขามองไปยังหลินสวินอีกครั้ง “และหากอยากหาทางไปเขตผนึกอัศจรรย์ เกรงว่าจะมีแต่พลังนิพพานถึงทำได้”
“ไม่ผิด”
หลินสวินพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยพลางมองไปไกลๆ “อีกเดี๋ยวซย่าจื้อก็จะกลับมาจากเขตผนึกอัศจรรย์ สำหรับทุกคนแล้วตอนนั้นจะเป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุด ก็ตัดสินแพ้ชนะในตอนนั้นเป็นอย่างไร”
ไท่ชูอึ้งไป คล้ายตระหนักได้โดยพลัน กล่าวว่า “นางอาศัยเรือนิรันดร์เข้าไปในนั้นหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “เรือนิรันดร์แปลงมาจากใบไม้ใบหนึ่งที่ควบรวมขึ้นจากต้นชีวิตอัศจรรย์ ดังว่าใบร่วงคืนสู่ราก ยามสมบัตินี้พาซย่าจื้อมาถึงหน้าต้นชีวิตอัศจรรย์นั้นก็หายลับไป และตอนนี้นางกำลังอาศัยพลังของต้นชีวิตอัศจรรย์เดินทางกลับมาแดนเทพมากเร้น”
ไท่ชูยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าพูดเช่นนี้หากข้าจับแม่นางซย่าจื้อผู้นี้ได้ จะขุ่มขู่เจ้าได้หรือไม่”
หลินสวินยิ้มเช่นกัน เอ่ยว่า “นั่นก็ต้องดูว่าเจ้าทำเช่นนั้นได้หรือไม่แล้ว”
สนทนาถึงตอนนี้ไท่ชูก็แหงนหน้าหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ “เยี่ยมยอด สหายยุทธ์เฉินซี บนมรรคาของพวกเรามีสหายน้อยหลินเพิ่มมาอีกคนแล้ว น่ายินดีปานไหน!”
เสียงมีความปรีดาอย่างอธิบายไม่ถูก
ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เริ่มปรากฏตัวจนพูดคุยกับหลินสวิน ความจริงแล้วเขาสัมผัสสภาวะจิตของหลินสวินและสังเกตการตอบสนองของหลินสวินอยู่ตลอด
กระทั่งหลินสวินเล่าเรื่องซย่าจื้อออกมา ไท่ชูถึงรู้ในที่สุดว่าในด้านสภาวะจิต หลินสวินที่อยู่ตรงข้ามกันไม่ด้อยไปกว่าตนแล้ว!
และเพราะมีสภาวะจิตเช่นนี้อยู่ ก็พิสูจน์แล้วว่าต่อให้เผชิญหน้ากับตน หลินสวินก็มีจิตตั้งมั่นในชัยชนะไม่มีเปลี่ยนแปลง!
มีความมั่นใจภายใต้ท่าทีเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ ถึงได้ไร้กังวลอย่างแท้จริง
เฉินซีเอ่ยเนิบๆ “การประลองเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากเห็นหรือ อีกอย่าง เจ้าไม่คิดว่าโซ่กระบี่ที่อยู่บนร่างเจ้าเกะกะลูกตาหรือ”
ไท่ชูชี้โซ่กระบี่บนตัว เอ่ยว่า “สหายยุทธ์ เจ้ายึดติดกับรูปลักษณ์แล้ว ในใจข้าโซ่กระบี่นี้ไม่มีอยู่นานแล้ว”
เฉินซีนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย
“แน่นอน เจ้ากล่าวไม่ผิด ถูกพันธนาการไว้บนร่างเช่นนี้ขัดตาจริงๆ กลับจะถูกคนอื่นมองว่าข้าไท่ชูจงใจปิดบังมรรควิถีของตัวเอง”
ไท่ชูพูดพลางใช้มือกระชากครั้งหนึ่ง
โซ่กระบี่เส้นนั้นพลันสะบั้นลงทุกกระเบียด สลายหายไปทันใด
คนไม่น้อยสะท้านในใจ แววตาเปลี่ยนไปแล้ว
โซ่กระบี่นี้แปลงมาจากมรรควิถีทั้งชีวิตของมือกระบี่ผู้นั้น เขากำราบไท่ชูไว้ในโลกหม่นมัวด้วยสิ่งนี้ยามกลับชาติไปเกิดใหม่
แต่ใครจะคิดว่าตอนนี้ไท่ชูถึงกับทำลายโซ่กระบี่ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
นี่หมายความว่ามรรควิถีของเขาในตอนนี้ แข็งแกร่งกว่ามรรควิถีที่มือกระบี่ผู้นั้นมีในตอนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
จุดนี้ไม่ว่าใครล้วนดูออก
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเฉินซีหรือหลินสวินต่างก็ไม่แปลกใจ
ถ้าตอนนี้ไท่ชูยังถูกโซ่กระบี่พันธนาการ เขาจะกล้าตัดสินแพ้ชนะในตอนนี้ได้อย่างไร
ก็พบว่าไท่ชูเหยียดร่างตรง พูดเองเออเอง “ไม่อาจไม่พูดว่าเช่นนี้สบายขึ้นมากจริงๆ แต่น่าเสียดาย ถ้าภายหน้าอยากพูดคุยกับมือกระบี่นั่นก็จะไม่มีของที่ระลึกไปฝากแล้ว…”
“ถ้าเขาอยู่ มีแต่จะเอากระบี่มาฟันเจ้าอย่างไร้ปรานีเหมือนปีนั้น” เฉินซียิ้มอย่างอดไม่อยู่
ไท่ชูก็ยิ้มเช่นกัน เอ่ยว่า “นี่ก็จริง”
จากนั้นสายตาเขามองไปยังหลินสวิน กล่าวว่า “สหายน้อย ยังต้องรอถึงเมื่อไร”
“ตอนนี้ก็ได้”
สายตาหลินสวินมองออกไปไกลๆ
เสียงเขายังไม่ทันเงียบลง ในส่วนลึกของไอหมอกแรกกำเนิดขุ่นมัวไกลลิบนั้นปรากฏวังวนอากาศเล็กละเอียดระลอกหนึ่ง มีเงาร่างสูงเพรียวอรชรร่างหนึ่งเดินออกมาจากเขตผนึกอัศจรรย์นั้น กำลังจะมาถึงแดนเทพมากเร้น
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสังเกตเห็นภาพนี้ทันที และบรรยากาศที่นั่นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้นในตอนนี้
ไอหนาวยะเยือกไร้สิ้นสุดไหวเคลื่อนท่ามกลางความเงียบสงัด ฟ้าดิน ภูผาธารา หมื่นลักษณ์… ต่างคืนสู่ความสงบนิ่งอันอึดอัดหาใดเทียบ
ไท่ชูไม่ได้หันกลับไปมอง สายตาเขาจับจ้องหลินสวินอยู่ตลอด ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ตัวข้าขวางอยู่ที่นี่ หมายจะประชันสูงต่ำกับสหายน้อยสักครั้ง”
หลินสวินเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เป็นดังที่เจ้าปรารถนา”
เฉินซีชี้ไปที่อีกาดำซึ่งอยู่ไกลออกไป พูดกับเฉินหลินคงว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าไปเล่นกับนางหน่อย”
เฉินหลินคงพยักหน้า
แววเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพริศพริ้งงามล้ำนั้นของอีกาดำ ชุดดำทั้งตัวโบกพลิ้วทั้งที่ไม่มีลม เผยให้เห็นขาขาวเปล่งปลั่งท่อนหนึ่ง
บรรพจารย์วานรกอดกระบี่หมุนตัว มองเฉินซีจากไกลๆ ในดวงตาเฉยชาไร้อารมณ์มีไอสังหารพริบไหวอยู่
“สหายยุทธ์ พวกเราคอยดูก่อน อย่าทำให้สหายน้อยหลินเสียสมาธิ”
จักจั่นทองเอ่ยเสียงอบอุ่น
โพธิ์มองดูสถานการณ์ในนั้นแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี”
ชิ้ง!
เสียงกระบี่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง บรรพจารย์วานรชิงเคลื่อนไหวก่อนแล้ว เขาถือกระบี่ก้าวมาข้างหน้า เงาร่างคล้ายกลายเป็นห้วงอากาศดำมืดไร้สิ้นสุด ไอแรกกำเนิดแปลงเป็นรูปลักษณ์ยอดเอกอุ ชักนำเจตกระบี่ลึกลับให้ไหวเคลื่อน
ตัวเขาก็เหมือนยุคมหามรรคยุคหนึ่ง ไอแรกกำเนิดวิวัฒน์ยอดเอกอุ ดึงพลังของห้วงอากาศดำมืดมาเป็นเจตกระบี่ ประหนึ่งนายเหนือหัวผู้ผงาดเหนือนิรันดร์
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ “ไยต้องรีบร้อนหาที่ตายด้วย”
บรรพจารย์วานรไม่พูดจา แทงหนึ่งกระบี่ออกมา
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นพลังทั้งปวงอย่างแรกกำเนิด ยุคสมัย ความมืดมิด ก็เหมือนควบรวมอยู่ที่กระบี่นี้ เหนือกว่ามรรคและวิชาในความหมายทั่วไป ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่พลังของมรรคานิรันดร์จะเทียบติด!
ไม่ต้องสงสัย กระบี่นี้หลุดพ้นจากมรรคานิรันดร์ก้าวไปสู่มรรคาที่สูงกว่าแล้ว นั่นเป็นพลังของมรรคแห่งชีวิต เร้นลับถึงขีดสุด
ยามเงาร่างสูงโปร่งของเฉินซีขยับ ก็ปรากฏสายธารอักขระอันลึกลับสุดหยั่งสายหนึ่ง วิวัฒน์เป็นหมื่นมรรคทั่วหล้า หมื่นลักษณ์โลกา ยุคสมัยนับพัน
ในสายธารอักขระนั้นยิ่งมีวัฏจักรเคลื่อนคล้อยอยู่!
ตูม!
เมื่อเฉินซีซัดหมัดหนึ่งออกมา ฟ้าดินแถบนั้นพลันหม่นมัวเหมือนตกอยู่ในวันสิ้นโลก วัฏจักรหกวิถีราวกับสะท้อนทับซ้อนกัน หมายจะทำลายพระเทพทั่วหล้าให้สิ้นซาก
ยามหมัดและกระบี่ปะทะกัน ราวกับยอดมหามรรคสองชนิดกำลังปะทะ ปรากฏการณ์ประหลาดน่าครั่นคร้ามอุบัติขึ้น ทั้งฟ้าดินพังถล่ม ยุคสมัยจ่อมจม หมื่นโลกมลายหาย ทั้งแดนเทพมากเร้นต่างสั่นสะเทือนรุนแรง
ครั้นมองดูเฉินซีกับบรรพจารย์วานรอีกครั้ง ก็เหมือนนายเหนือหัวสองคนก้าวเหนือนิรันดร์ เปิดศึกมรรคอันดุเดือดหาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่ง!
น่าสะท้านขวัญเหมือนเมื่อครั้งเฉินซีกับเจ้าลัทธิสูงสุดต่อสู้กันในตอนนั้น เพียงแต่ทั้งสองคนในตอนนี้ล้วนไม่อาจเทียบกับตอนนั้นได้แล้ว
——