เมื่อมหามรรคเหนือกว่าระดับนิรันดร์ วิธีและอานุภาพยามประชันกันก็ไม่ใช่วิชามรรคในความหมายทั่วไปแล้ว
การประชันเช่นนี้ สิ่งที่ประชันคือความสูงต่ำในมรรคาแต่ละคน สิ่งที่สำแดงออกมาระหว่างประชัน คือการครอบครองนัยเร้นลับมหามรรคของแต่ละคน
สภาวะจิต เจตจำนง และสติปัญญา ล้วนผสานอยู่ในทุกรายละเอียดของการต่อสู้
ในสายตาของทุกคนกลับเป็นอีกภาพหนึ่ง
เมื่อมหามรรคไร้เทียมทานสองสายปะทะชิงชัยอย่างดุเดือดกลางไอแรกกำเนิด ในกระแสมหามรรคที่ซัดขึ้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณสิ้นหวังได้
แม้จะอยู่ในสายตาของขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์อย่างพวกเฉินหลินคง อีกาดำ การประชันมรรคเช่นนี้ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของโลก มีความน่ากลัวซ่อนอยู่!
ยามจิตใจของพวกเขาสัมผัส ยังพบเจอการโจมตีและผลกระทบอย่างไม่อาจเลี่ยง
แน่นอนว่าพวกเขาไม่โง่ถึงขั้นไปสังเกตและพิสูจน์ เช่นนี้มีแต่จะทำให้มรรคาของพวกเขาถูกโจมตีรุนแรง!
ตูม โครม…
การต่อสู้ของเฉินซีและบรรพจารย์วานรน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างของทั้งสองพุ่งทะลวงส่วนลึกของเวิ้งฟ้าแรกกำเนิดขุ่นมัวเป็นชั้นๆ นั้น ทำให้พื้นที่ตรงนั้นปรากฏภาพฟ้าร้องฟ้าลั่น ด่านเคราะห์พาดขวาง หมื่นมรรคถล่มทลายทุกแห่งหน
“การต่อสู้ครั้งนี้คงไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในเวลาสั้นๆ”
ไท่ชูหรี่ตาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา
“บรรพจารย์วานรต้องตาย”
หลินสวินพูดง่ายๆ
การคาดเดาสองแบบ ไท่ชูมองว่าไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่หลินสวินมองว่าบรรพจารย์วานรต้องตาย ก็สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะจิตที่แตกต่างกันของทั้งสองแล้ว
ไท่ชูอดยิ้มไม่ได้ “บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สหายน้อยชี้ชัดเช่นนี้ได้อย่างไร”
“แม้ตอนนี้มรรคาของบรรพจารย์วานรไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ในใจเขามีเพียงแพ้ชนะและเป็นตาย”
หลินสวินกล่าวเรียบเรื่อยๆ “ถึงอย่างไรเขาก็เคยพ่ายแพ้ให้ผู้อาวุโสเฉินซี เคยถูกกำราบในวัฏจักร สิ่งที่เขาปรารถนาคือเอาชนะผู้อาวุโสเฉินซี ชำระแค้นในอดีต แต่ในใจผู้อาวุโสเฉินซี การต่อสู้ครั้งนี้ที่ประชันกันคือความสูงต่ำ เทียบว่าใครไปได้ไกลกว่า”
เจขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “บรรพจารย์วานรยึดติดแพ้ชนะ ถูกจำกัดด้วยความเป็นความตาย ส่วนผู้อาวุโสเฉินซีกลับยึดในมรรคา สนใจความสูงต่ำและยาวไกล ทั้งสองเทียบกันแล้ว อย่างไรบรรพจารย์วานรก็ด้อยกว่าเล็กน้อย บางทีคงเพราะความทรมานในวัฏจักรนิรันดร์กลายเป็นพันธนาการในใจเขา”
แววตาไท่ชูวับวาว ส่ายหน้าพูด “ผู้ยึดติดจึงจะสำเร็จ ข้ากับเจ้ามีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน”
หลินสวินพูดเรื่อยเฉื่อย “ปกติ ต่างมีหนทางของตนเอง มีความยึดถือของตนเอง นี่ก็คือเหตุผลของการต่อสู้มหามรรค จะตัดสินสูงต่ำ มีเพียงเผยความสามารถอย่างแท้จริง”
“ไม่ผิด ไม่ว่าการต่อสู้ใดสุดท้ายก็ต้องตัดสินสูงต่ำด้วยหมัด หลักเหตุผลที่ธรรมดาที่สุดจึงจะเป็นเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไม่ยอม เช่นนั้นก็จะซัดจนเจ้าจำยอม”
ไท่ชูหัวเราะฮ่าๆ
“อีกาดำ มาสู้กัน!”
จู่ๆ เฉินหลินคงที่อยู่ห่างออกไปแววตาราวกับสายฟ้า มองอีกาดำจากไกลๆ พลังขับเคลื่อนทั้งร่างราวกับธารใหญ่ยาว โคจรไม่หยุด เพิ่มสูงขึ้นเป็นชั้นๆ พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำหมายจะกลบท่วมท้องฟ้า
เห็นเช่นนี้ไท่ชูยิ้มเอ่ย “อีกาน้อย ไปรับศึกเถอะ หากเป็นไปได้ สั่งสอนเจ้าคนไม่รู้ความแซ่เฉินนี่ให้ข้าหน่อย เขาหยิ่งผยองยิ่งกว่าปู่ของเขามาก”
“แค่สั่งสอนน่าเบื่อเกินไป ข้าจะฆ่าเขาซะ”
ใบหน้ากระจ่างของอีกาดำเต็มไปด้วยไอสังหาร นางทะยานห้วงอากาศ ชุดดำพลิ้วไปตามสายลม บนร่างงามปรากฏพลังกฎระเบียบแรกกำเนิดปานเปลวเพลิงไพศาล
ตูม!
นางประกบมือทำมุทรา สุริยันสีดำดวงโตทะยานห้วงอากาศไป
เฉินหลินคงยื่นมือขวาออกไป ฝ่ามือรวบกำ ชักกระบี่มรรคที่ควบรวมจากมหามรรคแห่งตนออกมา ในเสียงกระบี่ครวญ หนึ่งกระบี่แทงออกไป
สุริยันสีดำดวงโตกำราบเข้ามา ถูกกระบี่แทงเข้าใส่พอดี ระเบิดออกโดยพลัน
กลับเห็นอีกาดำบินมาตัวเปล่า โจมตีเข้ามาแล้ว ต่อสู้กับเฉินหลินคงอย่างดุเดือด
ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์สองคน มรรควิถีเท่ากับยืนอยู่ปลายสุดของขั้นไร้ขอบเขตในโลกแล้ว การต่อสู้ที่เกิดขึ้นก็เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ชั้นยอดบนมรรคานิรันดร์แล้ว
“สหายุทธ์คิดว่าความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร”
ไท่ชูเพียงเหลือบมองการต่อสู้นี้แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมองหลินสวินอีกครั้ง
“แพ้ชนะระหว่างพวกเขาไม่ใส่สิ่งที่พวกเขาควบคุมได้ ว่ากันถึงที่สุด ต้องดูการประชันระหว่างผู้อาวุโสเฉินซีและบรรพจารย์วานร ทั้งยังต้องดูการประชันระหว่างเจ้ากับข้า”
หลินสวินพูดง่ายๆ
ไท่ชูเอ่ยอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ไม่ผิด ข้าไม่ยอมให้อีกาดำเกิดเรื่อง เฉินซีกับเจ้าก็ไม่ยอมให้เฉินหลินคงเกิดเรื่องเช่นกัน”
สายตาของเขากวาดผ่านหลินสวิน มองไปยังโพธิและจักจั่นทอง ยิ้มพูด “สำหรับพวกเขา เป็นผู้ชมก็ดี แต่เมื่อลงมือกลับจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย และจะสร้างโอกาสในการโจมตีเจ้าให้ข้า”
โพธิขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยอันใด
จักจั่นทองยังคงอ่อนโยน นิ่งสงบใจเย็น
และตอนนี้เอง…
หลินสวินเงยมองส่วนลึกของไอแรกกำเนิดขุ่นมัวที่อยู่ห่างไป “เริ่มกันเถอะ”
คำพูดเบาๆ สามคำกลับเหมือนสายฟ้าฟาด
ชั่วขณะนี้แม้แต่แดนเทพมากเร้นยังสั่นเล็กน้อย ส่วนบนร่างหลินสวินมีพลังขับเคลื่อนและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไร้รูปปรากฏ ไม่มีคลื่นมหามรรคอะไร และไม่มีอานุภาพสะเทือนจักรวาล ยิ่งไม่มีแสงมรรครั่วไหลแม้แต่เสี้ยว
สภาพราวแรกกำเนิด ว่างเปล่าเช่นนั้น!
“รอไม่ไหวแล้วหรือ” ไท่ชูยิ้มถาม
“มรรควิชาดังเช่นธรรมชาติ อยากอัดเจ้าก็จะอัดเจ้า เหตุใดต้องเอ่ยว่าจะรอหรือไม่”
หลินสวินยิ้มกว้าง จากนั้นก้าวไปข้างหน้า
ก้าวเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าไท่ชูแล้ว ตวัดหมัดซัดออกไป
กายราวมรรค หมัดดั่งแรกกำเนิด แต่กลับเรียบง่ายถึงขั้นเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนดั่งท่วงทำนองแห่งการไหลเคลื่อนของโลก ไร้ซึ่งร่องรอยแตกต่าง
ทว่าท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ไร้รูปนั่นกลับทำให้ไท่ชูนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย จากนั้นเผยประกายเจิดจ้า
เขาขับเคลื่อนความคิด เงาร่างผ่าเผยไม่เพียงไม่ถอยยังเดินหน้า ชูหมัดกระแทกไปเช่นเดียวกัน
ปัง!
พลังหมัดปะทะกัน คลื่นมหามรรคสายหนึ่งแผ่ออกโดยมีทั้งสองเป็นจุดศูนย์กลาง ร้อยจั้ง พันจั้ง หมื่นจั้ง… จนห้วงอากาศไร้ขอบเขตของทั้งแดนเทพมากเร้นสั่นไหวรุนแรง โลกแดนลับนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในห้วงอากาศเกิดเสียงดังสนั่น ส่ายไหวไปมาเหมือนหมู่ดาวที่กำลังจะร่วงหล่น
ทว่าที่น่าเหลือเชื่อคือกระแสทำลายล้างที่แผ่ออกมานั่นกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ในพื้นที่นี้ ยิ่งไม่ส่งผลต่อจิตใจของคนอื่นๆ
ทำให้ในสายตาผู้คน การปะทะระหว่างหมัดนี้ของหลินสวินและไท่ชูเหมือนเกิดขึ้นในอีกมิติหนึ่ง แม้สามารถมองเห็น กลับไม่สามารถสัมผัสถึงอานุภาพอันไม่อาจคาดเดาที่สั่งสมอยู่ภายใน
นี่แน่นอนว่าทำให้ผู้คนตกตะลึง
กลับเห็นหลินสวินและไท่ชูเหมือนไม่แปลกใจ หลังจากสองหมัดปะทะ ต่างลงมืออีกครั้ง
ตูม!
หลินสวินซัดหมัดออกไปอีกครั้ง ท่ามกลางความไร้รูปรคล้ายแหล่งสถานศุภโชคปรากฏ ผุดสายธารยุคสมัย กว้างใหญ่ไพศาลและพลุ่งพล่าน สำแดงนัยเร้นลับของการกำเนิดและดับสิ้น
ไท่ชูส่งเสียงหัวเราะยาว ประสานนิ้ววาดกลางอากาศ ประกายคมด่านเคราะห์สายหนึ่งพุ่งออกมา แทงสายธารยุคสมัยที่ปั่นป่วนจนทะลวง ทั้งพุ่งตรงใส่ใบหน้าของหลินสวินด้วยพลังที่ไม่ลดทอน
แต่มาได้เพียงครึ่งทาง เมื่อหลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ประกายคมของด่านเคราะห์พลันระเบิดแหลก
ไท่ชูไม่สนใจ ประกอบสองมือ ในพื้นที่สิบฝั่งพังถล่มกะทันหัน ถึงกับควบรวมออกมาเป็นแหล่งสถานศุภโชคแห่งหนึ่ง มีสายธารยุคสมัยไหลพุ่งออกมา!
จากนั้นพร้อมๆ กับฝีเท้าของไท่ชู แหล่งสถานคุนหลุนควบรวมปรากฏ แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์วิวัฒน์ทะยาน รวมเข้ากับแหล่งสถานศุภโชค กลายเป็นมรรคาเลิศล้ำทั้งชีวิตเขา บดขยี้เข้าใส่หลินสวิน
ภาพนั้น น่าสะพรึงเกินไปโดยไม่ต้องสงสัย!
ยุคแรกกำเนิดนี้ ต้นกำเนิดของมันมาจากพลังต้นกำเนิดของจตุโบราณสถาน เช่นนี้จึงวิวัฒน์ออกมาเป็นพลังระเบียบต้นกำเนิดสี่อย่าง คือ ชีวิต โชคชะตา ศุภโชค ห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
และไท่ชูได้ครอบครองกฎระเบียบต้นกำเนิดของสามโบราณสถานนี้แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้ประหลาดใจ สามารถก้าวออกจากปลายทางของมรรคานิรันดร์ได้ ก็แทบจะได้ครอบครองกฎระเบียบต้นกำเนิดนี้ไปหมดแล้ว
เพียงแต่มรรคาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำให้การหยั่งรู้และครอบครองกฎระเบียบต้นกำเนิดเหล่านี้ไม่เหมือนกันก็เท่านั้น
ตูม
ครู่ต่อมาบนร่างหลินสวินก็สะท้อนปรากฏการณ์ประหลาดของแหล่งสถานคุนหลุน แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แหล่งสถานศุภโชคออกมา เมื่อเขาต่อสู้ ปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดและน่าเหลือเชื่อตามไปด้วย
ทั้งสองต่อสู้ดุเดือด ราวกับกำลังช่วงชิงสิทธิ์ในการครอบครองยุคแรกกำเนิด กฎระเบียบต้นกำเนิดที่ใช้แม้เหมือนกัน แต่มรรคาของแต่ละคนกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยามไท่ชูลงมือ ทุกสิ่งล้วนปรากฏกลิ่นอายทำลายล้าง เสื่อมโทรม แห้งเหือด เหี่ยวเฉา พินาศ สิ้นสุดอันน่ากลัวถึงขีดสุด… ล้วนเกี่ยวข้องกับการทำลายล้างและความตาย
ทำให้กฎระเบียบต้นกำเนิดของสามโบราณสถานที่เขาสำแดงออกมา ปรากฏเป็นอานุภาพแห่งการทำลายล้างที่กดข่มใจคน!
ส่วนพลังของหลินสวินกลับมีมรรคแห่งการแปรสภาพที่ไม่สิ้นสุด เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมุนเวียนไม่สิ้น โคจรซ้ำไปมา สำแดงแก่นอัศจรรย์ท่ามกลางความตายและการเกิดใหม่ โคจรควาเร้นลับของชีวิตท่ามกลางความรุ่งโรจน์และโรยร่วง ทำให้สามโบราณสถานที่เขาสำแดงออกมา เหมือนแปรสภาพและโคจรเกิดใหม่อยู่ตลอด…
นี่ก็คือความแตกต่างของมรรคา
เมื่อทั้งสองเริ่มสัมผัสและหยั่งรู้แก่นแท้ของ ‘มรรค’ ไปแสวงหานัยเร้นลับบนมรรคแห่งชีวิต สิ่งที่หยั่งถึง ความจริงล้วนเป็นความเร้นลับอัศจรรย์ที่ดั้งเดิมที่สุดใน ‘ยุคแรกกำเนิด’ นี้
และเพราะสภาวะจิตของแต่ละคนแตกต่างกัน มรรคาแตกต่างกัน จึงปรากฏพลังมหามรรคที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
ตูม!
การต่อสู้ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม เงาร่างของหลินสวินและไท่ชูแทบจะกลายเป็นภาพมายา มองจากไกลๆ ก็เหมือนมหามรรคชั้นเลิศสองชนิดกำลังประชันกัน
พลังและอานุภาพระดับนั้น ไม่ทันไรก็สามารถทำลายล้างอารยธรรมยุคสมัยหนึ่งได้แล้ว!
โพธิและจักจั่นทองหลบออกไปไกลๆ แล้ว
ในแดนเทพมากเร้นตอนนี้ เฉินซีและบรรพจารย์วานรกำลังประชันกัน หลินสวินและไท่ชูปะทะกัน เฉินหลินคงและอีกาดำก็กำลังต่อสู้กัน การต่อสู้ทั้งสามคู่ล้วนสามารถทำให้คนใจสั่น ดุเดือดเกินไปแล้ว
หากอยู่ที่อื่นคงนำพาภัยพิบัติที่ไม่อาจคาดเดามานานแล้ว จะต้องส่งระลอกคลื่นแผ่ขยายไปทั่วหล้า ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิต!
และแม้จะอยู่ในแดนเทพมากเร้น พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากการประชันเช่นนี้ก็ยังน่ากลัวจนพาให้คนสิ้นหวัง
อย่างน้อยโพธิก็ยอมรับกับตัวเองว่าหากเปลี่ยนเป็นตน บางทีอาจประชันกับอีกาดำได้ แต่หากเจอคนอย่างบรรพจารย์วานร ไท่ชู ย่อมยากจะรอดกลับมา
“สหายน้อย ระหว่างข้ากับเจ้าหากจะตัดสินแพ้ชนะกัน อย่างไรก็ต้องประชันกันที่การครอบครองมรรคแห่งชีวิต เจ้าคิดว่าการโจมตีนี้เป็นอย่างไร”
ทันใดนั้นเสียงของไท่ชูดังขึ้นกลางฟ้าดิน
พลันเห็นเขายิ้มน้อยๆ ฝ่ามือพลันรวบคว้ากะทันหัน
ตูม!
กฎระเบียบแรกกำเนิดทั่วฟ้าไหลร่วง กลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง ยามปกคลุมลงมาภาพอันแปลกประหลาดน่ากลัวพลันปรากฏ
สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณส่วนใหญ่บนร่างหลินสวินถึงกับถูกคว้าไปอย่างหนักหน่วง!
………………..