ก่อนการประลองครั้งนี้จะเปิดม่าน จักจั่นทองสงบนิ่งมากมาโดยตลอด
เขาเหมือนเป็นคนนอก ไม่สนใจการประลองที่เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้
ทว่ายามเขาลงมือกลับเรียกลมเรียกฝนได้
พริบตานั้นที่ใช้ชีวิตของโพธิมาก่อกวนสภาวะจิตของหลินสวิน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจ
การเปลี่ยนแปลงก็หมายถึงโอกาส
ไท่ชูฉวยโอกาสเคลื่อนไหว โจมตีหลินสวินจนอันตรายถึงชีวิต!
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป
ยามพวกเฉินซี เฉินหลินคง โพธิเข้าใจกระจ่าง สถานการณ์ทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
‘ที่แท้ไพ่ลับของเจ้าลัทธิก็คือจักจั่นทองนี่…’
แม้แต่อีกาดำก็เพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองในยามนี้ ในใจสั่นไหว ตกตะลึงกับการลงมือของจักจั่นทองเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ใครๆ ต่างคิดว่าจักจั่นทองเป็นเพียงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์คนหนึ่งเท่านั้น ใครจะคิดว่ายามเขาลงมือกลับพลิกสถานการณ์ของการประชันหมากครั้งนี้อย่างง่ายดาย
เขาไม่ใช่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นคนที่สามารถเทียบไท่ชู เฉินซี บรรพจารย์วานร และหลินสวินได้!
ก็เพราะเช่นนี้เขาจึงสามารถกุมตัวโพธิอย่างง่ายดาย
“จักจั่นทอง ข้าอุตส่าห์มองเจ้าเป็นสหาย ไม่คิดว่าเจ้ากลับไร้ยางอายและต่ำทรามเช่นนี้!”
เฉินหลินคงเดือดดาลยิ่ง ถูกภาพนี้กระตุ้น
“นี่คือการประชันหมาก เป็นการต่อสู้มหามรรค จะเรียกว่าไร้ยางอายและต่ำทรามได้อย่างไร เฉินหลินคง อย่าให้ความโกรธส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะถูกอีกาดำโจมตีจนพินาศ”
จักจั่นทองสีหน้านิ่งสงบ
เขาเว้นช่วงไปก่อนเอ่ยต่อ “อีกทั้งข้าไม่ใช่คนทรยศ ตั้งแต่แรกข้ากับทุกท่านมีจุดยืนแตกต่างกัน เมื่อก่อนพวกเราสามารถเป็นมิตรต่อกันได้ แต่ในการต่อสู้มหามรรคกลับเป็นได้แค่ผู้ที่ยืนอยู่คนละด้านกัน”
พูดถึงตรงนี้เขาถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค”
สายตาของเขามองไปยังตำแหน่งที่ไท่ชูและหลินสวินยืนอยู่ห่างออกไป
ความจริงตอนนี้ทุกสายตาแทบจะจับจ้องไปตรงนั้น
……
พูดแล้วเหมือนช้า ความจริงทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น
หลังจากสภาวะจิตของหลินสวินปรากฏความสับสนเสี้ยวหนึ่งจนถูกไท่ชูฉวยโอกาสทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เมื่อสารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณถูกตัดออก ร่างเนื้อก็แตกสลายไปด้วย สูญเสียพลังชีวิตทั้งหมด
แม้แต่จิตวิญญาณของเขายังอ่อนแอหาใดเปรียบ
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณ คือสามสิ่งสำคัญของชีวิต และจิตวิญญาณก็คือที่สถิตของ ‘จิต’
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจคือ ในร่างมรรคและจิตวิญญาณที่ราวกับสูญเสียพลังชีวิตของหลินสวิน กลับมีพลังชีวิตที่ยิ่งใหญ่กำลังแปรสภาพ นั่นคือพลังของนัยเร้นลับนิพพาน
และเป็นต้นกำเนิดสำคัญของมหามรรคทั้งหมดของหลินสวิน
และตอนนี้เมื่อหลินสวินถูกโจมตีจนอันตรายถึงชีวิต ในช่วงสำคัญนี้พลังของนัยเร้นลับนิพพานปรากฏการแปรสภาพที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่ ‘เมื่อตายจึงเกิด’
ทว่าอย่างไรบาดแผลของเขาก็รุนแรงเกินไป เหมือนตะเกียงดวงหนึ่งกลางลมพายุ มีความเป็นไปได้ที่จะถูกดับตลอดเวลา
ไท่ชูจะไม่ให้โอกาสหลินสวินได้นิพพานแล้วเกิดใหม่ ดังนั้นหลังจากทำร้ายจนหลินสวินบาดเจ็บสาหัส เขาก็ลงมืออีกครั้ง
ทว่าเวลานี้เองเงาร่างงดงามสายหนึ่งโจมตีเข้ามาจากไกลๆ ทวนกระดูกขาวในมือแทงทะลุกลางอากาศ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ ประหนึ่งผลาญชีวิตไปสิ้น ทำให้การโจมตีนี้ดูแข็งกร้าวและน่ากลัวเป็นพิเศษ
คนผู้นี้ย่อมเป็นซย่าจื้อ
สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบ ใบหน้างดงามไร้ที่ติไม่เห็นคลื่นอารมณ์สักนิด ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยเพลิงจากความเคียดแค้น
นางไม่กลัวเป็นตาย ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ใส่ใจเพียงหลินสวินที่สุด
ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วนางก็เคยพูดไว้ ว่าชีวิตนี้จะร่วมรุกร่วมถอย ร่วมเป็นร่วมตายกับหลินสวิน!
และเวลานี้เห็นซย่าจื้อโจมตีมาอย่างไม่กลัวตาย ทว่าไม่รอไท่ชูลงมือจักจั่นทองก็ถอนหายใจเบาๆ “แม่นางน้อย เหตุใดต้องลำบากด้วยเล่า”
ยามเสียงดังขึ้นเขาก็ยื่นมือคว้าออกมาแล้ว
ร่างซย่าจื้อหยุดนิ่งทันที จากนั้นทะยานออกไปอย่างไม่อาจควบคุมได้มาอยู่ข้างกายจักจั่นทอง ถูกกักขังไว้ตรงนั้นอย่างมั่นคง
“วางใจเถอะ ชีวิตของเจ้ามาจากต้นชีวิตอัศจรรย์ จะว่าไปข้ายังมองดูชาติที่แล้วของเจ้าเติบใหญ่ ย่อมไม่ฆ่าเจ้า”
จักจั่นทองเอ่ยเสียงเบา
ดวงตาของซย่าจื้อจ้องหลินสวินที่อยู่ห่างออกไปไม่กะพริบ แววตาอึมครึมโดยพลัน เผยท่าทางสูญสิ้นทดท้อ
โศกเศร้าจนใจสลาย
หากหลินสวินตาย นางจะไม่อยู่อย่างโดดเดี่ยว!
ไท่ชูที่ไม่ได้ถูกรบกวนใดๆ ยื่นมือไปปกคลุมตัวหลินสวินแล้ว
เขารอคอยมาไม่รู้นานเท่าไร สิ่งที่ต้องการก็คือ ‘ผลมรรค’ ที่หลินสวินหลอมออกมา!
ชั่วขณะนี้ก็เหมือนช่วงเวลาแห่งความมืดมน เวลาเหมือนหยุดชะงัก
หัวใจของเฉินซีจมดิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาคิดว่าหลินสวินเป็นตัวแปรที่ไม่เคยมีมาก่อน คิดว่าแม้ปรากฏตัวแปรอื่นๆ บ้างก็จะต้องมาจากไท่ชู
แต่คิดไม่ถึงว่าจักจั่นทองกลับกลายเป็นตัวแปรที่พลิกสถานการณ์ของการประชันหมาก!
เฉินหลินคงตาเบิกโต เขาแค้นการทรยศของจักจั่นทอง รับไม่ได้ที่จักจั่นทองซึ่งถูกตนมองว่าเป็น ‘สหายมรรค’ กลับเป็นศัตรูที่ยืนอยู่คนละฝั่ง
สีหน้าของโพธิเผยความโศกเศร้าและขมขื่น
วางแผนมาหมื่นกาล รอคอยมาถึงตอนนี้ ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายกลับเป็นเพราะเขา ทำให้หลินสวินพลอยลำบากไปด้วย ทำให้ต้องเผชิญเคราะห์พิบัติเช่นนี้
นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
เขารู้สึกไม่สงบใจยิ่งมานานแล้ว ทั้งสังหรณ์ว่าเคราะห์สังหารนั่นเป็นไปได้สูงมากว่าจะพุ่งมาที่ตน ตอนแรกจึงเตรียมจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตไว้แล้ว
แต่กลับไม่เคยคิดว่าเคราะห์สังหารนี้จะมาจากมือจักจั่นทองที่เขาเคยชื่นชม มองเป็นสหายรู้ใจและสหายมรรค!
ตูม!
พลังของไท่ชูปกคลุมทั้งร่างของหลินสวิน ดำเนินการหลอมเต็มกำลัง หมายตัดแยกวิชามรรคทั้งหมดของหลินสวินออก
ทว่าตอนนี้เองกระบี่ครวญสายหนึ่งดังจากบนร่างหลินสวิน
ฉัวะ!
ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา ฟันพลังของไท่ชูออกทั้งอย่างนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัว ปราณกระบี่นั่นยิ่งรุนแรง ฟันจนไท่ชูกระเด็นออกไป
ร่างของเขาแทบถูกฟันอผ่า!
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้สีหน้าของไท่ชูเปลี่ยนไปทันที จิตมรรคเกิดความเดือดดาลที่บอกไม่ถูกในชั่วขณะนี้!
เห็นอยู่ว่าการประชันหมากครั้งนี้กำลังจะจบลง เห็นอยู่ว่าวิชามรรคนิพพานบนร่างหลินสวินกำลังจะเป็นของตน เห็นอยู่ว่า…
ทว่ายามกระบี่นี้ปรากฏ กลับทำให้ทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!
และเวลานี้คนอื่นๆ ในที่นั้นก็ตกใจเช่นกัน
จักจั่นทองขมวดคิ้ว แขนเสื้อโบกสะบัด สีหน้าที่อบอุ่นและนิ่งสงบปรากฏความอึมครึม
เฉินซีเหมือนตระหนักได้ถึงบางอย่าง จิตใจเยือกเย็นลงอย่างสิ้นเชิง
ด้านพวกเฉินหลินคง โพธิ อีกาดำ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ต่างคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งยวดนี้ กลับมีปราณกระบี่ทะยานออกมา ซัดไท่ชูจนถอยออกไป!
ปราณกระบี่นั่นเป็นฝีมือของใคร
ก็เห็นว่า…
บนร่างหลินสวินมีหินลับกระบี่ขาวดำคู่หนึ่งพุ่งออกมา สว่างไสวเป็นประกาย คล้ายมีเงาร่างผอมตอบสายหนึ่งปรากฏ ก้าวเดินบนมหาสมุทรเจตกระบี่ไพศาล
ยามเห็นภาพนี้ไท่ชูถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ “สหายยุทธ์ เจ้าขังข้ามาไม่รู้นานเท่าไร ยังจะทำข้าเสียการใหญ่อีกหรือ…”
คนผู้นี้เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร
เป็นมือกระบี่ที่ทำให้เขาต้องมองเป็นศัตรูชั่วชีวิต แต่กลับไม่อาจไม่ชื่นชม
ห่างออกไปสีหน้าของจักจั่นทองกลับผ่อนคลายลง เอ่ยว่า “แค่ประทับต้นกำเนิดที่ทิ้งไว้ในหินลับกระบี่เท่านั้น เปราะบางอย่างมาก”
ไท่ชูนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย พูดเยาะเย้ยตนเอง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พลังต้นกำเนิดสายหนึ่งยังสามารถทำให้ข้าตกใจได้ ฝีมือของสหายยุทธ์ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ขณะพูดเขาเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศพุ่งโจมตีไปข้างหน้าแล้ว
ตูม!
พลังมหามรรคอันน่ากลัวลู่ร่วง จากนั้นกระบี่ครวญดังไม่ขาดสาย แต่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหินลับกระบี่คู่นั้นเทียบไม่ได้จริงๆ ถูกโจมตีพินาศอย่างง่ายดาย ตกไปอยู่ในมือของไท่ชู
ภาพนี้ทำให้หัวใจของพวกเฉินหลินคง โพธิจมลงอีกครั้ง
“สมบัติคู่นี้ข้าจะเก็บไว้ ถือว่าเป็นของที่ระลึก”
ไท่ชูเก็บหินลับกระบี่ไปพร้อมเสียงหัวเราะ
ตูม!
ทว่าตอนนี้เองบรรพจารย์วานรที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับเฉินซีพลันร่างสั่นไหว กายเนื้อของเขาถึงกับถูกเฉินซีใช้พลังมรรคาของตนโจมตีจนพังทลาย เลือดสดพุ่งกระฉุด
ภาพนั้นทำเอาพวกไท่ชู จักจั่นทอง อีกาดำนัยน์ตาหดรัดโดยพลัน ในใจสั่นไหว
ตอนนี้กลิ่นอายบนร่างเฉินซีน่าสะพรึงถึงขั้นทำให้คนใจสั่น เห็นชัดว่าเดือดดาลยิ่งแล้ว ตัดสินใจลงมือสังหารโดยเร็ว
“การประชันหมากครั้งนี้ทำให้ข้าคนแซ่เฉินผิดหวังยิ่ง!”
ในเสียงเย็นชาเฉยเมย เฉินซีไม่ได้สนใจบรรพจารย์วานรที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแล้ว เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเข้าโจมตีไท่ชูทันที
ตูม!
ฟ้าดินปั่นป่วน อานุภาพของเฉินซีรุนแรงเกินไป คนยังมาไม่ถึง ไอสังหารที่ทรงพลังไร้ใดเปรียบก็ได้เพ่งเล็งไท่ชูจากไกลๆ แล้ว ทำเอาเขาสีหน้าเคร่งขรึมอย่าอดไม่ได้
ทว่าเพิ่งถึงครึ่งทางเงาร่างของจักจั่นทองก็ปรากฏขึ้น ผลักฝ่ามือไปข้างหน้า
ปัง!!
เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน เงาร่างของจักจั่นทองเซถอยไปหลายก้าว แต่เฉินซีเองก็ถูกขัดขวางด้วยเหตุนี้เช่นกัน
“สหายยุทธ์ การต่อสู้ครั้งนี้เจ้าจะแทรกแซงไม่ได้”
จักจั่นทองพูดเสียงเบา
“ไสหัวไป!”
เฉินซีฟันกระบี่หนึ่งออกไป คร้านจะพูดไร้สาระกับจักจั่นทอง
“เช่นนั้นก็… คงได้แต่ล่วงเกินแล้ว”
จักจั่นทองถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เบื้องหน้าเขาพลันควบรวมเป็นใบไม้แรกกำเนิดที่โปร่งแสงกลมมนออกมาใบหนึ่ง จากนั้นพลันกลายเป็นโซ่เทพหวดฟาดออกมา
สิ่งที่ประทับอยู่บนโซ่เทพคือกลิ่นอายมรรคแห่งชีวิตที่คลุมเครืออัศจรรย์
เวลาเดียวกันไม่ไกลนัก บรรพจารย์วานรที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสก็โจมตีเข้ามาเช่นกัน
สีหน้าของเขานิ่งสงบเหมือนเดิม เพียงแต่ส่วนลึกของดวงตามีเพลิงโกรธสุกโชน เจือความเดือดดาล ไม่สนความเป็นความตายแล้ว
เห็นได้ชัดว่าความพ่ายแพ้ต่อเฉินซีเมื่อครู่สร้างความกระทบกระเทือนอย่างยิ่งใหญ่ต่อเขา ทำให้แม้เขาจะบาดเจ็บสาหัสก็ไม่สนใจสักนิด
ตูม โครม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง สถานการณ์ของเฉินซีกลับอันตรายกว่าก่อนหน้านี้
มรรควิถีของจักจั่นทองถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าบรรพจารย์วานรมาก เมื่อรวมกับบรรพจารย์วานรที่สู้อย่างไม่คิดชีวิต ทำให้แม้เฉินซีอยากไปช่วยหลินสวินก็ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น
ห่างออกไปโพธิและซย่าจื้อล้วนถูกกักตัวอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับได้ ทำได้เพียงมองอยู่เช่นนั้น
ส่วนไท่ชูฉวยโอกาสนี้ลงมืออีกครั้ง ปลดปล่อยพลังออกไปปกคลุมเงาร่างของหลินสวิน
ตูม!
เขาดำเนินการหลอมเต็มกำลัง
สถานการณ์ตอนนี้ เวลามีค่าที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ก่อนหน้านี้เกิดอุปสรรคและการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย แต่ขอเพียงสุดท้ายสามารถชิงมรรคนิพพานของหลินสวินมาได้ การประชันหมากครั้งนี้ก็เท่ากับจบลงแล้ว
ทว่าเพียงชั่วพริบตา กายเนื้อและพลังจิตของหลินสวินก็ระเบิดออกอย่างสิ้นเชิง
ภาพนี้ทำเอาไท่ชูทำอะไรไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงเด็ดขาด ว่าหลินสวินในตอนนี้ถึงกับเลือกปลิดชีพตัวเองโดยไม่ลังเลสักนิด!
ตูม!
แม้สารกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณทั้งร่างหลินสวินถูกตัดชิง แต่วิชามรรคของเขายังอยู่ ยามดำเนินการทำลายทุกสิ่งด้วยตนเอง กระแสทำลายล้างน่ากลัวนั่นซัดจนไท่ชูกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง ปากกระอักเลือด เผ้าผมยุ่งเหยิง
ส่วนคนอื่นๆ ตอนนี้ล้วนตกใจยิ่งกับภาพที่หลินสวินฆ่าตัวตาย
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…
โพธิมือเท้าเย็นเฉียบ สภาวะจิตไม่มั่นคง มีท่าทีว่าจะรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหว
ในดวงตากระจ่างใสของซย่าจื้อมีน้ำตาสองสายไหลลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง โลกเบื้องหน้าเหมือนสูญเสียสีสันทั้งหมด เต็มไปด้วยความมืดมน
หมดอาลัยตายอยากก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้
เฉินหลินคงตาเบิกโต เงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามอย่างโศกเศร้า
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ คิ้วที่ขมวดแน่นของเฉินซีกลับคลายออกกะทันหัน เหมือนกระจ่างในบางอย่าง ผ่อนคลายไปทั้งตัวแล้ว
และไท่ชูก็พลันตระหนักอะไรได้ นัยน์ตาหดรัดลงทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน สีหน้าของจักจั่นทองเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน เสียอาการอย่างยากจะเห็น “เมื่อตายจึงเกิด นิพพานแล้วเกิดใหม่ เขาทำลายวิชามรรคของตนให้สิ้น แล้วใช้พลังแห่งนิพพานเป็นสื่อนำ หลอมมรรคแห่งชีวิต สร้างชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!”
…………………….