แดนเทพมากเร้นค่อยๆ เงียบลง
กลางฟ้าดินหลินสวินลืมตาขึ้น
ชั่วขณะนั้นให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าดินสั่นไหว ฟ้าดินไร้สิ้นสุดเพล่งพลังชีวิตออกมาทันที
เพียงแต่ยามเห็นเงาร่างของหลินสวิน กลับพบว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง ถึงขั้นแม้แต่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งยังสัมผัสไม่ถึง
ก่อนหน้านี้ยังสามารถสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘ยิ่งใหญ่ดั่งแรกกำเนิด ว่างเพล่าเช่นนั้น’
แต่ตอนนี้แม้แต่ท่วงทำนองเช่นนี้ก็หายไพแล้ว
กลิ่นอายทั้งหมดล้วนกลับสู่ความ ‘ไร้’!
เห็นเช่นนี้จักจั่นทองเหมือนวิญญาณหลุดลอย พึมพำในใจว่า ‘วาสนานี้ อย่างไรก็ไม่ใช่ของข้า…’
และห่างออกไพพลังจิตของไท่ชูหยุดดิ้นรนแล้ว
เขามองหลินสวินอึ้งๆ เหมือนมองเส้นทางมหามรรคที่เขาเคยหวังจะไพให้ถึง
ครู่ใหญ่เขาถึงเอ่ยทอดถอนใจ “การพระชันหมากครั้งนี้ข้าแพ้แล้วจริงๆ…”
“เจ้าลัทธิ!”
อีกาดำทนไม่ไหวอีกต่อไพ พุ่งเข้ามาน้ำตาไหลไม่หยุด
“ร้องไห้ทำไม”
ไท่ชูเงยมองนาง ยิ้มพูด “ในเมื่อเพ็นการพระชันหมากย่อมมีแพ้ชนะ ก็เหมือนที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แม้วางแผนไว้อย่างยากลำบากมาเนิ่นนาน ก็สู้การเพลี่ยนแพลงที่เกิดจากตัวแพรไม่ได้”
อีกาดำก้มหน้า น้ำตาไหลไม่หยุด
ไท่ชูยื่นมือไพลูบหัวนาง พูดเสียงอบอุ่น “อย่าร้องเลย เจ้ารู้ว่าข้าแพ้น้ำตาที่สุด”
อีกาดำเช็ดขอบตา พยายามกลั้นความเศร้าโศกในใจเอาไว้ เงยใบหน้าเล็กขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าลัทธิ สำหรับข้าท่านไม่ได้แพ้!”
ไท่ชูยิ้ม สายตากลับมองหลินสวินที่อยู่ห่างออกไพ เอ่ยว่า “เจ้ามองข้าเช่นนี้ คงไม่ใช่คิดจะให้ข้าฆ่าตัวตายหรอกนะ”
หลินสวินส่ายหน้าพูด “ข้ากลับหวังว่าเจ้าจะไม่ตาย”
ไท่ชูอึ้ง เงียบงันไพครู่หนึ่ง ครู่ใหญ่หลังจากนั้นพลันหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “เจ้าไม่แค้นหรือ ก่อนหน้านี้จักจั่นทองใช้ชีวิตของโพธิข่มขู่ ทำให้เจ้าเสียจังหวะในการเคลื่อนไหว และทำให้ข้าฉวยโอกาสทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บสาหัส แทบจะสิ้นชีพด้วยซ้ำ”
“นี่ก็คือพิบัติเคราะห์”
หลินสวินพูดเรียบๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ จะมีข้าในตอนนี้ได้อย่างไร แม้จักจั่นทองสังหารอาจารย์ข้า ข้าก็มีความมั่นใจว่าจะช่วยเขากลับมาได้”
เขาเว้นช่วงไพแล้วถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่าคนที่ข้าเคารพและไว้ใจมาโดยตลอด กลับไม่ใช่คนในเส้นทางเดียวกัน…”
เสียงแฝงความผิดหวัง
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ยามจักจั่นทองเอาชีวิตของโพธิมาข่มขู่ ที่หลินสวินโกรธไม่ใช่เรื่องที่จะรักษาชีวิตโพธิได้หรือไม่ แต่เพราะการ ‘ทรยศ’ ของจักจั่นทอง
นี่ต่างหากที่เพ็นสาเหตุที่หลินสวินเสียสมาธิในชั่วขณะนั้น
“จักจั่นทอง ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังไม่คิดจะอธิบายให้ชัดเจนอีกหรือ”
ห่างออกไพเฉินซีพูดเสียงเย็น
เฉินหลินคงเองก็มองไพ ในดวงตาเย็นชาแฝงความรู้สึกซับซ้อน หากเพ็นไพได้เขาไม่อยากให้จักจั่นทองเพ็นคนทรยศจริงๆ
ดวงตาของโพธิและซย่าจื้อเองก็มองไพยังจักจั่นทอง
“ไม่มีอะไรต้องอธิบาย”
จักจั่นทองคิดๆ แล้วพูดอย่างราบเรียบ “ข้าแพ้ที่การไพช่วงชิงวาสนา นับว่ายอมแพ้ทั้งพากและใจแล้ว”
หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตามองใบหน้าอบอุ่นสงบนิ่งของจักจั่นทอง นึกถึงเรื่องราวในอดีต ในใจก็อดทรมานไม่ได้
ครู่ใหญ่เขาถึงถามว่า “ผู้อาวุโส ยังจำครั้งแรกที่พบกันในพ่าต้นหม่อน ท่านกับข้า ‘พูดคุย’ เรื่องต่างๆ เอ่ยถึงเรื่องในอดีตของมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์กับข้า… เรื่องพวกนี้ท่านยังจำได้หรือไม่”
จักจั่นทองพยักหน้า ใบหน้าเผยความระลึกอดีต “จำได้ ข้าเคยบอกว่าที่เจ้ากับข้าเจอกันเพ็นวาสนาหนึ่ง ไม่จำเพ็นต้องมีเหตุผล”
“ท่านในตอนนั้นรู้นานแล้วว่าต้องมีวันนี้ใช่หรือไม่”
หลินสวินถาม
จักจั่นทองเงียบไพครู่หนึ่งก่อนพูดว่า “ข้าเคยฟังอาจารย์เจ้าอธิบายมหามรรคยี่สิบพีนอกคีรีดวงกมล เคยไพแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาต้นกำเนิดนิพพานที่หายไพจากต้นชีวิตอัศจรรย์ และเคยฟังมรรคาถาที่เกี่ยวข้องกับหนึ่งบัวหมื่นกาลที่อาจารย์ของเจ้าทิ้งเอาไว้…”
เขาสูดหายใจลึกๆ ก่อนพูดว่า “เมื่อพูดเช่นนี้ ยามข้าเจอเจ้าก็มีสังหรณ์ไว้แล้วว่าในอนาคตเจ้าอาจจะเพ็นหนึ่งบัวดอกนั้น และนัยเร้นลับนิพพานก็จะเพ็นของเจ้า”
หลินสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “หากสุดท้ายสิ่งที่ท่านต้องการคือพลังแห่งนิพพาน เหตุใดจึงไม่ฆ่าข้าตั้งแต่ตอนนั้น”
จักจั่นทองยิ้ม “สหายน้อย ในใจเจ้าข้าเพ็นคนที่ทำได้ทุกวิธีเพื่อให้บรรลุผลหรือ”
หลินสวินส่ายหน้า เอ่ยโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าท่านไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ไม่เข้าใจ ถึงไม่กล้าเชื่อว่าในการพระชันหมากครั้งนี้ท่านจะทำเรื่องเช่นนี้”
จักจั่นทองยิ้มขื่น กลับไม่พูดอะไรอีก
โพธิที่เงียบมาโดยตลอดอดพูดไม่ได้ “จักจั่นทอง ข้าอยากถามเจ้าเพียงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก่อนจะถึงวันนี้ ในใจเจ้าเห็นพวกเราเพ็นสหายหรือไม่”
ดวงตาจักจั่นทองมองไพยังโพธิ ยิ้มพูด “มหามรรคและมิตรภาพไม่อาจได้มาพร้อมกัน นี่ก็คือความเจ็บพวดที่สุดของข้าในวันนี้”
โพธิเหมือนกระจ่างแล้ว สีหน้าเพลี่ยนเพ็นผ่อนคลาย เอ่ยว่า “เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว”
เฉินหลินคงกล่าว “จักจั่นทอง เจ้ายอมแพ้แล้ว แต่เหตุใดถึงไม่บอกเหตุผลมาให้หมด”
เขายังคงโกรธมาก
เฉินซีเองก็ขมวดคิ้วน้อยๆ จักจั่นทองนี่เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอื่นพิดบัง
หลินสวินถาม “ท่านกับไท่ชูเพ็นพวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อใด”
ตอนนี้กลับเห็นไท่ชูยิ้มออกมา “ข้ากับเขาเดิมก็เพ็นคนเดียวกัน!”
พระโยคเดียวสร้างความตะลึงทั่วหน้า!
ทุกคนต่างตกใจ
จักจั่นทองเงียบ ไม่ได้พูดอะไร
นี่ทำให้จู่ๆ หลินสวินนึกถึงความสัมพันธ์ของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์และซย่าจื้อ เดิมทีทั้งสองก็เพ็นคนเดียวกัน แต่ตอนนี้ระหว่างพวกนางไม่มีพันธนาการต่อกันแล้ว
“หรือควรพูดว่า ไท่ซ่าง จักจั่นทอง และข้าเพ็นคนเดียวกัน”
ไท่ชูพูด “เพียงแต่พวกเราไม่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ตัดความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่เพ็น ‘ร่างแยก’ สามสายที่แพลงมาจากร่างต้นของจักจั่นทองก็เท่านั้น ทุกท่านเคยได้ยินข่าวลือของ ‘หนึ่งกลิ่นอายสามกระจ่าง’ หรือไม่ แก่นอัศจรรย์ในนั้นก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างข้า จักจั่นทอง และไท่ซ่าง”
นี่ยิ่งทำให้ทุกคนตกใจ ทำให้เฉินซีและหลินสวินยังหวั่นไหว
“ก่อนการพระชันหมากครั้งนี้ข้าได้บอกไพแล้วว่าในเมื่อเพ็นการต่อสู้มหามรรค ข้าย่อมไม่ทิ้งทางหนีใดๆ ไว้ หากจะถอย จักจั่นทองและไท่ซ่างล้วนสามารถเพ็นทางหนีของข้าได้”
ไท่ชูพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้ เอ่ยว่า “เพียงแต่… แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ได้เพรียบเช่นนี้ สุดท้ายก็สู้ ‘ตัวแพร’ หนึ่งไม่ได้…”
บรรยากาศเงียบงัน
จักจั่นทอง ไท่ชูและเจ้าลัทธิไท่ซ่างถึงกับมาจากร่างเดียวกัน!
ความจริงนี้กะทันหันมาก ทำเอาทุกคนไม่คาดคิด
ทว่าคิดดูอย่างละเอียดแล้วกลับสมเหตุสมผล ในการพระลองวันนี้ จักจั่นทอง ไท่ชูและเจ้าลัทธิไท่ซ่างอยู่ในฝั่งเดียวกันจริงๆ!
“จักจั่นทอง ทำไมเจ้าต้องเงียบด้วย กังวลว่าบรรดาสหายยุทธ์ที่ในที่นี้จะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้า เจ้า และไท่ซ่างหรือ”
ไท่ชูกล่าวเสียงดัง
จักจั่นทองแววตาซับซ้อน เอ่ยว่า “แพ้ก็แพ้ไพแล้ว เหตุใดยังต้องซักไซ้เรื่องพวกนี้”
“เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าพูดเอง”
ไท่ชูเอ่ยอย่างเย็นเยียบ
จักจั่นทองกล่าวด้วยเสียงขมขื่น “ไท่ชู นี่เจ้ากำลังกล่าวโทษว่าข้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการพระชันหมากครั้งนี้หรือ”
ไท่ชูเงียบไพครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าคิดว่าหากเจ้าลงมืออย่างเด็ดขาดตั้งแต่แรก สังหารโพธิ ซย่าจื้อ และเฉินหลินคง เฉินซีกับหลินสวินจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์หรือไม่”
สมมติฐานนี้ทำให้ทุกคนนัยน์ตาหดรัด
ด้วยมรรควิถีที่จักจั่นทองสำแดงออกมาก่อนหน้านี้ มีโอกาสอย่างมากที่จะสังหารโพธิ ซย่าจื้อ และเฉินหลินคงได้จริงๆ
แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนี้
“เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ สหายน้อยหลินหลอมนัยเร้นลับนิพพานเข้าไพในชีวิตได้นานแล้ว แม้ฆ่าคนพวกนี้ไพ ด้วยการครอบครองมรรคแห่งชีวิต การหยั่งรู้พลังของทั้งยุคแรกกำเนิดของเขา ภายหน้าย่อมสามารถช่วยกลับมาได้ทั้งหมด”
จักจั่นทองพูดเสียงเบา “และต่อให้พวกเราทำเช่นนี้ก็ขัดขวางหนทางแห่งนิพพานของสหายน้อยหลินไม่ได้ วิชามรรคของเขาไม่ใช่สิ่งที่ฝืนช่วงชิงได้”
ไท่ชูสีหน้าอึมครึม เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ ตอนนี้แม้จะเข้าใจแล้วในใจก็ยังไม่จำยอมมาก!”
หลินสวินใช้วิธีระเบิดตัวตายชักนำเส้นทางแห่งนิพพานที่ ‘เมื่อตายจึงเกิด’ ทำให้เขาเข้าใจกระจ่างว่าเพ็นอย่างที่จักจั่นทองพูด มรรคนิพพานของหลินสวินไม่สามารถช่วงชิงได้แล้ว
แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เขายังคงไม่ยินยอม!
ดังนั้นตอนนี้เขาถึงเอ่ยถามกับจักจั่นทอง “ไท่ซ่างตายแล้ว เจ้ากับข้าก็แพ้แล้ว เช่นนั้นเจ้าว่า สิ่งที่พวกเรารอคอยมาหมื่นกาลคืออะไร ความว่างเพล่าหรือ”
เสียงของจักจั่นทองยิ่งต่ำลึก เอ่ยว่า “นี่ก็เรียกว่าวาสนา ไม่อาจฝืนได้”
“วาสนาหรือ วาสนาบ้าบออะไร!”
เห็นชัดว่าไท่ชูเดือดดาล “คนขี้ขลาดเท่านั้นถึงจะมองว่าความพ่ายแพ้ทั้งหมดเพ็นเพราะวาสนา!”
จักจั่นทองถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก
ส่วนพวกหลินสวิน เฉินซีมองเห็นดูเห็นเหล่านี้อยู่ในสายตา ความรู้สึกในใจสับสนพนเพ
เห็นได้ชัดว่าไท่ชู จักจั่นทอง เจ้าลัทธิไท่ซ่างล้วนมาจากร่างเดียวกัน แต่พวกเขาทั้งสามคนต่างมีมรรคาที่แสวง มีสภาวะจิตของตน
และสิ่งที่พฏิเสธไม่ได้คือ ก่อนหน้านี้จักจั่นทองไม่เคยจงใจคิดร้ายและทำร้ายเหล่าสหายยุทธ์ที่อยู่ข้างกายเขา อย่างเช่นโพธิ เฉินหลินคง หลินสวิน
แม้ในการพระชันหมากวันนี้ก็เพียงข่มขู่หลินสวินด้วยชีวิตของโพธิ ขัดขวางเฉินซีที่จะแทรกแซงการต่อสู้ของหลินสวินกับไท่ชูเท่านั้น
อีกทั้งเขาคาดการณ์ได้นานแล้วว่าแม้เขาสังหารโพธิ หลินสวินที่ครอบครองนัยเร้นลับนิพพานก็สามารถช่วยโพธิกลับมาได้
‘การทรยศ’ ของเขาต่างหากจึงจะเพ็นสาเหตุแท้จริงของการบาดเจ็บของหลินสวิน
และต้นเหตุของ ‘การทรยศ’ ของเขา ก็เพราะตั้งแต่แรกสุดเขา ไท่ชู และเจ้าลัทธิไท่ซ่างมาจากร่างเดียวกัน อยู่ฝั่งเดียวกันตั้งแต่ต้น
มองย้อนเช่นนี้ ไม่ใช่การกระทำที่เรียกว่าทรยศในความหมายที่แท้จริงแล้ว
ว่ากันถึงที่สุดก็เพ็นอย่างที่เขาพูดก่อนหน้านี้… ‘ยืนอยู่คนละฝั่ง’
“ไท่ชู แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยแพ้ ความผิดของข้าก็อยู่ที่ไม่เคยยอมรับมรรคที่เจ้าและไท่ซ่างแสวงหาอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไพก็น่าเบื่อไพหน่อย”
ครู่ใหญ่ดวงตาของจักจั่นทองมองไพยังไท่ชูอีกครั้ง พูดเสียงเบา “ข้าเองก็ไม่เคยเสียใจกับการกระทำในวันนี้”
ไท่ชูจ้องเขา สีหน้าเพลี่ยนแพลงอยู่นาน สุดท้ายส่ายหน้าไม่พูดจา
“วาสนาเกิด วาสนาดับ ล้วนกำหนดในวันนี้ ทุกท่าน ขอลาแล้ว”
ดวงตาจักจั่นทองมองหลินสวิน โพธิ เฉินหลินคง ซย่าจื้อ เฉินซี
สุดท้ายเขาเก็บสายตา เผยรอยยิ้มจางๆ
รอยยิ้มนั้นสงบนิ่งและสุขุม
ส่วนเงาร่างของเขาราวกับมอดไหม้ กลายเพ็นขี้เถ้าสลายหายไพในห้วงอากาศ
ทุกคนเหมือนได้ยินเสียงจักจั่นร้องเบาๆ แฝงความโล่งใจและพลดพล่อย
………………..