จักจั่นทองจากไปแล้ว
หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง
นึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ ย้อนคิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับจักจั่นทองในอดีต
ทุกคนต่างอดเสียใจไม่ได้
เกลียดไหม
ก็ไม่ถึงกับเกลียด
ไม่เกลียดหรือ
ก็ไม่ใช่
อารมณ์ของทุกคนล้วนละเอียดอ่อนและซับซ้อน
สำหรับโพธิกับเฉินหลินคง จักจั่นทองคือ ‘สหายรู้ใจ’ และเป็นผู้ร่วมมรรค เป็นสหายที่เคยดื่มสุราถกมรรค เคียงบ่าเคียงไหล่กัน
สำหรับหลินสวิน จักจั่นทองคือผู้อาวุโสที่ควรแก่การไว้วางใจและเลื่อมใส
สำหรับเฉินซี ซย่าจื้อ ตัวตนของจักจั่นทอง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นอริใดๆ
ทว่าความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือ จักจั่นทอง ไท่ชู และเจ้าลัทธิไท่ซ่างเดิมทีเป็นร่างเดียวกัน แม้พวกเขามีมรรคาที่ตนเสาะแสวง แต่ในด้านการช่วงชิงพลังแห่งนิพพาน พวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน
เพราะแบบนี้ยามจักจั่นทองหายไปจากโลกนี้ จึงทำให้อารมณ์พวกเขาซับซ้อน จิตใจยากจะสงบ
ห่างออกไปไท่ชูกำลังจ้องบริเวณที่จักจั่นทองหายไปอย่างอึ้งๆ คล้ายหัวเราะและเหมือนร้องไห้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด ซับซ้อนถึงขีดสุด
ครู่ใหญ่สายตาของเขามองไปยังหลินสวิน เอ่ยว่า “ไว้ชีวิต… อีกาดำได้หรือไม่”
อีกาดำสั่นไปทั้งตัว เบิกตาโพลง
ในภาพจำของนาง ทั้งชีวิตนี้เจ้าลัทธิผ่านยุคสมัยมากมาย ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาพบเจอเรื่องราวในโลกไม่น้อย ผ่านความทรมานเป็นตาย แต่กลับไม่เคยอ้าปากขอร้องใคร!
ทว่าตอนนี้…
เขากลับขอร้องหลินสวินเพื่อนาง!
“ข้าไม่เอา! ไม่เอา!…” อีกาดำคล้ายเสียการควบคุม แผดเสียงกล่าว “ก็แค่ตายเท่านั้น ข้าไปกับท่านด้วย ข้าไม่กลัว!”
ไท่ชูยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจนาง เพียงเคลื่อนสายตาไปมองหลินสวิน
“นางอยู่กับข้าตั้งแต่เด็ก ติดตามเคียงข้างข้ามาทั้งชีวิต ข้าสามารถรับรองได้ว่าที่ผ่านมานางไม่เคยมีโอกาสก่อกรรมทำชั่ว แม้ยามเจ้าเข้ามาในแหล่งสถานอัศจรรย์ นางอยากฆ่าเจ้าให้ตายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกข้าพามาอยู่ข้างตัวแทน…”
ไท่ชูพูดเสียงเบา “ผู้หญิงที่ดีเช่นนี้ หากตายเพราะข้าไท่ชูก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
“ได้”
ห่างออกไปหลินสวินพยักหน้า
ไท่ชูคล้ายผ่อนลมหายใจยาว ประสานมือพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณมาก”
“เจ้าลัทธิ ข้าบอกแล้ว ข้าจะอยู่กับท่าน ต่อให้เป็นความตายก็ต้องตายด้วยกัน…”
อีกาดำเงยใบหน้าเล็กขึ้นจ้องมองไท่ชู ในดวงตาแดงเลือดวาววามมีน้ำตาไหลไม่หยุด เสียงกลับขาดๆ หายๆ จากนั้นร่างพลันอ่อนยวบล้มลงในอ้อมกอดของไท่ชู
และบนร่างนาง พลังชีวิตกำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างอรชรเปลี่ยนเป็นก็เย็นเยียบลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของไท่ชูชะงักค้างไปทันที
เขาก้มหน้าลง มองเด็กสาวในอ้อมกอด ครู่ใหญ่ถึงยกมือที่สั่นระริกขึ้นมา ลูบผมยาวของอีกาดำเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าบอกเจ้าตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วว่าข้าแพ้น้ำตาที่สุด แต่เหตุใดจึง… ไม่เชื่อฟังคำพูดข้า…”
เสียงจนปัญญา มีความเศร้าและความขมขื่นที่ยากจะปกปิดเสี้ยวหนึ่ง
ภาพนี้ทำเอาพวกหลินสวิน เฉินซีที่อยู่ห่างออกไปอดหวั่นไหวไม่ได้
ฆ่าตัวตายเพื่อบูชาความรักหรือ
หรือควรพูดว่า ไม่ยอมมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง ถึงได้ใช้วิธีเช่นนี้ฆ่าตัวตายต่อหน้าคนที่ตนรักที่สุด
“ข้าสามารถช่วยชีวิตนางกลับมาได้”
ห่างออกไปหลินสวินพูด
การกระทำของอีกาดำ ทำให้เขานึกถึงท่าทีอันเด็ดเดี่ยวที่เพื่อช่วยตนเองก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นของซย่าจื้อเมื่อครู่ ในใจเกิดอารมณ์แปลกประหลาด
“ไม่ต้องแล้ว ให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปอาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าตายไปเช่นนี้…”
ไท่ชูก้มหน้ามองอีกาดำในอ้อมแขน น้ำตาคลอในดวงตา “อีกาน้อย บนโลกนี้ก็มีแค่เจ้าที่โง่งมถึงเพียงนี้…”
จากนั้นเขาส่ายหน้า ดวงตากวาดมองพวกหลินสวิน เฉินซี ก่อนยิ้มกล่าว “ทุกท่าน การประชันหมากในวันนี้ข้ามีความสุขมาก ตอนนี้ความไม่ยินยอมในใจก็สล่ยหายไปแล้ว สิ่งเดียวที่เสียดาย อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเจอมือกระบี่คนนั้นอีกครั้ง แต่แบบนี้ก็ดี แม้ตายไปก็สามารถเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้”
เขากอดร่างงดงามของอีกาดำพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าเบิกบาน คล้ายกลับไปเป็นผู้ที่ทระนง สง่างาม และเยือกเย็นเหมือนเช่นเมื่อคราแรก
เพียงแต่เขากับอีกาดำในอ้อมแขนกลับค่อยๆ กลายเป็นละอองแสงมายา หายไปทีละน้อยกลางฟ้าดิน จากไปเช่นนี้
ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏตัวอีก
บริเวณที่พวกเขาหายไปมีหินลับกระบี่คู่หนึ่งทิ้งไว้ตรงนั้น
เวลานี้เฉินซีประสานมือจากไกลๆ “ลาก่อน!”
ส่วนหลินสวินเดินเข้าไปเก็บหินลับกระบี่คู่นั้น
‘เก็บเป็นที่ระลึก… ก็ไม่รู้ว่าเมื่อผู้อาวุโสมือกระบี่ผู้นั้นรู้ว่าเจ้าร่วงหล่นที่นี่ จะดีใจหรือเสียดายแทนเจ้า…’
หลินสวินพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ขณะพูดซย่าจื้อก็พุ่งเข้ามาแล้ว กอดหลินสวินไว้แน่น
บนใบหน้างดงามไร้ที่ติเจือความโล่งใจและยินดีจากส่วนลึกของหัวใจ
ห่างออกไปโพธิและเฉินหลินคงเห็นเช่นนี้ต่างยิ้มอยู่เงียบๆ
เวลานี้ความเงียบชนะเสียงใดๆ
……
วันนี้ การประชันหมากแห่งยุคที่รอคอยมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุดปิดม่านลงแล้ว
จักจั่นทอง เจ้าลัทธิไท่ซ่าง และไท่ชู ล้วนสิ้นชีพลงที่นี่ หายไปจากโลกนี้
จอมมรรคชะตาสวรรค์ทั้งเก้า เทียนอูและซื่อที่ซ่อนอยู่ในโลกหม่นมัว ล้วนถูกเฉินซีพาตัวเข้าสู่วัฏจักรนิรันดร์
ในวันนี้ หลินสวินที่ใช้วิธี ‘เมื่อตายจึงเกิด นิพพานแล้วเกิดใหม่’ ทะลวงระดับ ก้าวสู่มรรคาชีวิตตามความหมายอย่างแท้จริง ควบรวมต้นกำเนิดจตุโบราณสถานในร่างเดียว หยั่งถึงนัยเร้นลับแกนหลักของยุคแรกกำเนิด
……
ไม่กี่วันหลังจากนั้น
แดนเทพมากเร้น
หลินสวินที่กำลังดื่มสุรากับเฉินซีจู่ๆ ก็นิ่งไป เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านอยากฟังเรื่องหนึ่งหรือไม่”
เฉินซีเอ่ยด้วยความสนใจยิ่ง “เกี่ยวกับใครหรือ”
“จักจั่นทองตัวหนึ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเขา…”
เมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้
นานถึงขึ้นที่เป็นเวลาที่ยุคแรกกำเนิดนี้เพิ่งจะก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่าง มีจักจั่นทองข้ามห้วงอวกาศไร้ขอบเขต กระพือปีกบินสู่ยุคแรกกำเนิดนี้
มันกำลังเสาะแสวงมรรค
เสาะแสวงมหามรรคไร้เทียมทานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและวาสนา
มันล้มลุกคลุกคลาน ทะลวงผ่านกลางไอแรกกำเนิดขุ่นมัว ในที่สุดก็มาถึงหน้าต้นชีวิตอัศจรรย์ ฟุบนอนอยู่ตรงนั้น สัมผัสการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้ต้นนี้เงียบๆ
ฟุบนอนอยู่เช่นนี้จนผ่าไปแล้วไม่กี่กาลเวลา
ต้นไม้ต้นนี้ได้เป็นประจักษ์พยานในกระบวนการสร้างจตุโบราณสถานจากความว่างเปล่า ได้เป็นพยานมองดูโลกยุคสมัยที่วิวัฒน์จากสภาพโครงร่างเป็นสมบูรณ์ เป็นพยานมองดูอารยธรรมยุคสมัยแห่งแล้วแห่งเล่ารุ่งเรืองและเสื่อมโทรมสับเปลี่ยน…
และจักจั่นทองตัวนี้ ก็เป็นพยานที่มองดูการเปลี่ยนแปลงและเติบโตของต้นไม้ต้นนี้
ในที่สุดวันหนึ่งจักจั่นทองก็สัมผัสถึงนัยเร้นลับของนิพพานแล้ว ทำให้มันดีใจหาใดเปรียบ ยอมรับว่านี่เป็นวาสนาที่มันแสวงหาอย่างยากลำบาก สามารถแก้ไขปัญหาคอขวดและภัยแฝงบนมรรคาของมันได้
ทว่าก็เป็นเวลานี้ที่พิบัติเคราะห์มาเยือน ทำลายกิ่งใบของต้นชีวิตอัศจรรย์ต้นนี้ และทำลายมรรคแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงบนต้นไม้ต้นนี้เช่นกัน
ทำให้ต้นกำเนิดนิพพานนั่นถูกโจมตีอย่างรุนแรงไปด้วย
ชั่วขณะที่พิบัติเคราะห์มาเยือนจักจั่นทองหนีออกไปก่อนแล้ว และได้แต่มองทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตาปริบๆ ในใจเจ็บปวดสุดแสน
วาสนาครั้งนี้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่กลับคลาดกันไปเช่นนี้ กาลเวลายาวนานที่รอคอยมา ความทุ่มเททั้งหมดที่เสียไปล้วนสูญเปล่า
ไม่มีใครรู้ว่าจักจั่นทองมาถึงยุคแรกกำเนิดนี้ เป้าหมายที่แสวงหามรรคแห่งชีวิตและวาสนา ก็เพื่อสลายภัยแฝงในสภาวะจิตของเขา
ทว่าภัยแฝงนี้กลับปะทุยามเห็นต้นชีวิตอัศจรรย์นั่นพบเจอพิบัติเคราะห์
หนึ่งร่างของเขากลับมีวิญญาณแยกกันสามสาย หนึ่งกลายเป็นไท่ชู (แรกปฐม) ยึดมั่นในมรรคที่หาญกล้าและมุ่งมั่น
อีกหนึ่งกลายเป็นไท่ซ่าง (สูงสุด) ยึดมั่นในมรรคลืมอารมณ์สูงสุด
ส่วนอีกหนึ่งกลายเป็นจักจั่นทอง ยึดมั่นในเจตนารมณ์ของตน
…ฟังเรื่องนี้จบ เฉินซีดื่มสุราจอกหนึ่งแล้วเอ่ย “กล่าวเช่นนี้ นอกยุคแรกกำเนิดนี้ยังมียุคแรกกำเนิดอื่นๆ หรือ”
“เป็นเช่นนั้น”
หลินสวินกล่าว “ทว่ามีเพียงก้าวสู่มรรคแห่งชีวิต จึงจะสามารถไปจากยุคแรกกำเนิดนี้ได้”
“เช่นนั้นตอนแรกจักจั่นทองมาได้อย่างไร”
เฉินซีถาม
หลินสวินกล่าว “ยามมาเยือนยุคแรกกำเนิดนี้ ร่างต้นของเขา ไท่ชูและไท่ซ่างได้ก้าวสู่มรรคแห่งชีวิตแล้ว เพียงแต่มรรคาของเขาเกิดปัญหา สภาวะจิตก็เกิดปัญหา ถึงได้เสาะหาวิธีแก้ไขอย่างยากลำบาก”
เฉินซีพยักหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ย “มิน่าไท่ชู ไท่ซ่างและจักจั่นทองล้วนมีมรรคาของตน มีความยึดมั่นของตน ความรู้ความเข้าใจระหว่างพวกเขาถึงขั้นเกิดความขัดแย้งต่อกันอย่างยิ่งใหญ่ นี่เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นภัยแฝงถึงชีวิตในสภาวะจิตของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม”
“ไม่ผิด มีเพียงผู้อาวุโสจักจั่นทองที่รักษาจิตตั้งต้นของร่างต้นของเขาไว้ได้ น่าเสียดาย เพราะวาสนาในมรรควิถี ทำให้หลังจากนั้นเวลามากกว่าครึ่งล้วนตกอยู่ในสภาวะเลื่อนลอยสับสน…”
หลินสวินกล่าว “สาเหตุก็อยู่ที่ร่างต้นของเขาคือจักจั่น”
“เห็ดเช้าไม่รู้จักยามค่ำ จิ้งหรีดจักจั่นไม่รู้จักวสันต์สารท ในโลกจักจั่นปรากฏตัวเพียงฤดูร้อน ไม่อาจเห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หากมรรคของจักจั่นทองเป็นเช่นนี้ นี่ก็จะเป็นจุดบกพร่องในชีวิตของเขา” เฉินซีเอ่ยอย่างกระจ่าง
“เป็นเช่นนั้น” หลินสวินกล่าว “นี่ก็คือเหตุผลที่ในอดีตมรรควิถีของผู้อาวุโสจักจั่นทองขึ้นๆ ลงๆ แม้ในหลายยุคสมัยล้วนมีคนเคยเจอผู้อาวุโสจักจั่นทอง แต่กลับมีน้อยคนที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง”
“หากข้าเป็นจักจั่นทอง จะทำลายมรรคของไท่ชูกับไท่ซ่าง ผสานเป็นมรรคของตนเพื่อความสมบูรณ์แบบ จากนั้นไปหยั่งนิพพานอีกครั้ง เพื่อสลายภัยแฝงในสภาวะจิต”
เฉินซีกล่าวถึงตรงนี้ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “ไม่ถูก คนอย่างจักจั่นทองจะไม่รู้จักการใช้วิธีนี้แจ้งมรรคได้อย่างไร พูดได้เพียงว่า ต้นเหตุอยู่ที่สภาวะจิตแรกเริ่มของเขาต่างหาก”
หลินสวินเอ่ยทอดถอนใจ “ข้าเองก็เพิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องของผู้อาวุโสจักจั่นทอง ยามอนุมานกลิ่นอายของต้นชีวิตอัศจรรย์เมื่อครู่นี้ และเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงร่วมมือกับไท่ชูและไท่ซ่าง มาช่วงชิงพลังแห่งนิพพาน ว่ากันถึงที่สุด นี่คือความยึดติดในใจร่างต้นของเขา”
เฉินซีพยักหน้าน้อยแล้วพลันเอ่ยถาม “เช่นนั้นพิบัติเคราะห์ที่เจาะจงเล่นงานต้นชีวิตอัศจรรย์นั่นมาจากไหน”
หลินสวินกล่าวเสียงขรึม “ข้าอนุมานได้แค่รางๆ ว่าเคราะห์นี้มาจากนอกยุคแรกกำเนิดนี้ มาเพื่อเล่นงานมรรคาชีวิต หากอยากยืนยัน บางทีอาจมีเพียงยามทำให้มรรคาชีวิตกลับมาสัมบูรณ์อีกครั้งจึงจะได้เบาะแสมาบ้าง”
เฉินซีกล่าว “พูดเช่นนี้ มีเพียงหลังใช้พลังแห่งนิพพานสร้างต้นกำเนิดของต้นชีวิตอัศจรรย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง มรรคแห่งชีวิตนี้ก็จะสามารถปรากฏในยุคแรกกำเนิดนี้ได้หรือ”
“เป็นเช่นนั้น แต่อยากทำได้ถึงขั้นนั้น ด้วยพลังของข้าตอนนี้ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะสามารถสร้างต้นกำเนิดของต้นชีวิตอัศจรรย์ได้ ดังนั้นเรื่องนี้ต้องให้ผู้อาวุโสช่วยถึงจะได้”
หลินสวินว่าพลางจรดนิ้วลงไปคราหนึ่ง วงแสงที่ผสานนัยเร้นลับนิพพานสายหนึ่งปรากฏออกมา ก่อนจะพุ่งไปทางเฉินซีผ่านอากาศ
เฉินซีอึ้งไป จากนั้นยิ้มพูด “เป็นห่วงว่าข้าจะรู้สึกไม่ดีที่รับนัยเร้นลับนิพพานนี้ไว้ จึงหาเหตุผลมาทำให้ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้ใช่หรือไม่”
หลินสวินเองก็ยิ้มเช่นกัน “ผิดแล้ว ข้าเพียงอยากหาคนมาช่วยข้าแบ่งเบาภาระการสร้างมรรคแห่งชีวิตเท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้จะอยู่ที่แหล่งสถานอัศจรรย์ตลอดเวลา”
เฉินซีลูบจมูกกล่าว “ที่แท้ก็ลากข้ามาเป็นแรงงาน แต่นี่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้จริงๆ…”
เขาหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะถามว่า “คราวนี้เจ้าคิดจะไปไหน”
หลินสวินถอนหายใจยาว ยิ้มพูด “กลับบ้าน”
…………………..