บทที่ 753 ศาสตร์การอัญเชิญครั้งใหญ่

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 753 ศาสตร์การอัญเชิญครั้งใหญ่

จีเสวียนมีชื่อเสียงในสนามรบชิงโจวจากการทำลายล้างอำเภอกัวและตงหลิงอย่างรุนแรงสองเมืองติดต่อกัน ทำให้กองทัพทหารอารักขาต้าฟ่งแตกพ่าย

กองทัพอวิ๋นโจวทำศึกหลายด่าน การสู้รบในอำเภอซงซานและอำเภอหว่านผิงไม่ราบรื่นนัก มีเพียงกองทหารซึ่งนำโดยจีเสวียนเท่านั้นที่ชนะราบคาบ และยับยั้งกองกำลังของโหรขั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในกองทหารอารักขาของชิงโจวในเวลานั้น

เรื่องนี้ส่งผลกระทบมหาศาลต่อกองทัพต้าฟ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ใครบ้างจะไม่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่งอายุน้อยที่ผงาดขึ้นใหม่ผู้นี้ ถึงกับมีคนเปรียบเทียบจีเสวียนกับสวี่ชีอัน เนื่องจากทั้งสองต่างก็เป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์รุ่นใหม่

ดังนั้น หลังจากจำได้ว่าทหารม้าที่เข้าใกล้เมืองมาเพียงลำพังคือจีเสวียน ทหารอารักขาที่ด้านบนกำแพงเมืองจึงพลันรู้สึกทั้งตึงเครียด กระวนกระวาย ลนลาน หวาดหวั่น ระคนกันไปหมด

‘เขาคิดจะทำอะไรน่ะ’

‘บุกตีเมืองคนเดียวรึ’

‘ผู้ใด ผู้ใดจะหยุดเขาได้บ้าง’

ความคิดแต่ละอย่างแวบเข้ามาในหัวของทหารอารักขาชิงโจว นำมาซึ่งความตึงเครียดและหวาดหวั่น รวมถึงความสิ้นหวังรางๆ ด้วย

“จุดชนวน!”

แม่ทัพนายหนึ่งที่ยอดกำแพงเมืองตะโกน

ทว่าพลปืนใหญ่หน้าซีดเผือด ประสาทตึงเครียดราวกับไม่ได้ยิน

ใช่ว่าเขามีเจตนาขัดคำสั่ง แต่เขาประหม่าเกินไปจึงจดจ่อสมาธิทั้งหมดจนละเลยความเคลื่อนไหวรอบตัว

แม่ทัพผู้นั้นเตะพลปืนใหญ่ออกไป ขณะกำลังจะเข้าประจำการด้วยตัวเองกลับเห็นจีเสวียนหยุดลงและไม่บุกเข้ามาต่อ

จีเสวียนดึงบังเหียนก่อนมองยอดกำแพงเมืองแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า

“หยางกงอยู่ที่ใด ให้เขาออกมาพบข้า”

น้ำเสียงราบเรียบ หากเสียงกลับเข้าหูทหารอารักขาทุกนายได้อย่างชัดเจน

โจวมี่ อดีตผู้บัญชาการชิงโจวกดด้ามดาบลง เขายืนบนกำแพงปีกกาแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า

“มีอะไรก็ว่ามา!”

จีเสวียนดึงมีดเล่มเล็กออกจากเอวแล้วถือเล่นในมือ ราวกับไม่เห็นโจวมี่ในสายตา

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้า”

อย่างไรเสียโจวมี่ก็เป็นอดีตผู้บัญชาการชิงโจวซึ่งเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด ไฉนเลยจะเคยถูกคนหยามหมิ่นเช่นนี้

เคราะห์ดีที่เป็นขุนนางมาหลายปี นิสัยใจร้อนของจอมยุทธ์ได้รับการขัดเกลาลงไปไม่น้อย หลังสูดหายใจลึกจึงหันไปเอ่ยกับรองแม่ทัพว่า

“ไปเชิญสมุหเทศาภิบาลหยาง”

ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้โจมตีเมืองทันทีก็นับเป็นเรื่องดี จึงยอมรับฟังสิ่งที่เขาพูด

รองแม่ทัพเหลือบมองจีเสวียนซึ่งอยู่ในระยะไกลด้วยความหวาดหวั่นเหลือคณา ก่อนรับคำสั่งและจากไป

ครู่หนึ่ง หยางกงในชุดขุนนางสีแดงก็ขึ้นมายังยอดกำแพง

“สมุหเทศาภิบาลหยาง…” โจวมี่เข้าไปต้อนรับพลางเอ่ยส่งกระแสจิตว่า

“ทัพกบฏอวิ๋นโจวรวมตัวใหญ่ ทหารใกล้มาถึงเมืองแล้ว สถานการณ์วันนี้เกรงจะน่าเป็นห่วง”

เมื่อสูญเสียท่านโหราจารย์ในการตรึงกำลังผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจว แล้วสวินโจวจะต้านทานการกัดกินของกองทัพกบฏได้อย่างไร

เหตุผลที่โจวมี่เลือกส่งกระแสจิตเพราะไม่อยากสั่นคลอนขวัญกำลังใจกองทัพ แม้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารอารักขาจะมีไม่มากอยู่แล้วก็ตาม

หยางกงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเดินถึงข้างกำแพงปีกกาจึงเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ข้าคือหยางกง”

จีเสวียนถึงได้หยุดเล่นมีดสั้น ก่อนกวาดตามองบรรดาทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองแล้วเอ่ยเสียงดังว่า

“สองกองทัพทำศึกมิอาจสังหารทูต

“คณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงมาเจรจาสงบศึก และได้ประสบกับการรัฐประหารโดยสวี่ชีอันและองค์หญิงใหญ่ สองหญิงชายเดรัจฉานนี้สมรู้ร่วมคิดในการล้มล้างอำนาจจักรพรรดิและส่งคณะทูตอวิ๋นโจวของเราเข้าคุก พวกเจ้าในฐานะทหารต้าฟ่ง ไม่รู้เรื่องอีกด้านของจักรพรรดิก็แล้วไปเถอะ แต่อานุภาพราชวงศ์อวิ๋นโจวของข้ากลับมิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย”

เขาชะงักครู่หนึ่ง สายตาสืบเสาะไปบนยอดกำแพงเมืองชั่วขณะแล้วเอ่ยว่า

“สวี่ซินเหนียนญาติผู้น้องของสวี่ชีอันอยู่ที่สวินโจว หากส่งคนผู้นี้ออกมาโดยเร็ว ข้าจะละเว้นพวกเจ้า หาไม่แล้ว วันนี้จะถล่มสวินโจวให้ราบคาบ ให้พวกเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน”

พูดจบ มีดสั้นในมือจีเสวียนก็ระเบิดเป็นลำแสงสูงเสียดฟ้า เขาตวัดมีดสั้นให้ลำแสงโค้งพุ่งออกมาเฉือนพื้นดินเป็นหุบเหวลึก ก่อนฟันกำแพงเมืองเสียงดัง ‘โครม’

‘แคร่ก แคร่ก’…กำแพงเมืองอันแข็งแกร่งแตกร้าวราวกับใยแมงมุม ขณะเดียวกับที่ทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองรู้สึกถึงความสั่นไหวใต้ฝ่าเท้า

เหิมเกริมอะไรเช่นนี้!

แม่ทัพในกองทหารอารักขาทั้งโกรธทั้งกลัว แต่กลับไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้

ความเหิมเกริมของอีกฝ่ายมิใช่เรื่องเท็จ ความแข็งแกร่งทรงพลังก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

ผู้ที่สามารถรับมือกับจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้ก็มีแต่จอมยุทธ์เหนือมนุษย์เท่านั้น

แม้เหล่าแม่ทัพจะโกรธได้ แต่ทหารธรรมดาต่างมิกล้าแม้แต่จะมีอารมณ์โกรธ ในใจของแต่ละคนสั่นสะท้าน ความเย็นยะเยือกไหลวาบผ่านกระดูกสันหลัง

ด้วยอานุภาพของมีดนี้ หากฟันลงบนยอดกำแพงเมืองหรือบนตัวพวกเขาแล้ว แม้มีสิบชีวิตก็ไม่พอ ไม่ว่าจะใช้คนจำนวนเท่าไรก็ไม่เพียงพอที่จะสังหารคนหนุ่มผู้น่ากลัวเช่นนี้

“บัดนี้เจ้าเด็กนี่พูดจาบ้าดีเดือดถึงเพียงนี้เชียว”

เหมียวโหย่วฟางกระชับด้ามดาบและเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ตอนนั้นที่เมืองยงโจว ฆ้องเงินสวี่คนเดียวจัดการพวกเขาเสียขวัญหนีดีฝ่อ ยามนี้เมื่อภูเขาไร้พยัคฆ์ วานรจึงถูกเรียกเป็นเจ้าป่า”

เหมียวโหย่วฟางและจีเสวียนนั้นมีความแค้นต่อกัน

เมื่อครั้งที่ปราณมังกรยังอยู่ในร่างกาย เขาถูกกลุ่มของจีเสวียนไล่สังหารตั้งแต่ชิงโจวจนถึงยงโจว จากนั้นก็ถูกจับได้ที่หอนางโลม

หากไม่เพราะต่อมาได้พบกับฆ้องเงินสวี่ เขาเหมียวโหย่วฟางไฉนเลยจะมีวันนี้

สวี่ซินเหนียนโน้มเอวลดศีรษะลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพื่อไม่ให้จีเสวียนเห็นตนเอง

“เจ้าก็รู้นี่ว่าเป็นเรื่องของตอนนั้น ตอนนี้จีเสวียนผู้นี้ก็เป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์แล้วเช่นกัน”

โม่ซางเอ่ยเสียงฮึดฮัดว่า

“บิดาข้าคว่ำเขาได้ด้วยมือข้างเดียว”

พื้นที่ด้านหลัง ในค่ายทหารกองทัพอวิ๋นโจว เก่อเหวินเซวียนถือกล้องส่องทางไกลตาเดียวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมือง ก่อนยิ้มอย่างอดไม่ได้

“คุณชายจีเสวียนช่างเป็นผู้สร้างชื่อในสงครามเดียวจริงๆ

“หนึ่งคนหนึ่งม้า ทำให้ทหารอารักขาต้าฟ่งตกใจจนเงียบราวจักจั่นในฤดูหนาว คิดแล้วการพิชิตที่ราบลุ่มภาคกลางถือเป็นการทิ้งชื่อในตำราประวัติศาสตร์ทีเดียว”

แม่ทัพระดับสูงแต่ละกองพันต่างมีกล้องส่องทางไกลตาเดียวในมือคนละตัว และกำลังเฝ้ามองกำแพงเมืองสวินโจวอย่างใกล้ชิด

หลังจากฟาดมีดออกไปครั้งหนึ่งแล้ว จีเสวียนจึงกวาดตาผ่านยอดกำแพงเมืองอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนองจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอ่ยว่า

“ทำไม หลังจากสตรีขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว พวกเจ้าก็กลายเป็นแม่หญิงไปเลยรึ”

“หยุดเพ้อได้แล้ว! ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้มีคุณธรรม มีคุณูปการต่อสังคมและราษฎร แม้พวกข้าจะต้องสู้จนตัวตายก็ไม่ยอมให้เจ้าได้สมปรารถนา”

แม่ทัพนายหนึ่งบนยอดกำแพงตะโกนเสียงดัง

จีเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สะบัดข้อมือพุ่งมีดสั้นออกไป

แม่ทัพผู้นั้นมีตบะไม่อ่อนด้อย จึงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะเข้ามาและกระโจนไปด้านข้าง

‘โครม!’

ยอดกำแพงเมืองบริเวณนั้นระเบิดเป็นช่องโหว่ เศษหินกระจัดกระจายไปทั่ว

แม่ทัพผู้นั้นหลบหลีกจากมีดอันน่ากลัวนี้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บจากผลที่ตามมาจนล้มกองกับพื้น

“ไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย ลุกขึ้นยืนอีกสิ” จีหย่วนไม่หยุดปาก

ทหารอารักขาต้าฟ่งมิอาจเอ่ยวาจาจากความโกรธ ได้แต่กำอาวุธพลางกัดฟันแน่นด้วยความอัดอั้น

เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนรอดทหารอารักขาก็ไม่ยินยอมให้ความร่วมมือ จีเสวียนจึงชักดาบคาดเอวออกมาอย่างไร้อารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาฉาบด้วยรอยยิ้มหยัน

“ดูท่าคงไม่ยอมรับเจตนาดีของข้า เช่นนั้นวันนี้ จีเสวียนผู้นี้จะถล่มเมืองและมอบเป็นของแสดงความยินดีในการขึ้นครองบัลลังก์แด่จักรพรรดินีของพวกเจ้า”

หากไม่คิดว่าอาจจะเผลอขยี้สวี่ซินเหนียนตายเหมือนแมลงตัวหนึ่ง เขาคงไม่มาเปลืองน้ำลายอยู่หรอก

เมื่อดาบยาวออกจากฝัก อานุภาพความกดดันของจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ก็ถูกปลดปล่อย มาถาโถมจิตใจทหารอารักขาทุกคนที่อยู่บนยอดกำแพงเมืองราวกับกระแสน้ำในมหานที ประหนึ่งภูผาถล่ม

ทำให้ทหารอารักขาธรรมดาๆ รู้สึกราวถึงวันสิ้นโลกและสูญสิ้นความกล้าที่จะต่อสู้

หยางกงกำลังจะสำแดงวรยุทธ์ขงจื๊อเพื่อปลุก ‘จิตวิญญาณนักรบ’ และช่วยทหารอารักขาให้หลุดพ้นจากพลังกดข่มของจอมยุทธ์ขั้นสาม

ในขณะที่จิตใจของทหารบนยอดกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้น ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็แปรปรวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อนก่อตัวเป็นใบหน้าขนาดมหึมากำลังก้มมองสวินโจว ก้มมองจีเสวียนที่ตัวเล็กราวกับมด

“แค่ระดับสามก็กล้าคุยโวไม่อายฟ้าดินแล้ว!”

เสียงทุ้มต่ำและน่าเกรงขามดังมาจากเหนือสวรรค์ทั้งเก้า

ใบหน้าซึ่งเกิดจากการควบแน่นของก้อนเมฆนั้น ทหารอารักขาจำนวนไม่น้อยในที่นี้ต่างรู้จักดี

ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอัน

เมืองชิงโจว

ณ ภัตตาคารซึ่งอยู่ห่างจากสำนักตุลาการความมั่นคงไปสองถนน ฉู่หยวนเจิ่นยืนข้างหน้าต่าง กำลังก้มมองถนนสายหลักซึ่งมีผู้คนสัญจรไม่มากนัก

“เมื่อครั้งที่ข้ามาเยือนชิงโจว สถานที่นี้เต็มไปด้วยดอกไม้ ชาวบ้านอยู่อาศัยทำมาหากินกันอย่างสงบสุข คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปีจะซบเซาลงถึงเพียงนี้” ฉู่หยวนเจิ่นถือแก้วสุราพลางเอ่ยอย่างถอนถอดใจ

เมืองชิงโจวกลายมาเป็นเช่นนี้ มีสภาพกึ่งหายนะกึ่งวุ่นวายจากสงคราม

อันที่จริงแล้วเมืองชิงโจวยังนับว่าดี หลังจากกองทัพอวิ๋นโจวบุกยึดเมืองนี้ได้ก็เคยปล้นทรัพย์สินชาวบ้านไปเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็มิได้ทำการปล้นสะดมอีก

หากนำเงินและเสบียงที่ฉกชิงมาจากชาวบ้านไปบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คน นำจากประชาชนไปใช้กับประชาชน ทั้งยังได้รับคลื่นแห่งการสรรเสริญขอบคุณอีกด้วย

หลี่หลิงซู่ถามว่า

“พี่หยาง เฮยเหลียนยังอยู่ในที่ทำการปกครองหรือไม่”

ฉู่หยวนเจิ่นถอยไปด้านข้างหนึ่งก้าวเพื่อให้มีที่ว่าง”

หยางเชียนฮ่วนก้าวมายังข้างหน้าต่างแล้วหันหลังให้ทุกคน ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายภายใต้หมวกที่มีผ้าคลุม หลังจากจ้องมองอย่างรอบคอบแล้วจึงหลับตาลง น้ำตาอุ่นๆ ไหลพรากเป็นสองสาย

“ยังอยู่!”

ในฐานะโหรขั้นสี่ การเฝ้าดูชะตากรรมของผู้แข็งแกร่งขั้นสองนั้นหลีกเลี่ยงการถูกย้อนตลบหลังได้ยาก

หยางเชียนฮ่วนจึงสูญเสียการมองเห็นไปครึ่งเค่อ

พวกเขาโชคดีอย่างยิ่ง หลังจากที่ซุ่มอยู่ชิงโจวไม่นานก็พบการรวมตัวอย่างมีนัยสำคัญของทัพกบฏอวิ๋นโจวเพื่อเตรียมบุกเข้ายงโจว

ทว่าเฮยเหลียนอยู่ที่สำนักตุลาการความมั่นคง ไม่ได้เดินทางไปกับกองทัพ

ซึ่งนี่ทำให้พรรคฟ้าดินได้มีโอกาสแยกตัวออกมาลำพัง

สมาชิกพรรคฟ้าดินพักที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ สำนักตุลาการความมั่นคง และนิ่งอยู่ชั่วคราวพร้อมรอข่าวของสวี่ชีอัน

หากสวี่ผิงเฟิงและเจียหลัวซู่ปรากฏตัวที่ยงโจว เช่นนั้นพวกเขาก็จะโจมตีและสังหารเฮยเหลียนทันที

หาไม่แล้วก็จะแฝงตัวต่อไป หรือไม่ก็ยกเลิกแผนการ

แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนคิดว่าความเป็นไปได้อย่างหลังมีน้อย เนื่องจากกองทัพอวิ๋นโจวเป็นฐานหลักของสวี่ผิงเฟิง เขาไม่มีทางไม่เดินทางพร้อมกองทัพ มิเช่นนั้นเมื่อพบกับสวี่ชีอันหรือผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ของต้าฟ่งในวันใดวันหนึ่ง

กองทัพใหญ่จะถูกทำลายอย่างแน่นอน

ตรงกันข้าม การที่เจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงออกเดินทางพร้อมกองทัพ และทิ้งเฮยเหลียนผู้อ่อนแอไร้กำลังไว้ที่ชิงโจวเพื่อจัดการคนข้างหลังนั้น เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลกว่า

“อีกเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ ไม่รู้ว่าไป๋ตี้ไปไหน” อาซูหลัวซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเอ่ยเตือน

“เมืองชิงโจวไม่มีขั้นหนึ่ง” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเรียบๆ โดยหันหลังให้ทุกคน

“หลังจากท่านโหราจารย์ถูกปิดผนึก ไป๋ตี้ก็ไม่ปรากฏตัวอีก” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสริม

เขาเคยฝันถึงแม่ทัพสองสามคนของกองทัพอวิ๋นโจว และประหลาดใจที่ได้พบว่า หลังยึดชิงโจวได้แล้ว พวกเขาก็ไม่เห็นไป๋ตี้อีกเลย

ขณะกำลังสนทนา ทุกคนก็รู้สึกใจสั่นระลอกหนึ่ง เมื่อหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอย่างเป็นอันรู้กัน จึงเห็นข้อความของสวี่ชีอัน

หมายเลขสาม ‘ลงมือได้!’

“ฆ้องเงินสวี่ เป็นฆ้องเงินสวี่!”

“ข้าเคยพบฆ้องเงินสวี่ เป็นเขาไม่ผิดแน่”

บนยอดกำแพงเมือง ทหารอารักขาต้าฟ่งเงยหน้ามองใบหน้าที่ก่อตัวขึ้นจากเมฆขาวบนท้องฟ้าและร้องออกมาด้วยความประหลาดใจระคนยินดี

“เป็นฆ้องเงินสวี่จริงๆ รึ”

“มารดาเจ้าเถอะ พวกเจ้าอย่ามาโกหก!”

ทหารที่ไม่เคยเห็นใบหน้าแท้จริงของสวี่ชีอันจี้ถามด้วยความเร่งร้อนและกังวล

“เป็นเขา ไม่ผิดแน่ นอกจากฆ้องเงินสวี่แล้ว พวกเรายังมีใครเก่งกาจเพียงนี้อีกเล่า”

“ก็จริง…ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นทั่วยอดกำแพงเมือง ความปลาบปลื้มยินดีปรากฏบนใบหน้าทหารแต่ละนาย แทนที่ความตึงเครียดและสิ้นหวังก่อนหน้านี้

ราวกับฝูงสุนัขป่าได้ผู้นำ กองทัพอันโดดเดี่ยวมีที่พึ่งแล้ว

ขวัญกำลังใจที่ตกต่ำเสื่อมถอยอันตรธานไปสิ้น

เมื่อฆ้องเงินสวี่ปรากฏตัวในสนามรบ พวกเขาก็วางใจแล้ว แม้จะสู้จนตัวตายก็ไม่รู้สึกว่าไร้ความหมาย

หยางกงพ่นลมหายใจออก อืม ศิษย์ของเขามาแล้ว

เหมียวโหย่วฟางราวกับยกภูเขาออกจากอก ดวงตาทั้งคู่แดงขึ้นด้วยความฮึกเหิม

“เขามาแล้ว ข้ารู้ว่าเขาต้องมาแน่”

พูดจบ เหมียวโหย่วฟางก็ชักดาบยาวออกแล้วชูขึ้นสูง พร้อมคำรามว่า

“สาบานด้วยชีวิตว่าจะติดตามฆ้องเงินสวี่ ปกป้องสวินโจว ปกป้องยงโจว”

ทันทีที่เขาเป็นผู้นำก็ชักนำให้เกิดผลพวงเป็นลูกโซ่ ทหารบนยอดกำแพงเมืองต่างชักดาบ ชูหอก แล้วร้องตะโกน

“สาบานด้วยชีวิตว่าจะติดตามฆ้องเงินสวี่”

“ปกป้องสวินโจว”

“ปกป้องยงโจว”

สวี่ซินเหนียนมองไปรอบๆ ด้วยจิตใจล่องลอยแล้วพึมพำว่า

“นี่คือศรัทธาที่พี่ใหญ่ได้รับจากต้าฟ่งในยามนี้ ศรัทธาซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน”

ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนราวภูผาและคลื่นสมุทร สวี่ชีอันผ่านทะลุชั้นเมฆและลงสู่พื้นประหนึ่งดาวตก

‘โครม!’

ผืนดินพลันทรุดตัวเป็นหลุมลึก กองทัพอวิ๋นโจวซึ่งอยู่ห่างไปห้าลี้รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน

เวลานี้ จีเสวียนได้ถอยออกไปร้อยกว่าจั้งแล้ว ทิ้งม้าศึกซึ่งตกใจตายคาที่ เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดไว้ตัวหนึ่ง

เวลานั้นเอง จู่ๆ ทางด้านกองทัพอวิ๋นโจวก็ปรากฏสถาพการณ์ประหลาด ร่างธรรมสูงตระหง่านสองร่างปรากฏนูนขึ้น

ร่างธรรมด้านซ้ายสูงหกจั้ง ประหนึ่งหลอมจากทองคำ กล้ามเนื้อเป็นมัด แขนสิบสองคู่ด้านหลังกางออกเป็นรูปพัด วงแหวนแห่งไฟลุกโชนอยู่ด้านหลังศีรษะ

ราวกับเป็นร่างจำแลงของพลังและเปลวเพลิง ทันทีที่ปรากฏ อุณหภูมิที่สูงอยู่ก็พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วและเข้าสู่ฤดูร้อนอันแผดเผา อำนาจคุกคามขยายตัวตามคลื่นอากาศและพัดโหมไปทุกทิศทาง

เบื้องขวาเป็นร่างธรรมสีทองอ่อนๆ นั่งขัดสมาธิ ก้มหน้า สองมือประนม เป็นสัญลักษณ์แห่งความหนักแน่นของขุนเขา พื้นที่ว่างโดยรอบแข็งนิ่ง ไม่มีแม้แต่ลมพัด

ระหว่างร่างธรรมทั้งสอง มีพระโพธิสัตว์ร่างสูงใหญ่กำยำยืนก้มมองด้วยความเฉยเมย

อีกด้านหนึ่ง ร่างของโหรชุดขาวก็พลันปรากฏพร้อมย่ำเท้าเป็นวงกลม ชุดขาวกว่าหิมะ

ขบวนวงกลมหมุนวนช้าๆ พลังของสายฟ้า ลม ไฟ น้ำ ดิน โลหะ ไม้ และอื่นๆ ล้อมรอบและหมุนวนรอบเขาด้วยอำนาจอันทรงพลัง

โหรชุดขาวราวกับไม่พอใจความกำเริบเสิบสานของสวี่ชีอัน จึงตั้งใจจะหยุดยั้งเขา

จีเสวียนอยู่ด้านหน้า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อยู่ทางซ้าย สวี่ผิงเฟิงอยู่ทางขวา พวกเขากำลังร่วมมือแบ่งกำลังซึ่งกันและกันเพื่อเผชิญหน้ากับสวี่ชีอันผู้โดดเดี่ยว

เสียงตะโกนร้องของทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองเงียบลงฉับพลัน ร่างธรรมทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นเทิ้ม

“รอเจ้ามานานมากแล้ว!”

จีเสวียนแสยะปากยิ้มพลางว่า

“ได้ยินว่าเจ้าสนับสนุนให้สตรีผู้หนึ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิ คนไม่น้อยพูดว่าเจ้าเดินถึงทางตันจึงหันไปพึ่งชัยภูมิอันได้เปรียบ ข้าก็คิดเช่นนั้น

“ท่านโหราจารย์ทิ้งทางถอยไว้ให้เจ้า ถึงคราวที่ควรใช้ก็ใช้เสียเถอะ เมื่อถึงเวลาที่พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และราชครูลงมือ เจ้าก็ไม่มีกระทั่งโอกาสจะใช้แล้ว”

สำหรับเขาแล้ว การล้อมเมืองครั้งนี้เพื่อจะสังหารและจับคน กุมญาติผู้น้องของสวี่ชีอันไว้ในฝ่ามือ จะได้ไม่กลัวว่าเขาจะไม่แลกเปลี่ยนตัวประกัน

สำหรับราชครู เป็นการหยั่งเชิงล่องูออกจากถ้ำ คิดว่าราชครูก็อยากรู้ว่า ที่สุดแล้วสวี่ชีอันมั่นใจแค่ไหนที่จะกล้าใส่ไข่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียว

เวลานั้นเอง ได้ปรากฏลำแสงหนึ่งขึ้นด้านหลังสวี่ชีอัน และกลายเป็นร่างซุนเสวียนจีในชุดสีขาวพริ้วไหว

ศิษย์พี่ซุนร่างสูง หน้าตาและนิสัยใจคออยู่ในระดับปานกลาง เขามองเจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงอย่างหยั่งลึก แล้วจู่ๆ ก็คำรามด้วยน้ำเสียงดุดัน

“มา!”

ก่อนยกเท้าแล้วกระทืบอย่างหนักหน่วง

ทันใดนั้นค่ายกลส่งตัวก็ส่องแสง ท่ามกลางแสงจ้า ร่างคนผู้หนึ่งจึงปรากฏขึ้น ผมขาวทั้งศีรษะราวกับหิมะ สวมชุดธรรมดาสามัญ และยืนเอามือไพล่หลังพร้อมเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ โค่วหยางโจว!”

อีกร่างหนึ่งปรากฏตัวกลางค่ายกล สวมเสื้อคลุมขนนก สวมมงกุฎดอกบัวบนศีรษะ หว่างคิ้วแต้มชาด หน้าตาสวยสดงดงาม ในมือถือดาบเหล็กขึ้นสนิม

“นิกายมนุษย์ ลั่วอวี้เหิง!”

ร่างที่สามปรากฏตัวพร้อมมงกุฎแห่งปราชญ์เอกบนศีรษะ สวมเสื้อขงจื๊อ มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือวางที่ท้องน้อย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า

“ลัทธิขงจื๊อ จ้าวโส่ว!”

ร่างแล้วร่างเล่าปรากฏตัวขึ้นจากการเรียกของค่ายกลส่งตัว

“ฆ้องทองคำหยางเยี่ยน”

“เจียงลวี่จง”

“จางไคไท่”

“เฉินอิง”

“เฉาชิงหยาง”

“เซียวเยว่หนู”

“ไต้จง”

“เฉียวเวิง”

“ฟู่จิงเหมิน”

“…”

ขั้นสี่เกือบสามสิบรายชื่อปรากฏขึ้นกลางค่ายกล รวมทั้งฝ่ายเก่าเว่ยเยวียน หัวหน้าเจ้าลัทธิแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ รวมถึงยอดฝีมือที่ฮว๋ายชิ่งหาทางผูกมัดใจและเรียกมา

พวกเขายืนอยู่ด้านหลังผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ และผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ก็ยืนอยู่หลังสวี่ชีอัน

จอนผมของสวี่ชีอันโบกสะบัด แขนเสื้อพัดกระพือ เขาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“รับคำสั่งจากจักรพรรดินี กวาดล้างพวกกบฏ!”

“ยอมเป็นเศษหยกที่ล้ำค่า ยังดีกว่าเป็นแผ่นกระเบื้องที่ต่ำต้อย!”

บนยอดกำแพงเมืองสวินโจว เหล่าทหารที่อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลนับตั้งแต่เสียชิงโจวต่างมีน้ำตาร้อนๆ รื้นคลอหน่วยทันที

ผู้ใดว่าต้าฟ่งไม่มีใคร

……………………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท