สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 795 ขุนพลหาญกล้าทั้งสาม

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 795 ขุนพลหาญกล้าทั้งสาม

หูหยางพลันฉงน “ไม่สิ เจ้าฟังไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ท่านชายใหญ่หันไม่อยู่แล้ว! ยามนี้ค่ายทหารเป็นถิ่นของใต้เท้าเซียวแล้ว! ใต้เท้าเซียวให้ความสำคัญกับคน รับตำแหน่งวันแรกก็สนับสนุนเจ้าเลยนะ! เจ้าอย่าไม่รู้จักดีชั่วสิ ข้าจะบอกให้!”

เหวินเหรินชงเอ่ย “บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ”

“เอ๊ะ! เจ้านี่นะ!” หูหยางเท้าเอว กำลังจะยกนิ้วขึ้นชี้เขา จู่ๆ นายทหารท่าทางเด็ดขาดคนหนึ่งก็เดินมาจากด้านหลัง “เหล่าชง! ชุดเกราะของข้าซ่อมเสร็จหรือยัง!”

เหวินเหรินชงไม่เหลือบตาขึ้นสักนิด ทำเพียงยกมือขึ้นชี้ผนังด้านหลังฝั่งซ้าย “เสร็จแล้ว อยู่บนราวที่สามนั่น หยิบเอาเอง”

นายทหารเบียดหูหยางให้หลบ

หูหยางเป็นที่ปรึกษาเพียงในนาม ความจริงนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในค่ายทหารเลย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนก่อนของตระกูลหันไม่ต้องใช้ที่ปรึกษา พวกเขามีที่ปรึกษาของตัวเอง

หากจะพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ที่ปรึกษาอย่างเขาเป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งเท่านั้น แค่ขอข้าวในค่ายกินไปวันๆ

หูหยางซวนเซ คว้าผนังพยุงตัวไว้จึงยืนได้มั่นคง

เขาถลึงตาใส่ทหารคนนั้นอย่างแรง กัดฟันพึมพำเสียงเบา “ไอ้หน้าเหม็น เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!”

ทหารหยิบชุดเกราะของตัวเองได้ ก็เดินอาดๆ จากไป ไม่มองที่ปรึกษาหูกับเหวินเหรินชงแม้แต่น้อย

ที่ปรึกษาหูยืนอยู่หน้าประตูร้านตีเหล็กได้เพียงครู่ ก็รู้สึกถึงความร้อนแผดเผาร่างจนแทบละลายอยู่รอมร่อแล้ว เขามองเหวินเหรินชงที่นั่งอยู่หน้าเตา ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้ทนไหวได้อย่างไร

ที่ปรึกษาหูยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริง “เหวินเหรินชง ตอนนั้นเจ้าเป็นคนสนิทของตระกูลเซวียนหยวน เจ้าน่าจะรู้แจ้งแก่ใจดีว่า ต่อให้ไม่ใช่ตระกูลหัน ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลอื่น เจ้าก็ไม่มีวันได้รับโอกาสที่จะได้รับความสำคัญเช่นนี้อยู่ดี เจ้าแค่จับพลัดจับผลูโชคดีมาเจอใต้เท้าเซียวของพวกเราเท่านั้น ใต้เท้าเซียวกล้าแบกรับความเสี่ยงจากตระกูลใหญ่ทั้งหมดรวมถึงฝ่าบาท เพื่อสนับสนุนคนเก่าคนแก่ของตระกูลเซวียนหยวนคนหนึ่ง เจ้าไม่หวั่นไหวบ้างเลยหรือ”

เหวินเหรินชงปะชุนชุดเกราะบนตักต่อ “ไม่”

ที่ปรึกษาหู “…”

“ข้าไปดูหน่อย” กู้เจียวเอ่ย

ในฐานะผู้บัญชาการ นางมีกระโจมเป็นของตัวเอง ภายในมีองครักษ์ของผู้บัญชาการ คล้ายๆ กับทหารชั้นสัญญาบัตรที่เป็นผู้รับใช้ส่วนตัวในชาติก่อน

กู้เจียวให้เขาเอาราชาม้าเฮยเฟิงกับราชาม้าไปร่วมการฝึกที่สนามฝึก จากนั้นก็ไปยังร้านตีเหล็กของค่ายด้วยกันกับที่ปรึกษาหู

ที่ปรึกษาหูเดิมกะว่าจะนำทางให้ ใครจะรู้ว่าเขาเดินตามกู้เจียวไม่ทันด้วยซ้ำ

“ใต้เท้า! ใต้เท้า! ใต้…” ที่ปรึกษาหูมองกู้เจียวเดินเลี้ยวขวาไปยังร้านตีเหล็กได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน เขาก็เกาหัวแกรกๆ “ใต้เท้ารู้ทางนี่นา เคยมาแล้วหรือ อ๊ะ จริงสิ ใต้เท้าเคยมาคัดเลือกที่ค่ายทหารนี่นา…ไม่สิ ลานคัดเลือกอยู่ข้างหน้า ตรงนี้เป็นค่ายทัพหลัง…ช่างเถิด ไม่สนแล้ว!”

ครั้นกู้เจียวได้เจอเหวินเหรินชง เหวินเหรินชงก็ไม่ได้ปะชุนชุดเกราะแล้ว แต่ยกค้อนตีเหล็กแทน

สายตากู้เจียวหยุดอยู่บนร่างของเขา

เนื่องจากอากาศร้อนเกินไป เขาจึงเปลือยท่อนบน เหงื่อไคลไหลอาบผิวคล้ำดำแดดของเขาดุจน้ำตก แม้จะไม่ได้เข้าร่วมการฝึกทหารมาหลายปี แต่ตีเหล็กก็เป็นงานที่ใช้แรง กล้ามเนื้อบนร่างกายเขาทุกมัดจึงกำยำล่ำสันมาก

กู้เจียวสังเกตเห็นมือขวาของเขาสวมถุงมือหนังเอาไว้

น่าจะปกปิดนิ้วที่ขาดไป

ที่ปรึกษาหูตามมาทั้งเหงื่อท่วมหน้า เขาก้มตัวลงเท้ามือสองข้างกับต้นขา หอบหายใจเฮือกใหญ่ “เหวินเหริน…เหวินเหริน…ชง…ใต้เท้าเซียว…ใต้เท้าเซียวมาหาเจ้าด้วยตัวเอง…ยังไม่รีบ…คารวะ…ใต้เท้าเซียวอีก”

เหวินเหรินชงไม่สนใจผู้บัญชาการใหม่ ยังคงไม่รู้ไม่ชี้ โบกค้อนในมือตีเหล็ก “จะซ่อมอาวุธก็วางไว้ทางซ้าย ซ่อมชุดเกราะวางไว้ทางขวา”

กู้เจียวมองชุดเกราะชำรุดที่กองเป็นภูเขาเลากาอยู่สองฟากของลานกว้างพลางถาม “ไม่ต้องลงทะเบียนรึ”

“ไม่ต้อง” เหวินเหรินชงฟาดค้อนลงอีกหน จนกระทั่งอาวุธที่เผาจนแดงเป็นประกายไฟขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กู้เจียวถาม “ชุดเกราะมากมายเพียงนี้เจ้าจำได้หมดหรือว่าเป็นของใคร”

ในที่สุดเหวินเหรินชงก็รำคาญขึ้นมาแล้ว ขมวดคิ้วหันมามองกู้เจียว “จะซ่อมหรือไม่ซ่อม ไม่ซ่อมก็อย่ามาขวาง…”

ยังเอ่ยประโยคหลังไม่ทันจบดี

แววตาเขาฉายแววเป็นประกายอย่างปิดไม่มิด ไม่คาดคิดเลยว่าผู้บัญชาการคนใหม่จะหนุ่มเพียงนี้

อายุทางการของกู้เจียวคือสิบเก้าปี แต่ความจริงนางอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดด้วยซ้ำ ดูๆ แล้วนี่มันเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมิใช่หรือ

แต่เด็กหนุ่มท่าทางชอบธรรม สงบนิ่งและใจเย็น แววตาเจือความสุขุมและหนักแน่นของวัยนี้เอาไว้

“นี่! เจ้าพูดจาประสาอะไรของเจ้าน่ะ” ที่ปรึกษาหูไม่ได้หอบหนักเท่าเมื่อครู่นี้แล้ว เขาชี้เหวินเหรินชง “จางหู่เพิ่งจะถูกลงโทษเพราะแบบนี้ไปนะ! เจ้าก็อยากจะเป็นเหมือนจางหู่รึ!”

เหวินเหรินชงหลบตาลงตีเหล็กต่อ “อย่างไรก็แล้วแต่เถิด”

“นี่…เจ้านี่มัน…” ที่ปรึกษาหูโมโหเขาไม่น้อย

ปฏิกิริยาของกู้เจียวกลับนิ่งเรียบทีเดียว นางมองเหวินเหรินชงแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาถามเจ้าใหม่”

เอ่ยจบนางก็เอาสองมือไพล่หลัง หมุนตัวจากไป

เหวินเหรินชงมองสันหลังเหยียดตรงของนาง พลางเอ่ยเสียงนิ่ง “ไม่ต้องเปลืองแรงหรอก จะถามกี่ครั้งก็เหมือนเดิม ข้าเป็นแค่คนตีเหล็ก”

กู้เจียวไม่ได้เอ่ยต่อบทสนทนา และไม่ได้หยุดฝีเท้าลง พาที่ปรึกษาหูจากไปทันที

ที่ปรึกษาหูถอดใจเอ่ย “ใต้เท้า ท่านอย่าโกรธเลยนะ เหวินเหรินชงก็นิสัยแย่เช่นนี้ล่ะ ตอนนั้นคนตระกูลหันคิดจะดึงเขามาเป็นพวก เขาก็ไม่รู้จักให้เกียรติเลย ไม่เช่นนั้นจะถูกย้ายให้มาเป็นช่างตีเหล็กที่กองทัพหนุนเช่นนี้หรือ”

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า คล้ายฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขาแล้ว ก่อนถามอีก “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าหลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิงล้วนไม่อยู่ที่ค่ายทหารแล้ว พวกเขาจากไปเมื่อใดรึ แล้วยามนี้อยู่ที่ใด”

ที่ปรึกษาหูนึกทวนความทรงจำ ไตร่ตรองคำพูดก่อนเอ่ย “พวกเขาสองคน…จากไปได้สามสี่ปีแล้วกระมัง หลี่เซินไปก่อน ไม่ถึงสองเดือนจ้าวเติงเฟิงก็ตามไป…ซ้ำเมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยเข้ากันได้เลยด้วย ส่วนยามนี้พวกเขาอยู่ที่ใดนั้น…ท่านไปพักที่กระโจมก่อน ข้าจะไปสืบถามให้ที่ลานฝึก”

“ได้” กู้เจียวกลับกระโจมตัวเอง

กระโจมกว้างไม่น้อย มีฉากบังลมวางกั้นเป็นสองห้อง ด้านนอกเป็นห้องประชุม ด้านในเป็นห้องนอนของนาง

ข้าวของตกแต่งหรูหราภายในกระโจมล้วนถูกปลดทิ้งทั้งหมด แต่ก็ยังเห็นถึงรสนิยมในค่ายทหารของคนตระกูลหันได้จากหลังคากระโจมและผนังกระโจมอยู่ดี

ตระกูลเซวียนหยวนเรียบง่ายมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะมีร้านค้าและที่นามากมายภายใต้ชื่อของตระกูล แต่เงินที่หามาได้ปกติแล้วล้วนเอามาช่วยเหลือค่ายทหารทั้งสิ้น

กู้เจียวนั่งอยู่ภายในกระโจมกว้างใหญ่ เกิดความรู้สึกคุ้นเคยของภารกิจอันหนักอึ้งขึ้นมาอย่างประหลาด

…หรือว่าข้าจะชินกับตัวตนของจิ่งยินยินได้ไวเพียงนี้เลย

“ใต้เท้า! ใต้เท้า! สืบได้ความแล้ว!” ที่ปรึกษาหูหอบแฮ่ก เข้ามาในกระโจม คำนับให้อย่างนอบน้อมพลางเอ่ย“หลี่เซิน…หลี่เซินกับจ้าวเติงเฟิง…อยู่ที่ตำบลหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองเซิ่งตูกันทั้งคู่…”

กู้เจียวถาม “ไกลเท่าใด”

ที่ปรึกษาหูปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางตอบ “ก็ไม่ได้ไกลมากเท่าใดนัก หากไปทางลัดแค่หนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็ถึงแล้ว”

รับตำแหน่งวันแรก ยังไม่ชำนาญกับหน้าที่ แต่ก็อยู่ว่างๆ … กู้เจียวเอ่ย “เจ้าไปกับข้าด้วย”

รีบร้อนเพียงนี้เชียวรึ

ที่ปรึกษาหูอึ้งไปครู่หนึ่งก็ได้สติกลับมา “ขอรับ ข้าจะไปเตรียมรถม้า”

กู้เจียวลุกขึ้นยืน คว้าหอกพู่แดงบนชั้นวางมาสะพาย “ไม่ต้อง ขี่ม้าไป”

“เอ่อ…แต่ข้า…”

ขี่ม้าไม่ค่อยเป็นน่ะ…

ราชาม้ารั้งฝึกอยู่ที่ค่ายทหารต่อ

กู้เจียวขี่ราชาม้าเฮยเฟิงแทน ที่ปรึกษาหูขี่ม้าเฮยเฟิงตัวหนึ่ง ไปยังตำบลชิวซานที่สองคนนั้นอาศัยอยู่

ตำบลชิวซานอยู่คนละทิศกับสำนักบัณฑิตเทียนฉงเลย กู้เจียวไม่เคยไปเมืองฝั่งเหนือ รู้สึกว่าที่นี่คึกคักสู้เมืองฝั่งใต้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เงียบเชียบเช่นกัน

ตำบลชิวซานมีท่าเรือขนส่งสินค้า หลี่เซินเป็นกุลีอยู่ที่นั่น

ท่าเรือมีผู้คนพลุกพล่าน บ้างเป็นลูกค้าขึ้นลงเรือ บ้างก็เป็นคนงานขายแรงงานขนย้ายสินค้า

หลี่เซินแรงเยอะ คนเดียวแบกได้สามกระสอบ คนอื่นๆ แบกกันได้แค่กระสอบเดียว

เส้นเอ็นตรงขมับเขาปูดโปด เหงื่อเม็ดโตเท่าถั่วไหลซ่กราวงกับน้ำตก หยดลงบนพื้นหินอ่อนที่ถูกแดดเผาจนภาพบิดเบี้ยว ไม่มีเสียงบ่นให้ได้ยินสักแอะ

กุลีไม่น้อยต่างเป็นไข้แดดกันแล้ว นั่งเปลี้ยหอบหายใจอยู่ใต้ร่มเงาของเพิงสินค้าอย่างหมดเรี่ยวแรง

กู้เจียวมองออกว่าหลี่เซินก็ใกล้จะไม่ไหวแล้วเช่นกัน แต่เขาฝืนกัดฟันขนสินค้าสามกระสอบเข้าไปในคลังสินค้าก่อนค่อยพัก

เขาไม่ได้พักนานเท่าใดนัก ก็เดินไปยังเรือสินค้าต่อทั้งๆ ที่เรี่ยวแรงยังไม่คืนกลับมาหมด

“หลี่เซิน!” ที่ปรึกษาหูนั่งอยู่บนหลังม้าเรียกเขาไว้

หลี่เซินหันกลับมามองที่ปรึกษาหู ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจำผิดคนแล้ว”

ที่ปรึกษาหูตีหน้าเคร่งเอ่ย “ข้าไม่ได้จำผิด! เจ้าคือหลี่เซิน!”

“หวังต้าจู้! มายกของ!” ลูกเรือบนเรือสินค้าตะโกนเรียกเขา

“มาแล้ว!” เขาวิ่งเหยาะๆ ไปทั้งเหงื่อท่วมร่าง

“นี่… เฮ้ย… หลี่เซิน… ” ที่ปรึกษาหูตะโกนอยู่สองที สุดท้ายก็เรียกเขาไว้ไม่ได้

กู้เจียวนั่งอยู่บนหลังม้า ทอดมองไปทางหลี่เซินไม่เอ่ยคำใด “ตอนนั้นเกิดอะไรกับเขา”

ที่ปรึกษาหูเอ่ย “ใต้เท้าอยากถามว่าเหตุใดเขาจึงเกษียณน่ะหรือ เหมือนจะได้ยินว่าเกิดเรื่องที่บ้านเขา น้องชายเขาเสียชีวิต น้องสะใภ้หอบลูกไปแต่งงานใหม่ เหลือเพียงมารดาสูงวัยคนเดียว เขาจึงเกษียณออกจากทหารเพื่อดูแลมารดา แต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเขาต้องเปลี่ยนแม้แต่ชื่อด้วยเล่า”

“จ้าวเติงเฟิงอยู่ที่ใด” กู้เจียวถาม

ที่ปรึกษาหูรีบเอ่ย “อยู่ที่หอสุราที่ห่างจากที่นี่ไปสามลี้ขอรับ สถานการณ์ของเขาค่อนข้างดี เขาเปิดหอสุราเอง ได้ยินว่ากิจการไม่เลวทีเดียว”

เขาเอ่ยพลางมองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยกับกู้เจียวอย่างระมัดระวัง “ตอนนั้นมีข่าวลือว่า จ้าวเติงเฟิงไปสวามิภักดิ์กับตระกูลหันแต่แรกแล้ว เขาแอบขายข่าวให้ตระกูลหันอย่างลับๆ มาตลอด และเขาก็มีส่วนในการล่มสลายของตระกูลเซวียนหยวน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างไม่เชื่อ อย่างไรเขาก็เป็นรองแม่ทัพที่ได้รับความไว้ใจจากเซวียนหยวนเฉิง แต่ใต้เท้าท่านดูสิ จ้าวเติงเฟิงกับหลี่เซินเกษียณในเวลาไล่เลี่ยกันเลย หลี่เซินตกต่ำไปเป็นกุลี แต่จ้าวเติงเฟิงกลับมีเงินทุนไปเปิดหอสุรา ใต้เท้า ท่านดู ดูให้ดีๆ !!”

กู้เจียวเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น คนตระกูลหันเป็นคนให้เงินเขารึ”

ที่ปรึกษาหูเอ่ยอย่างเลื่อมใส “ใต้เท้าปราดเรื่อง!”

“ไปดูกัน” กู้เจียวเอ่ย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท