บทที่ 1364 ความตกตะลึงของตระกูลจั่วชิว
บทที่ 1364 ความตกตะลึงของตระกูลจั่วชิว
ในฐานะหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน ตระกูลจั่วชิวมีราชันเซียนอยู่กี่คนกันแน่?
เฉินซีก็ไม่ทราบ
แต่เขาแน่ใจว่าการตายของจั่วชิวหลิงหงจะต้องสร้างความเสียหายให้กับตระกูลจั่วชิวอย่างแน่นอน!
ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซียังคงอดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย ตอนนี้จั่วชิวคงเสียชีวิตแล้ว จั่วชิวเฟิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจั่วชิวจะต้องโกรธแค้นอย่างแน่นอน หากจั่วชิวเฟิงมาเพื่อแก้แค้นเขาก็แล้วไป แต่ถ้าจั่วชิวเฟิงระบายความโกรธกับจั่วชิวเสวี่ย เฉินซีก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เฉินซีรู้ดีว่าความกังวลเหล่านี้ล้วนเปล่าประโยชน์ เพราะหากจั่วชิวเสวี่ยจัดการได้ง่าย นางคงถูกจั่วชิวเฟิงสังหารไปนานแล้ว
ทั้งยังมีกองกำลังในตระกูลจั่วชิวที่สนับสนุนจั่วชิวเสวี่ย และในฐานะผู้นำตระกูลจั่วชิว เมื่อจั่วชิวเฟิงกระทำการเช่นนี้ คงจะทำให้ตระกูลจั่วชิวแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างแน่นอน
แม้แต่จั่วชิวเฟิงก็อาจไม่เต็มใจที่จะเห็นผลลัพธ์ดังกล่าวเช่นกัน
…
เมืองคนบาป ณ ภัตตาคารวิญญาณมังกร
เฉินซีจัดงานเลี้ยงแสดงความขอบคุณ สืออวี๋และคนอื่น ๆ ย่อมไม่ปฏิเสธ
“น้องเฉินซี นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องคอยระวังตัว แม้ว่าตระกูลจั่วชิวจะไม่กล้าลงมือกับเจ้าในที่แจ้ง แต่กลอุบายที่พวกมันใช้ในที่ลับก็เป็นปัญหาที่ยากจะจัดการ” หลังจากที่พวกเขาดื่มกินอย่างมีความสุข สืออวี๋ก็กล่าวเตือน
เฉินซียิ้มและเห็นด้วย
“หากเจ้าประสบปัญหาในอนาคต ให้มุ่งหน้าไปที่ตำหนักเต๋าหนี่หวา เราจะไม่นิ่งเฉยขณะที่เจ้าถูกรังแกแน่” ใบหน้าของเซียงหลิวหลีประดับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็ดึงตราคำสั่งที่มีสีขาวเหมือนหิมะและโปร่งแสงออกมายื่นให้เฉินซี “นี่คือตราคำสั่งหนี่หวา และมีประตูสู่ตำหนักเต๋าหนี่หวาอยู่ข้างใน หากเจ้าเผชิญอันตราย เจ้าเพียงแค่บดขยี้มัน และมันจะเคลื่อนย้ายเจ้าไปยังตำหนักเต๋าหนี่หวาทันที”
ซุนอู๋เหิ่น ต้าวเหยาและผางตู่เหลือบมองเฉินซีด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เพราะนั่นคือสมบัติที่สามารถช่วยชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีมันอยู่ในมือ ก็เหมือนกับมีเครื่องรางช่วยชีวิต ทั้งยังได้รับการปกป้องจากตำหนักเต๋าหนี่หวาอีกด้วย
“ขอบคุณแม่นางหลี” เฉินซีรีบเก็บมันไป
สืออวี๋คล้ายนึกอะไรบางอย่างได้ขณะที่มองคนอื่น ๆ “พวกเจ้าสามคนวางแผนจะทำอะไรหลังจากนี้”
เพราะพวกเขาเป็นคนของนิกายยุคแรกกำเนิด ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ซากโบราณสถานแรกกำเนิดพังทลายจนหมดสิ้น
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ถ้าพวกเจ้าสามคนไม่ว่าอะไร ทำไมไม่กลับไปที่ตำหนักเต๋าหนี่หวาพร้อมกับเราล่ะ? ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเจ้า ย่อมได้รับสถานที่ของตนเองอย่างแน่นอน” สืออวี๋ยิ้มและชักชวนราชันเซียนทั้งสาม ซึ่งปัจจุบันพวกเขาครอบครองผลวิญญาณเต๋า ดังนั้นคงใช้เวลาไม่นานก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุเต๋าและกลายเป็นเทพ หากสืออวี๋สามารถดึงตัวพวกเขาเข้าสู่นิกายของตนได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อนิกายอย่างใหญ่หลวง
“นี่…” ซุนอู๋เหิ่นและคนอื่น ๆ ลังเลเล็กน้อย เพราะจากคำชักชวนนี้ พวกเขาย่อมมีความสนใจไม่น้อย แต่ตำหนักเต๋าหนี่หวาเป็นหนึ่งในสามสุดยอดนิกาย พวกเขากังวลว่าจะสามารถตั้งหลักได้หรือไม่ และจะถูกขับไสไล่ส่งหรือไม่?
สืออวี๋ไม่เร่งรัดเอาคำตอบจากพวกเขา ดังนั้นจึงให้เวลาได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
ซุนอู๋เหิ่นเป็นคนแรกที่กล่าว “ข้ายินดี”
สืออวี๋หัวเราะดังสนั่นและยกจอกสุราขึ้น “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเป็นตัวแทนของนิกาย ต้อนรับสหายเต๋าล่วงหน้า”
“สหายเต๋าสืออวี๋ เจ้ากรุณาเกินไปแล้ว ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” ซุนอู๋เหิ่นหัวเราะเบา ๆ ขณะที่ยกจอกสุราชนกับสืออวี๋ ก่อนที่จะกระดกจนหมดจอกในคราวเดียว
เมื่อเห็นดังนั้น ต้าวเหยาและผางตู่ก็สบตากัน ก่อนจะตกลงทันที
ทั้งสองมีความคิดเห็นแบบเดียวกัน พวกเขาบ่มเพาะอยู่ในซากโบราณสถานแรกกำเนิดมาโดยตลอด และไม่ได้สัมผัสกับภพเซียนมาเป็นเวลานาน ดังนั้นตำหนักเต๋าหนี่หวาย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ที่สำคัญที่สุด คือพวกเขามีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ในครอบครอง นั่นคือผลวิญญาณเต๋า และจำเป็นต้องมองหาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อสกัดและดูดซับ เพื่อพุ่งเข้าสู่ขอบเขตเทวา
ในฐานะหนึ่งในสามสุดยอดนิกายของสามภพ ตำหนักเต๋าหนี่หวาสามารถตอบสนองความต้องการทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
สืออวี๋ค่อนข้างมีความสุข เมื่อเห็นว่าทั้งสามตอบตกลงแล้วจึงหันไปมองมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เป็นตาเดียว “สหายเต๋ามหาปราชญ์ย่ำสวรรค์…”
“ต้องขออภัย ข้าไม่สามารถเข้าร่วมตำหนักเต๋าหนี่หวาได้ในตอนนี้ ข้ายังต้องไปตามหาท่านอาจารย์” ก่อนที่สืออวี๋จะชักชวน มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็รีบปฏิเสธ แม้ว่านิกายเอกวิถีจะตกต่ำลง แต่ก็เคยทัดเทียมเป็นคู่แข่งกับตำหนักเต๋าหนี่หวามาก่อน
สืออวี๋ไหวไหล่ “ถือว่าข้าไม่เคยกล่าวก็แล้วกัน”
เฉินซีถอนหายใจ “หากศิษย์พี่หลียางอยู่ที่นี่ บางทีนางอาจจะสามารถชักชวนซุนอู๋เหิ่นและคนอื่น ๆ เข้าสู่เขาเทพพยากรณ์ได้เช่นกัน”
…
หลังจากงานเลี้ยงจบลง สืออวี๋ เซียงหลิวหลี ซุนอู๋เหิ่น ต้าวเหยาและผางตู่ก็จากไป พวกเขาเดินทางกลับนิกาย และทำความเข้าใจมหาเต๋าแห่งเทพผ่านการทำสมาธิ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะจากไป เซียงหลิวหลีได้ส่งเตียนเตี้ยนที่หมดสติไว้ในความดูแลของเฉินซี
ในขณะที่เฉินซีจากไปภายใต้การคุ้มครองของมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ และออกจากเมืองคนบาป มุ่งหน้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
…
หลังจากกลุ่มของเฉินซีออกจากเมืองคนบาป ข่าวที่น่าตกใจก็แพร่กระจายไปยังตระกูลจั่วชิว และมันทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
ณ ทวีปเนตรสวรรค์
ในห้องโถงที่โอ่อ่าและเก่าแก่ภายในตระกูลจั่วชิว
ชายวัยกลางคนที่ไร้หนวดเครา ซึ่งมีท่าทางสง่างามนั่งตัวตรงตรงกลางห้องโถง เขามีสีหน้าเศร้าหมองและซีดเซียว ในขณะที่ดวงตาลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้น
เขาเป็นผู้นำแห่งตระกูลจั่วชิว จั่วชิวเฟิง!
เมื่อได้ทราบข่าวร้าย จั่วชิวเฟิงที่ปิดประตูบ่มเพาะเพื่อพุ่งเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ
เพราะข่าวนี้น่าตกใจเกินไป จนเขาแทบไม่อยากยอมรับความจริง
ที่ด้านข้างของห้องโถง มีตัวตนยิ่งใหญ่มากมาย พร้อมกับกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่ดูลึกล้ำราวกับเหวลึก คนทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิว ซึ่งมีมากกว่าร้อยคน
รวมถึงรองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จั่วชิวฮง และหัวหน้าอาจารย์ของฝ่ายสงวนโอสถ จั่วชิวเซิงก็อยู่ในหมู่พวกเขาด้วย
นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเก้าอี้ผู้นำตระกูล ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวที่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษ
ตัวตนระดับสูงของตระกูลจั่วชิวทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่แล้ว!
เป็นเพราะข่าวร้ายที่เพิ่งมาถึงตระกูล ทายาทของตระกูล จั่วชิวคง และผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวหลิงหงได้เสียชีวิตแล้ว!
“ระยำเอ๊ย! ใครอนุญาตให้ไอ้สารเลวนั่นออกไป?” ทันใดนั้น จั่วชิวเฟิงก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้อีกต่อไป เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นประหนึ่งฟ้าร้อง มันดังก้องไปทั่วห้องโถงและทำให้ข้ารับใช้สองคนที่อยู่นอกห้องโถงตกใจ ทำให้ร่างกายซวนเซและล้มลงในที่สุด
แต่ไม่อาจโทษที่เขาโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ เพราะเขามีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือจั่วชิวคง และคอยเลี้ยงดูจั่วชิวคงในฐานะผู้สืบทอดของผู้นำตระกูลมาโดยตลอด ซึ่งจั่วชิวคงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง บุตรชายเผยพรสวรรค์โดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย และได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นสุริยันอันเจิดจ้าทั้งเจ็ดแห่งภพเซียนจนโด่งดังไปทั่วหล้า
แต่ตอนนี้จั่วชิวคงตายแล้ว!
ในฐานะบิดา เขาจะยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
“ท่านประมุข คงเอ๋อร์ตัดสินใจลงมือโดยพลการ หากเขาไม่กระทำการตามอำเภอใจ โศกนาฏกรรมเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายกล่าว ชายผู้นี้มีผมสีดำสนิทเหมือนหมึก มีลักษณะเย็นชา เผยกลิ่นอายที่หนักแน่นและแข็งแกร่ง ชื่อของเขาคือจั่วชิวเลี่ย
“ฮึ่ม! เขาลงมือเองหรือ? หรือพวกเจ้าแค่ไม่ได้หยุดเขา” ดวงตาของจั่วชิวเฟิงหรี่ลงเมื่อได้ยินจั่วชิวเลี่ยกล่าว ในฐานะผู้นำตระกูล เขาย่อมตระหนักดีว่าจั่วชิวเลี่ยและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ หลายคนที่นี่ เบื้องหน้าคล้ายภักดี แต่ลึก ๆ พวกเขาก็มักจะต่อต้านอยู่เสมอ
ถ้าไม่ใช่เพื่อรักษาเสถียรภาพของตระกูล เขาคงจะทำลายล้างไอ้สารเลวเหล่านี้ไปนานแล้ว!
“หยุดเขา? โดยที่มีท่านบรรพบุรุษหลิงหงคอยให้ท้ายน่ะหรือ แล้วจะมีใครหยุดเขาได้บ้าง? ไม่ใช่แค่คงเอ๋อร์เท่านั้นที่เสียชีวิตในครั้งนี้ แม้แต่ท่านบรรพบุรุษหลิงหงก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ยังต้องประสบกับคราเคราะห์เช่นกัน!” จั่วชิวเลี่ยเถียงกลับโดยไม่อดกลั้น
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าคิดว่าคงเอ๋อร์ทำให้ท่านบรรพบุรุษหลิงหงเสียชีวิตหรือ?” จั่วชิวเฟิงเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธจัด …ถึงเวลาเช่นนี้แล้ว แต่ไอ้บัดซบนี่ก็ยังคงต่อต้านข้า น่าโมโหนัก!
“พอได้แล้ว!” ทันใดนั้นชายชราผอมบางในชุดสีเขียวซึ่งอยู่เคียงข้างจั่วชิวเฟิงก็กล่าวขึ้น คิ้วคมกริบราวกับใบมีด นัยน์ตาดูเหมือนวังวนพายุฝนฟ้าคะนอง เขากวาดมองทุกคนในห้องโถงด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เรื่องก็เกิดไปแล้ว แต่พวกเจ้าก็ยังมีอารมณ์ที่จะทะเลาะกันเองอีกหรือ?”
จั่วชิวเลี่ยเงียบไปทันที
ชายชราชุดเขียวคนนี้มีชื่อว่าจั่วชิวหวงหลิน ตัวตนสูงส่งในตระกูลจั่วชิว การบ่มเพาะไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งเมื่อหลายปีก่อน การที่จั่วชิวเฟิงสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูล ก็เพราะได้จั่วชิวหวงหลินเป็นผู้ที่สนับสนุน
มิฉะนั้น หากพึ่งเพียงความสามารถของจั่วชิวเฟิง ก็คงไม่อาจนั่งเก้าอี้ผู้นำตระกูลได้อย่างง่ายดาย
ทันทีที่จั่วชิวหวงหลินกล่าว ผู้อาวุโสทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จั่วชิวเฟิงก็สะกดกลั้นอารมณ์ และแค่นคำรามเสียงเย็นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “เรื่องนี้ได้รับการสอบสวนอย่างชัดเจนแล้ว คงเอ๋อร์และบรรพบุรุษหลิงหงประสบคราเคราะห์ในเมืองคนบาป และคนร้าย…”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ จั่วชิวเฟิงก็รู้สึกปั่นป่วนและโมโหอีกครั้ง
เหล่าคนระดับสูงทั้งหมดของตระกูลจั่วชิวต่างขมวดคิ้ว
“หากเจ้ามีอะไรจะกล่าว ก็กล่าวออกมาตรง ๆ” จั่วชิวหวงหลินขมวดคิ้วเช่นกัน …เวลาเช่นนี้ยังจำเป็นต้องเก็บเป็นความลับอีกหรือ?
จั่วชิวเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และระงับความโกรธอย่างแข็งขัน “เป็นราชันเซียนหกคน และสองคนในนั้นมาจากตำหนักเต๋าหนี่หวา พวกเขาเป็นศิษย์พิทักษ์เต๋าของตำหนักเต๋าหนี่หวา นามสืออวี๋และเซียงหลิวหลี ส่วนตัวตนของอีกสี่คนยังไม่อาจระบุได้…”
ก่อนที่จะกล่าวจบ ห้องโถงก็พลันแตกตื่นโกลาหล คล้ายก้อนหินที่ทำให้เกิดคลื่นนับพัน
ราชันเซียนหกคน!
ตำหนักเต๋าหนี่หวา!
คำกล่าวเหล่านี้ ทำให้ทุกคนในห้องโถงตกตะลึงจนหายใจไม่ออก แทบไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง!
“เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“เมื่อใดกันที่ตระกูลจั่วชิวของเรามีความเป็นศัตรูกับตำหนักเต๋าหนี่หวา?”
“หกราชันเซียน! ไม่แปลกใจเลย… ไม่น่าแปลกใจเลยที่บรรพบุรุษหลิงหงต้องประสบคราเคราะห์…”
ความปั่นป่วนระเบิดขึ้นทันทีในห้องโถง แม้แต่ดวงตาของจั่วชิวหวงหลินที่อาวุโสที่สุดก็หรี่ลงอยู่ในขณะนี้ และจากนั้นก็มีแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าตกตะลึงปะทุออกมา
…สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่ามีราชันเซียนหกคน แต่เพราะมีศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวาอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหก!