บทที่ 509 เทวรูป
บทที่ 509 เทวรูป
ประตูเมืองที่แม้กระทั่งโหวเจวี๋ยก็ยังต้องรับการตรวจสอบ เจ้าฉีกลับทำเพียงแค่ส่งป้ายออกมาก็สามารถละเว้นการตรวจสอบได้โดยไม่ต้องแสดงตัว เห็นได้ชัดว่าสถานะตัวตนของนางสูงศักดิ์ยิ่งกว่าโหวเจวี๋ย
แม้ก่อนหน้าอู๋ฝานจะพยายามครุ่นคิดว่านางสูงศักดิ์เพียงใด แต่ตอนนี้เหมือนว่าความคิดนั้นจะยังสูงศักดิ์ไม่มากพอ
“อู๋ฝาน เหมือนว่าเจ้าจะไปผิดเส้นทาง” ขณะครุ่นคิดถึงตัวตนแท้จริงของอีกฝ่าย เสียงของเจ้าฉีกลับดังขึ้นจากทางด้านหลัง เขาจึงหันไปมองโดยไม่รู้ตัว ด้วยความสงสัยที่ไม่อาจอดกลั้น เขาจึงส่งวิชาตรวจสอบออกไปพินิจ
ผลลัพธ์ที่ได้นั้น…
‘นางคือเจ้าฉีคนเดียวกับองค์หญิงเจ็ดแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง?! เจ้าฉีคนนั้นก็คือเจ้าฉีคนนี้! เหตุใดก่อนหน้านี้เราไม่ฉุกคิดมาก่อน! ไม่แปลกใจเลยที่หลี่จื่อหยางพอเห็นจี้หยกแล้วจะถึงกลับเปลี่ยนท่าทีอย่างรุนแรงขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่เหล่าขุนพลพอเห็นป้ายแสดงตัวขององครักษ์แล้วจะพร้อมใจกันถอย รวมถึงเรื่องที่ผ่านประตูเมืองออกมาได้โดยไม่ต้องรับการตรวจสอบใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งการเผยตัวให้เห็น ทั้งหมดก็เพราะนางคือเจ้าฉี ผู้เป็นองค์หญิงเจ็ดแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง! เป็นคนโปรดและเป็นที่รักที่สุดในบรรดาลูกของจักรพรรดิ!’ หลังอู๋ฝานใช้วิชาตรวจสอบกับอีกฝ่าย เขาถึงกับต้องตะลึงกับข้อมูลที่ได้เห็น
แน่นอนว่าทุกการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาล้วนปรามาสนางไปทั้งสิ้น
แต่ผู้ใดจะคาดว่าองค์หญิงเจ็ดแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงจะหนีออกจากบ้าน? ไม่ว่าครุ่นคิดเพียงใดเขาก็ไม่อาจเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับตัวตนขององค์หญิงได้
“อู๋ฝาน ข้าพูดคุยกับเจ้าอยู่ ได้ยินที่ข้าพูดรึเปล่า?” เจ้าฉีจ้องมองชายหนุ่ม พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจขึ้นมา “เหตุใดสายตาเจ้าดูแปลกพิกล?”
“แค่ก! ข้าฟังอยู่” อู๋ฝานตอบกลับ “แต่ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลวงสักเท่าไหร่ ดังนั้นบอกทางให้ทราบก็จะดี”
“ถนนทางซ้ายเส้นนั้น” องค์หญิงเจ็ดตอบกลับ “นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าได้ออกมาจากเมืองเช่นกัน เส้นทางนี้ก็ทราบเพราะสอบถามมา แต่ก่อนหน้าเห็นเจ้ามุ่งหน้าไปอย่างมั่นใจก็นึกว่าทราบเส้นทาง”
อู๋ฝานควบคุมรถลากหันเปลี่ยนไปใช้เส้นทางซ้ายมือก่อนจะตอบกลับ “ข้าก็เพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก หากทราบเส้นทางก็เก่งกาจเกินไปแล้ว”
“อู๋ฝาน เจ้ามาจากที่ใด? ภายนอกสนุกหรือไม่? ตั้งแต่เกิดจนโตข้าไม่เคยได้ออกจากนครเหยียนหยางเลยสักครั้ง” เจ้าฉีเอ่ยถามราวกับนึกอิจฉาต่ออิสรภาพ
“โลกภายนอกกว้างใหญ่และมีสีสันยิ่งกว่านครเหยียนหยางหลายเท่านัก” อู๋ฝานตอบกลับ “แต่ตอนนี้ภายนอกเกิดความแห้งแล้งและอันตรายไปทั่วทุกแห่งหน อยู่ที่นครเหยียนหยางอย่างไรก็ปลอดภัยกว่า ดังนั้นข้าแนะนำให้เจ้าควรอยู่ในเมืองต่อไป”
อู๋ฝานกลัวความคิดดื้อซนของนาง ว่าหากวันหนึ่งตั้งใจได้ขึ้นมาอาจหลบหนีออกมานอกเมือง ก่อนหน้านี้หลบหนีออกจากวังมาในเมืองยังไม่เป็นไร เพราะนครเหยียนหยางคือเมืองหลวงของอาณาจักร ปัจจุบันยังคงปลอดภัยดี แต่หากเป็นนอกเมืองเมื่อใดก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เนื่องจากจักรพรรดิทั้งรัก ห่วงหา และกังวลถึงความปลอดภัย ดังนั้นย่อมไม่มีทางปล่อยนางออกมานอกเมืองโดยไม่ไตร่ตรองอย่างแน่นอน
“บิดาข้าก็พูดเช่นเดียวกันนี้ เขาไม่ยอมให้ข้าออกไปนอกนครเหยียนหยาง” เจ้าฉีรำพึงรำพัน “แต่ข้าอยากได้เห็นว่าภายนอกเป็นเช่นไร”
“ภายนอกไม่ได้สวยงามดังเช่นที่เจ้าคิดเอาไว้” อู๋ฝานตอบกลับ
“ข้าทราบ อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว” เจ้าฉีกลอกตามองตอบ “แค่ตลอดมาข้ารู้สึกเสียดายที่ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ไม่มีโอกาสได้พบเห็น”
“หลายสิ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่” อู๋ฝานตอบรับ
เจ้าฉีต้องกลอกตามองตอบชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะหยุดบทสนทนาไป
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป คนทั้งสามจึงมาถึงจุดหมายปลายทางเช่นวัดหงอวี่
“ธูปของที่นี่ค่อนข้างหอมเป็นพิเศษ” หลังลงจากรถลาก อู๋ฝานเอ่ยขณะมองทางฝูงชนที่แวะเวียนมายังวัดแห่งนี้
“วัดหงอวี่ถือเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของนครเหยียนหยาง ข่าวลือกล่าวว่าตราบใดที่มีความจริงใจ ไม่ว่าคำขอใดล้วนสัมฤทธิผล” เจ้าฉีตอบกลับขณะเดินเข้าไปด้านใน
เพราะเจ้าฉีแต่งกายเป็นสามัญชนทั่วไป คนทั้งสามจึงไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่นสะดุดตา หลังมาถึงโถงด้านในวัด นางก็คุกเข่าลงตรงหน้าเทวรูปโพธิสัตว์สีทองขนาดใหญ่ซึ่งอยู่กลางโถง และหลับตาลงเพื่อภาวนา
อู๋ฝานสงสัยจึงสำรวจรอบด้าน เหนือโถงแห่งนี้ประกอบด้วยเทวรูปทั้งสาม ทั้งหมดทำด้วยทอง โพธิสัตว์องค์กลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น สีหน้าไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใด ๆ ทว่าขณะมองเข้าไปยังดวงตาคู่นั้นเขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันอันแปลกประหลาด
‘เทวรูปทั้งสามเคลือบด้วยทองคำล้วน ทั้งร่ำรวยและไม่หวาดกลัวการโดนลักขโมย’ อู๋ฝานคิดอยู่ในใจ ‘แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดสร้างเทวรูปเหล่านี้ ระดับงานฝีมือสูงส่ง ให้ความรู้สึกกดดัน กระทั่งเรายังรู้สึกกดดันเลยด้วยซ้ำ’
ขณะเกิดความสงสัยในใจ เขาจึงส่งวิชาตรวจสอบออกไปดูข้อมูลโพธิสัตว์องค์กลาง
ผลลัพธ์…
[วิชาตรวจสอบไม่สามารถทำงานกับเป้าหมายได้]
ขณะเสียงจักรกลอันคุ้นเคยดังในหู เขาถึงกับต้องชะงักงัน
นับตั้งแต่ได้รับวิชาตรวจสอบมา เขาเคยใช้งานไปแล้วมากมายหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ใช้งานไม่ได้เช่นนี้ถือเป็นครั้งแรก ในอดีตไม่ว่าจะใช้วิชาตรวจสอบกับวัตถุวิเศษหรือด้อยค่าเพียงใด มันก็สามารถตรวจสอบได้สำเร็จทั้งสิ้น แต่ความแตกต่างจะแสดงออกมาผ่านรายละเอียดที่มากน้อยก็เท่านั้น
แต่ครั้งนี้วิชาตรวจสอบกลับไม่อาจใช้งาน! ทำให้เขาไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผชิญผลลัพธ์เช่นนี้ถึงกับทำให้เขาทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ
เพราะไม่คิดยอมแพ้ อู๋ฝานจึงใช้วิชาตรวจสอบกับเทวรูปอีกครั้ง แน่นอนว่ามันล้มเหลวเหมือนดังครั้งแรก
แต่ที่ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจคือการที่ดวงตาของเทวรูปองค์กลางราวกับเบิกกว้างขึ้นมาเล็กน้อย หากพินิจให้ดีจะเห็นว่ามองดวงตาได้ชัดเจนกว่าก่อนหน้า สองดวงตาขนาดยักษ์กำลังจ้องมองมาทางอู๋ฝาน ทันใดนี้เองที่เขาได้ตระหนักถึงแรงกดดันที่ไม่ทราบว่าคืออะไรกวาดผ่านตนเองไป
“พลั่ก!”
อู๋ฝานซึ่งไม่ได้เตรียมตัวรับสิ่งใดกลับต้านรับแรงกดดันอันมหาศาลเมื่อครู่ไม่ไหว สุดท้ายจึงซวนเซก่อนร่างจะล้มลงคุกเข่า ทำให้เจ้าฉีที่อยู่ข้างกันถึงกับสะดุ้ง
“อู๋ฝาน เจ้าก็อยากภาวนาด้วยหรือ?” นางเอ่ยถาม
อู๋ฝานอยากจะตอบนางกลับ แต่ไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด แต่ขณะนี้เขาไม่อาจพูดได้ ออร่าอันทรงอำนาจกำลังรายล้อมชายหนุ่มจากทั่วสารทิศ ประหนึ่งมหาขุนเขากำลังกดทับร่างกาย บีบบังคับให้ร่างกายจำยอมต้องคุกเข่าลงกับพื้น!
อู๋ฝานกัดฟันขณะพยายามดิ้นรนหาทางต่อกรกับแรงกดดัน อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้มันเลวร้ายกว่านี้ เพราะพลังมหาศาลทำให้เส้นเลือดที่แขนของชายหนุ่มผุดปรากฏเป็นเส้นประหนึ่งตัวหนอน ใบหน้าซีดเผือด ห้วงความคิดกำลังเคร่งเครียด หน้าผากผุดเม็ดเหงื่อไปทั่ว
“อู๋ฝาน นี่เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ” ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เจ้าฉีที่อยู่ข้างกายเกิดหวาดเกรง นางคิดส่งมือเข้าไปตบไหล่อีกฝ่าย แต่ขณะมือกำลังจะลงไปถึงไหล่ของชายหนุ่ม แรงมหาศาลกลับผลักดันส่งร่างนางกระเด็นกลับออกไป
……………………………