ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 406 ร้องทุกข์

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 406 ร้องทุกข์

ภายในบ้านซึ่งมองดูแล้วปกติ กำลังเกิดเรื่องที่ไม่ปกติขึ้น

ฟู่เสวี่ยถูกชายหนุ่มซึ่งสูงใหญ่กว่าเขามากเดินต้อนไปที่มุมกำแพงทีละก้าวๆ แววตาปรากฏความตื่นกลัว “ท่าน ท่านถอยไปนะ หากคุณหนูรู้เข้า จะต้องสั่งสอนท่านแน่นอน!”

ท่าทางจะร่ำไห้ของเด็กหนุ่มกระตุ้นความมั่นใจที่จะต้องได้มาครอบครองของเว่ยเฟิงขึ้นมา

เขารอคอยวันนี้มานานเกินไปแล้วจริงๆ

คุณหนูลั่วหรือ

ถึงคุณหนูลั่วจะไม่ควรล่วงเกิน แต่นางไม่รู้ไม่ใช่หรือ

เมื่อกักเด็กหนุ่มไว้ที่มุมกำแพงได้ เว่ยเฟิงก็แย้มรอยยิ้ม “สั่งสอนข้าหรือ คุณหนูลั่วของเจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้วจะสั่งสอนข้าอย่างไร”

เขาพูด พลางบีบคางเรียวของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “กลับเป็นเจ้า ถือโอกาสลืมคุณหนูลั่วแต่เนิ่นๆ เสียเถอะ หลังจากนี้ก็ติดตามข้าอย่างสงบ ข้าไม่มีทางปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน”

ในที่ไม่ไกล สวี่ซีซึ่งถูกมัดมือไพล่หลังรั้งคออยู่บนเก้าอี้มีผ้าซับเหงื่อยัดปากอยู่ กำลังดิ้นรนด้วยความโมโห

เว่ยเฟิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็มองมาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างรำคาญว่า “หากยังโวยวาย ข้าจะฆ่าเจ้าแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ป่าช้า เดิมก็รู้สึกว่าไม่มีสถานที่ที่จะจัดไว้ให้เจ้าอยู่แล้ว”

การดิ้นรนของสวี่ซีแข็งค้างไป

แม้จะบอกว่า การที่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อกระทำเช่นนี้กับฟู่เสวี่ยทำให้เขาทั้งขยะแขยง ทั้งโมโห และรู้สึกว่าฟู่เสวี่ยที่ตกอยู่ในมือคนชั่วนั้นน่าสงสาร แต่ว่า!

ไม่มีสถานที่จัดไว้ให้จึงจะโยนเขาทิ้งไว้ที่ป่าช้านั้นหมายความว่าอะไร

เขาไม่ได้อัปลักษณ์นะ!

แม้ว่าจะเป็นนายบำเรอไม่ได้ก็ไม่ควรจะถูกปฏิบัติโดยการถูกทิ้งไว้ที่ป่าช้าอยู่ดี

ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ประสบมาในหลายวันนี้ บวกกับการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เด็กหนุ่มก็ถูกทำให้สะเทือนใจจนเริ่มสงสัยในชีวิตขึ้นมา

เขาแย่ขนาดนี้เลยหรือ

เมื่อเห็นสวี่ซีไม่ขยับแล้ว เว่ยเฟิงก็พยักหน้าพอใจ สั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งว่า “เฝ้าเขาไว้ให้ดี”

เด็กหนุ่มดวงหน้างาม กลีบปากแดง ฟันขาว มองดูแล้วคล้ายกับฟู่เสวี่ยถึงสองสามส่วน ได้ยินแล้วก็พยักหน้า ทั้งที่แววตาเจือไปด้วยความน้อยใจ

คุณชายมีคนรักใหม่ ไม่ต้องการเขาแล้วหรือ

เว่ยเฟิงไหนเลยจะสนใจความรู้สึกของนายบำเรอชายคนหนึ่ง คว้าหมับเข้าที่ข้อมือฟู่เสวี่ยแล้วลากไปยังห้องห้องหนึ่ง

“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ คุณหนูจะต้องพาต้าไป๋มาช่วยข้าแน่นอน!”

เมื่อได้ยินฟู่เสวี่ยเอ่ยถึงต้าไป๋ เว่ยเฟิงก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว

เขาลืมเรื่องน่าอับอายขายหน้าที่ถูกห่านตัวนั้นจิกบั้นท้ายไม่ลงหรอก

“อย่าได้ฝันไปเลย หากเจ้ารู้ความสักหน่อย ข้าก็สามารถไม่คิดเล็กคิดน้อยกับห่านตัวนั้นได้ มิฉะนั้นช้าเร็วคงได้หาโอกาสบีบคอมันให้หักแน่นอน…”

ในตอนนี้เองมีเสียงปังดังลอยมา

การเคลื่อนไหวของเว่ยเฟิงชะงักไปแล้วมองไปข้างนอกตามจิตใต้สำนึก

นอกห้องโถง เด็กสาวในชุดสีเรียบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เสี้ยววินาทีที่สายตาสบกัน นัยน์ตาเว่ยเฟิงพลันหดวูบ เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา

คุณหนูลั่วมาได้อย่างไร!

องครักษ์ล่ะ องครักษ์คนสนิทสองคนของเขาตายไปแล้วหรือ

เว่ยเฟิงมองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว

สือเยี่ยนหัวเราะเหอๆ “ไม่ต้องหาแล้ว คนอยู่นี่ไง”

เสียงโครมดังขึ้น องครักษ์สองคนถูกโยนลงตรงหน้าเว่ยเฟิงประหนึ่งโยนถุงกระสอบ

ความหวาดกลัวแวบผ่านนัยน์ตาเว่ยเฟิง เขาจ้องลั่วเซิงเขม็ง “เจ้า…”

สือเยี่ยนก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป

คนที่เร็วกว่าสือเยี่ยนก้าวหนึ่งคือหงโต้ว

สาวใช้ตัวน้อยเดินเร็วราวกับเหาะเหิน ตะโกนเสียงดังว่า “ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อหน้าไม่อายจริงๆ ถึงกับฉุดบุรุษของคุณหนูพวกเรามาเป็นนายบำเรอ!”

แม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีเสียงดังมาก เสียงแหลมเล็กนั้นดังออกไปไกลมาก

สตรีสองนางที่ยืนมุงดูอยู่ที่ประตูเรือนอดมองหน้ากันอย่างเลิกลั่กไม่ได้

ดูสิว่าพวกนางได้ยินอะไร!

ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อหรือ

แย่งบุรุษของคุณหนูหรือ

เป็นนายบำเรอหรือ

เรื่องสนุกนี่ใหญ่โตเกินไปแล้ว เทียบกับการไปดูบัณฑิตจอหงวนเดินขบวนแล้ว มีประโยชน์กว่ามาก

สตรีเยาว์วัยถึงขั้นอดสอบถามสือเหยียนซึ่งยืนว่างอยู่อีกด้านไม่ได้ว่า “พ่อหนุ่ม คุณหนูของพวกเจ้าเป็นใครหรือ”

เมื่อถามเสร็จถึงได้ประหม่าขึ้นมา

เด็กหนุ่มคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มองดูแล้วชวนให้ผู้คนตกใจอยู่บ้าง

คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่มองแล้วชวนให้ตกใจกลับตอบคำถามของนาง “คุณหนูของพวกเราคือบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว คุณหนูลั่ว”

“คุณหนูลั่วหรือ” เสียงสตรีเยาว์วัยพลันสูงขึ้น แฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่อำพรางไม่มิด “ข้ารู้จักคุณหนูลั่ว คุณหนูลั่วมาที่นี่ได้อย่างไร”

คุณหนูลั่วที่ชื่อเสียงโด่งดัง ใครบ้างไม่รู้จัก

นางยังรู้อีกว่าคุณหนูลั่วเปิดหอสุรา มีครั้งหนึ่งที่ผู้ชายของนาง พานางเดินผ่านถนนนอกประตูหอสุรา ได้กลิ่นหอมแล้วอยากจะเข้าไปดู ถูกนางตบไปครั้งหนึ่งถึงจะได้สติ

ลือกันว่ามีชายซึ่งครอบครัวร่ำรวยคนหนึ่ง เป็นเพราะไปกินอาหารสองมื้อที่ร้านซึ่งปล้นทรัพย์ลูกค้าแห่งนั้น กระทั่งคฤหาสน์ก็ยังต้องขายไป

นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาชาวบ้านตัวเล็กๆ สามารถไปได้หรือ

เด็กหนุ่มที่มองแล้วชวนให้ตกใจยังคงมีความอดทนเต็มเปี่ยม “ตอนนายบำเรอของคุณหนูไปเดินตลาดเพื่อชมดูเรื่องสนุกได้ถูกผิงหนานอ๋องซื่อจื่อฉุดมา พวกเราจึงตามมาตลอดทาง”

สตรีเยาว์วัยกลับไปข้างกายสตรีสูงวัยด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนในคฤหาสน์แถบนี้จะไปเดินตลาดมุงดูเรื่องสนุกกันหมด จะต้องมีคนรั้งอยู่ที่บ้าน ตอนนี้ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ก้าวเข้ามาสอบถามสถานการณ์กันไม่ขาดสาย

สตรีสองนางพลันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบานเป็นกระด้ง จนกระทั่งขบวนของลั่วเซิงหิ้วตัวเว่ยเฟิงจากไปก็ยังคงพูดเป็นต่อยหอย

พริบตาเดียว ข่าวเรื่องผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแย่งนายบำเรอของคุณหนูลั่วก็แพร่กระจายไปทั่ว

“คุณหนูลั่ว พวกเราจะกลับหอสุรา หรือว่าจวนผิงหนานอ๋องขอรับ” สือเยี่ยนมองเว่ยเฟิงแวบหนึ่ง พลางเอ่ยถาม

อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อคุณหนูลั่ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไปหาเรื่องถึงที่

“ล้วนไม่ไป” ลั่วเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง

ราวกับว่าคนที่ถูกหงโต้วกดตัวเอาไว้อยู่ไม่ใช่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ ด้านหลังไม่ได้มีคนที่ตามมามุงดูเรื่องสนุกกันเป็นแถวยาวอย่างนั้น

“เช่นนั้นจะไปที่ไหนหรือขอรับ” สือเยี่ยนนึกไม่ออก

คงไม่สามารถพาคนไปศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินเพื่อให้แม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นคนตัดสินได้หรอกนะ

อาศัยฐานะของผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ แบบนี้กลับไม่เหมาะสม

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ย่อมต้องไปศาลาว่าการหลักซุ่นเทียน เชิญศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเป็นผู้ตัดสิน”

สือเยี่ยนอึ้ง

หงโต้วเบ้ปาก “สือซานหั่ว เจ้าสมองทึบหรือ เป็นถึงผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแต่กลับลักพาตัวคนกลางวันแสกๆ คุณหนูของพวกเราฐานะต่ำต้อย พูดอะไรไปไม่มีใครให้ความสำคัญ ไม่ไปศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนเชิญใต้เท้าชิงเทียนเป็นผู้ตัดสินให้ แล้วจะไปหาใครได้อีก”

“พี่หงโต้วพูดถูก” สือเยี่ยนชูนิ้วโป้ง

นี่คุณหนูลั่วต้องการจัดการผิงหนานอ๋องซื่อจื่อให้ไร้ทางถอยโดยสิ้นเชิงสินะ กระทั่งท่าไม้ตายอย่างการไปศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนก็ยังคิดออกมาได้

เมื่อคิดเช่นนี้ การที่นายท่านสามารถอยู่ต่อหน้าคุณหนูลั่วได้ถึงขนาดนี้ก็พยายามมากและลำบากมากแล้ว

เว่ยเฟิงที่ถูกผ้าซับเหงื่อยัดปากได้ยินก็ดิ้นรนขึ้นมาอย่างรุนแรง

สวี่ซีเห็นดังนั้นก็รู้สึกสะใจยิ่ง

โชคไม่เข้าข้างเราเสมอไปจริงๆ ท่าทางยโสโอหังของผิงหนานอ๋องซื่อจื่อที่คิดจะโยนเขาไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าเมื่อครู่ล่ะ

ว่าแล้วเชียวว่า คนเลวย่อมมีคนที่เลวกว่ามาทรมาน

สวี่ซีกวาดตามองลั่วเซิงเงียบๆ แวบหนึ่ง

เด็กสาวฝีเท้าสงบนิ่ง สีหน้าแววตานิ่งเรียบ

สวี่ซีอดตัวสั่นไม่ได้

ปีศาจสาวน่ากลัวเกินไปแล้ว หลังจากนี้เขาจะตั้งใจผ่าฟืนเงียบๆ ดีกว่า แผนการที่จะพาแม่ครัวหลบหนีไปนั้นต้องค่อยๆ วางแผนแล้ว

หน้าประตูศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนโดดเดี่ยวเงียบเหงา มือปราบกำลังนับนกกระจอกที่หยุดอยู่บนกิ่งไม้ด้วยความเบื่อหน่าย

ช่วยไม่ได้ วันนี้คนปกติล้วนไปมุงดูเรื่องสนุก ใครจะมาร้องทุกข์ที่ศาลาว่าการหลักซุ่นเทียนกัน

มือปราบเหลือบตามองอย่างไม่ตั้งใจก็เห็นคนจำนวนมากกลุ่มหนึ่งเดินจากที่ไกลๆ ใกล้เข้ามา

มือปราบพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา รีบลากเพื่อนร่วมงานมา “ดูสิ ใช่ขบวนของบัณฑิตจอหงวนเดินขบวนมาหรือไม่!”

มือปราบอีกคนส่ายหน้าอย่างมึนงง “ไม่น่าจะใช่นะ บัณฑิตจอหงวนเดินขบวนไม่ได้เดินถนนเส้นนี้”

“เดี๋ยวก่อน คนที่นำมาดูเหมือนจะเป็น…”

มือปราบสองคนสบตากันแวบหนึ่งแล้วเอ่ยออกมาพร้อมกันว่า “คุณหนูลั่ว!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท